ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 15-21 พ.ย. 2558: ‘ไอเอสถล่มปารีส’ ตาย 129 เจ็บกว่า 300″ และ ผลสอบ ‘ราชภักดิ์’ โปร่งใสไร้ตำหนิแต่ไม่โชว์ข้อมูล

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 15-21 พ.ย. 2558: ‘ไอเอสถล่มปารีส’ ตาย 129 เจ็บกว่า 300″ และ ผลสอบ ‘ราชภักดิ์’ โปร่งใสไร้ตำหนิแต่ไม่โชว์ข้อมูล

21 พฤศจิกายน 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 15-21 พ.ย. 2558

  • “ไอเอสถล่มปารีส” ตาย 129 เจ็บกว่า 300
  • ผลวิจัย “ฮาร์วาร์ด” ชี้ ถ่านหินจะฆ่าคนไทยเพิ่มขึ้นปีละกว่า 3,000 คน
  • ออกจาก ตร.-ออกจาก ปท. “ปวีณ” กลัวไม่ปลอดภัย
  • บุก “ฟ้าให้ทีวี” จ่อเรียก “เสรีพิศุทธ์” จัดรายการเสี่ยงกระทบความมั่นคง
  • ออกแล้ว ผลสอบ “ราชภักดิ์” โปร่งใสไร้ตำหนิ
  • “ไอเอสถล่มปารีส” ตาย 129 เจ็บกว่า 300

    Screen Shot 2015-11-20 at 2.09.59 PM

    ศุกร์ 13 พ.ย. 2558 กลายเป็นอีกวันที่โลกต้องจดจำในฐานะเรื่องสะเทือนขวัญ เมื่อกลุ่มไอเอส (IS กลุ่มรัฐอิสลาม หรือชื่อย่อเต็มๆ ว่า ISIL: Islamic State of Iraq and the Levant) ซึ่งเป็นกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงได้เข้าโจมตีกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ใน 7 จุด ทั้งด้วยการกราดยิงใส่ฝูงชน และระเบิดพลีชีพ ส่งผลให้มีผู้เชียชีวิต 129 คน และบาดเจ็บอีก 352 คน สามารถสรุปเหตุการณ์ตามสถานที่เกิดเหตุได้ดังนี้

    21.20 น. (เวลาท้องถิ่น) ที่สนามสตาดเดอฟรองซ์ (Stade de France) ซึ่งกำลังมีฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่างทีมชาติฝรั่งเศสและเยอรมัน คนร้ายกดระเบิดที่ติดตั้งไว้กับตัวเองหลังจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามตรวจพบและกันไม่ให้เข้าไปในสนาม จากนั้น เวลา 21.30 น. มือระเบิดพลีชีพอีกรายก็จุดระเบิดในบริเวณใกล้กับสนาม และในเวลา 21.53 น. มือระเบิดอีกรายก็ระเบิดตัวเองตาม เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย (ไม่รวมมือระเบิด 3 ราย)

    ในเวลา 21.40 น. มือระเบิดพลีชีพจุดระเบิดตัวเองที่กงตัวร์ วอลแตร์ คาเฟ่ (Comptoir Voltaire café) บริเวณถนนวอลแตร์ มีผู้บาดเจ็บ 15 ราย

    เวลา 21.20 น. เกิดเหตุกราดยิงที่ถนนบิชาต์ (Rue Bichat) และถนนอาลีแบร์ต (Rue Alibert) มีผู้เสียชีวิต 15 ราย และบาดเจ็บสาหัส 10 ราย

    เวลา 21.32 น. เกิดเหตุกราดยิงที่ถนนฟองแตนโอรัวร์ (Rue de la Fontaine-au-Roi) มีผู้เสียชีวิต 5 ราย บาดเจ็บ 8 ราย

    เวลา 21.36 น. เกิดเหตุกราดยิงที่ถนนชาฮอน (Rue de Charonne) มีผู้เสียชีวิต 19 ราย บาดเจ็บสาหัส 9 ราย

    เวลา 21.45 น. เกิดเหตุกราดยิงในโรงละครบาตาคล็อง (Bataclan theatre) ขณะกำลังมีการแสดงคอนเสิร์ตของอีเกิลส์ออฟเดทเมทัล (Eagles of Death Metal) วงร็อกอเมริกัน ซึ่งมีผู้เข้าชมประมาณ 1,500 คน การกราดยิงดำเนินไปประมาณ 20 นาที จากนั้นมีการจับตัวประกันประมาณ 60-100 คน เหตุการณ์ดำเนินไปจนถึงเวลาประมาณ 00.20 น. กำลังตำรวจจึงบุกเข้าไปในขณะที่คนร้ายเริ่มฆ่าตัวประกัน คนร้าย 2 คน ระเบิดพลีชีพในเหตุการณ์นี้ และอีกคนเสียชีวิตจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ โดยสรุป เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิต 89 ราย (ไม่รวมคนร้าย 3 ราย) และบาดเจ็บ 310 ราย

    เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ประธานาธิบดีประเทศฝรั่งเศส นายฟรองซัวส์ ออลลองด์ (François Hollande) ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและปิดพรมแดน ก่อนที่ในวันที่ 14 พ.ย. 2558 กลุ่มไอเอสจะออกมาประกาศว่าพวกตนอยู่เบื้องหลังการโจมตีดังกล่าว ทั้งยังบอกว่าการโจมตีจะมีต่อไป หากฝรั่งเศสไม่เลิกร่วมมือกับสหรัฐในการโจมตีไอเอส

    นายออลลองด์ประกาศว่าการกระทำนี้เปรียบเสมือนการทำสงคราม ฝรั่งเศสจะตอบโต้อย่างไร้ความปรานี และในวันที่ 15 พ.ย. 2558 ด้วยความร่วมมือจากสหรัฐอเมริกา เครื่องบินรบ 12 ลำของฝรั่งเศสก็บุกจู่โจมทิ้งระเบิด 20 ลูกใส่เมืองรักกะ ประเทศซีเรีย เพื่อทำลายฐานที่มั่นของไอเอส

    อย่างไรก็ดี ล่าสุด มีรายงานว่า นายอับเดลฮามิด อาบาอุด ชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มไอเอส และเป็นผู้วางแผนการในครั้งนี้ ได้เสียชีวิตลงแล้ว (อ่านรายละเอียด)

    ผลวิจัย “ฮาร์วาร์ด” ชี้ ถ่านหินจะฆ่าคนไทยเพิ่มขึ้นปีละกว่า 3,000 คน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ (http://goo.gl/AWCJm5)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ (http://goo.gl/AWCJm5)

    ศูนย์ข่าวภาคใต้ ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า วันที่ 19 พ.ย. 2558 ที่ ห้อง 275 ชั้น 2 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเวทีนำเสนอรายงานวิจัยมลพิษทางอากาศจากถ่านหินของประเทศไทย ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชี้จนถึงปี พ.ศ.2554 โรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีอยู่ในประเทศไทยเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอัน ควรของประชากรประมาณ 1,550 คนต่อปี อัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอาจเพิ่มขึ้นถึง 5,300 คนต่อปี หากรัฐบาลไทยเดินหน้าขยายโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ในประเทศ
           
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวทีเริ่มด้วยการกล่าวนําการประเมินผลกระทบสุขภาพของประเทศไทย โดย ศ.ดร.สุริชัย หวันแก้ว คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และผู้อํานวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อด้วยการเสนองานวิจัยการลงทุนถ่านหินของประเทศไทย โดย น.ส.จริยา เสนพงศ์ กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
           
    ต่อด้วยการนำเสนอรายงานวิจัยมลพิษทางอากาศจากถ่านหินของประเทศไทย โดย น.ส.แซนนอน คอบลิซ นักวิจัยทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยฮารวาร์ด และรายงานวิจัยมลพิษทางอากาศจากถ่านหินของประเทศไทย โดย นายลาวรี มิลลีเวียตา ผู้เชียวชาญด้านพลังงาน กรีนพีซอินเตอร์และยังมีการนำเสนองานวิจัยมลพิษทางอากาศจากถ่านหินกับการสูญ เสียทางเศรษฐกิจ โดยนายศุภกิจ นันทะวรการ ผู้จัดการมูลนิธินโยบายสุขภาวะด้าน นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา นำเสนอ การประเมินผลกระทบโดยชุมชน น.ส.สมพร เพ็งค่ำ นักวิชาการการประเมินผลกระทบโดยชุมชน นำเสนอ ประเทศไทยกับการปฏิรูปการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ นายแพทย์วิพุธ พูลเจริญ ประธานกรรมการคณะกรรมการพัฒนาระบบ และกลไกลการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
            
    แซนนอน คอบลิซ นักวิจัยทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า มลพิษทางอากาศจากโรงไฟฟ้าถ่านหินทำให้เกิดฝุ่นละออง และโอโซนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผลวิจัยของเราชี้ให้เห็นว่า การขยายการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินตามแผนที่วางไว้จะทำให้มลพิษทางอากาศเพิ่ม ความเข้มข้นมากขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้นทุนสุขภาพ และชีวิตของผู้คนจากมลพิษถ่านหินควรจะต้องนำมาพิจารณาในการตัดสินใจถึงทาง เลือกอนาคตพลังงานของไทย
           
    การปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์สู่บรรยากาศ พบว่า ในอเมริกาและยุโรปนั้นลดลงมาก เพราะการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าถ่านหินลดลง แต่กำลังเพิ่มในเอเชียโดยเฉพาะจีนและอินเดีย และในอาเซียนก็กำลังปล่อยมากขึ้น การจากงานวิจัยในอาเซียนมีการศึกษาวิจัยการปล่อยซัลเฟอร์และอานุภาคฝุ่นขนาดไหนกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อมแค่ไหน ผลจากการศึกษาวิจัยในอาเซียนพบว่า ประเทศที่มีการปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์กับไนโตรเจนไดออกไซด์มากที่สุดคือ อินโดนีเซีย ไทย ญี่ปุ่น ตามลำดับ
           
    อีก 15 ปี หากโรงไฟฟ้าถ่านหินอีก 400 โรง ก่อสร้างโรงสำเร็จ ทั้งไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม พม่าจะปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์กับไนโตรเจนไดออกไซด์อีกจำนวนมาก จากผลการคำนวณอัตราการตายก่อนวัยอันควรในปี 2030 โดยพบว่า ในปี 2030 จะมีการตายก่อนวัยอันควรจากฝุ่น PM2.5 ราว 3,080 คน และจากโอโซน 110 คน นั่นแปลว่า ถ่านหินจะทำให้คนไทยตายก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้นปีละ 3,000 ราย
           
    นายลาวรี มิลลีเวียตา ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กรีนพีซสากล กล่าวว่า ผลกระทบต่อสุขภาพจากโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศไทยพบว่าฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งสามารถเข้าไปในปอดในร่างกายของคนเราได้ หากนำหน้ากากแบบกรองละเอียดมาใส่จะพบว่าตัวกรองจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำ และจากผลวิจัยมลพิษทางอากาศทำให้คนตายก่อนวัยอันควร 3 ล้านคนทั่วโลก อยู่ในอาเซียน 160,000 คน ซึ่งมลพิษทางอากาศจัดเป็นสารก่อมะเร็ง โดยถ่านหินเป็นตัวก่อมลพิษทางอากาศราว 1 ใน 3 ของมลพิษอากาศ
            
    จากการศึกษาโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ที่ จ.ระยอง ที่ทับสะแก จ.ประจวบฯ ที่ จ. กระบี่ ที่ อ.เทพา จ.สงขลา พบว่า โรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องแล้วนั้นพบว่า ภาคกลาง ภาคเหนือ มีฝุ่นกระจายในวงกว้างหากเพิ่มกระบี่ ทับสะแก จะส่งผลให้ภาคใต้มีการปนเปื้อนด้วยฝุ่นอันตราย จากที่ปัจจุบันยังไม่มีผลกระทบจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน

    ผลจากการศึกษาพบว่า จะมีการตายก่อนวัยอันควรจากโรคทางเดินหายใจ หลอดเลือดสมอง มะเร็งปอด หัวใจ ตัวเลขปัจจุบันปีละ 1,150 ราย แต่หากสร้างตามแผนก็จะสร้างเพิ่ม จะมีคนเสียชีวิตเพิ่มเป็น 3,200 รายต่อปี
           
    นายลาวรี ยังได้ศึกษาลงรายละเอียดที่ จ.ระยอง จ.กระบี่ และ อ.เทพา จ.สงขลา โดย จ.ระยอง เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ปล่อยมลพิษอันดับ 2 ของประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครเพียง 120 กม. เท่านั้นเอง
           
    คำนวณว่าโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2 โรงที่ จ.ระยอง จะทำให้มีการเสียชีวิตราว 360 รายต่อปี กรณี จ.กระบี่ จะส่งผลกระทบทั้งฝั่งอันดามัน และพื้นที่แรมซาร์ พื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญ และผลกระทบจะกระจายมลพิษมาถึง จ.ภูเก็ต ด้วยการกระจายมลพิษของ จ.กระบี่ ขึ้นกับมรสุมครึ่งปีพัดไปทาง จ.ภูเก็ต อีกครึ่งปีพัดไปทาง จ.นครศรีธรรมราช
           
    ผลจากการวิจัยโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ จะทำให้มีการตายก่อนวัยอันควรราวปีละ 1,750 รายต่อปี และคาดการณ์ว่าฝนกรดจะกระทบต่อพื้นที่ชุ่มน้ำ และโลหะหนักก็จะชะล้างลงพื้นที่ชุ่มน้ำและสู่ทะเลอันดามัน มีการประมาณการเถ้าถ่านหินที่จะฟุ้งกระจายในอากาศด้วย เป็นเถ้าเบาที่ออกจากปล่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน และลงไปยังพื้นที่ชุ่มน้ำราว 9,000 กิโลกรัมต่อปี โดยโรงไฟฟ้าถ่านหินจะปล่อยเถ้าออกมาราวปีละ 150 ตัน
           
    กรณีที่โรงไฟฟ้าถ่านหิน อ.เทพา จ.สงขลา ผลกระทบจะกระจายมาถึง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และ จ.ปัตตานี ประเมินว่า จะมีคนตายก่อนวัยอันควร 4,420 รายต่อปี และส่งผลให้เกิดฝนกรดกระจายมาถึง จ.สตูล จ.ปัตตานี และ จ.สงขลา เกือบทั้งจังหวัด และจะเถ้าลอยหนาแน่นใน อ.เทพา จำนวนมาก
            
    นายลาวรี บอกว่า ประเทศไทยยินยอมให้ปล่อยมลพิษมากกว่าประเทศสหรัฐฯ และประเทศจีน หรือยุโรปนับสิบเท่า ประเทศไทยจึงมีการตายก่อนวัยอันควรมากกว่าจีน และอเมริกา ปี 2014 มีข่าวดีว่าเป็นปีแรกที่ทั่วโลกมีการใช้พลังงานหมุนเวียนมากกว่าพลังงาน ฟอสซิล ผลการศึกษาแบบนี้ไม่เคยปรากฏในรายงาน EHIA
           
    นายลาวรี เสนอว่า ให้ประเทศไทยปรับค่ามาตรฐานให้ได้มาตรฐานแบบอารยะประเทศ ให้มีการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพจริงๆ ไม่ใช่แบบเดิม และพัฒนาพลังงานหมุนเวียนอย่างเร่งด่วน
           
    จริยา เสนพงศ์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาการศึกษาต้นทุนชีวิต โรงไฟฟ้าถ่านหินกับภัยคุกคามต่อสุขภาพของคนไทย เป็นการศึกษาเกี่ยวกับอัตราการเจ็บป่วย และการตายที่เกี่ยวเนื่องต่อโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศไทย ข้อมูลดังกล่าวเป็นผลการคำนวณแบบจำลองบรรยากาศ (Atmospheric Modeling) ที่ดำเนินการโดยทีมวิจัย Atmospheric Chemistry Modeling ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า แบบจำลองการเคลื่อนที่ของเคมีในบรรยากาศ (Atmospheric chemistry-transport model- GEOS-Chem
           
    “ทุกๆ โรงไฟฟ้าถ่านหินที่สร้างขึ้นใหม่คือความเสี่ยงด้านสุขภาพของคนไทยที่เพิ่ม ขึ้น การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมาจากโรคเส้นเลือดอุดตัน หัวใจวาย มะเร็งปอด และโรคที่เกี่ยวกับระบบหัวใจหลอดเลือด และทางเดินหายใจต่างๆ ซึ่งผลกระทบนี้ยังรวมถึงการเสียชีวิตของประชากรวัยเด็ก” จริยา กล่าว
           
    นอกจากนี้เฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ซึ่งถูกโฆษณาว่าเป็น “ถ่านหินสะอาด” มลพิษทางอากาศที่ปล่อยออกมาจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้มาก ถึง 1,800 คน ในช่วงระยะเวลา 40 ปี ของการดำเนินงาน และหากนำมลพิษทางอากาศที่ปล่อยออกมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหินบีแอลซีพี และเก็คโค่วัน ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดรวมเข้าไปด้วย จะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 14,000 คน ตลอดระยะเวลา 40 ปี ของการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า ตอนนี้จึงเป็นโอกาสของนายกรัฐมนตรีที่จะเลือกก้าวข้ามเทคโนโลยีสกปรก เช่นเดียวกันกับผู้นำโลกคนอื่นที่ได้ประกาศเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด และสิ่งนี้ส่งผลให้เกิดความมั่นคงต่อชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง
           
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงท้ายของกิจกรรมได้มีการแถลงข่าว และออกแถลงการณ์ของเครือข่าย คําแถลงการณ์ร่วม เครือข่ายประชาชน 12 จังหวัดเพื่อการปกป้องพื้นที่จากโรงไฟฟ้าถ่านหิน
            
    1. เราตระหนักว่าโลกกําลังเผชิญต่อวิกฤตครั้งสําคัญว่าด้วยการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและโลกในปัจจุบันนี้กําลังเต็มไปด้วยมลพิษที่คร่า ชีวิตคน และทําลายสิ่งแวดล้อมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จนผู้นําของโลกหลายคนได้ออกมารณรงค์เรียกร้องต่อเรืองนี้ คณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐบาลซึ่งสนับสนุนโดยสหประชาชาติ ชี้ชัดว่าการใช้พลังงานฟอสซิลเป็นปัญหาหลักของการทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ และถ่านหินกลายเป็นสาเหตุสําคัญของปัญหา นอกจากนี้ ได้ปรากฏงานวิจัยในหลายประเทศบ่งชี้ว่า ถ่านหินคือตัวการทําลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์อย่างรุนแรง
           
    2. หลายประเทศในโลกจึงเร่งดําเนินการ 2 ประการเพื่อลดวิกฤตดังกล่าวคือ การปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งในประเทศอเมริกา จีน ยุโรป อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และทั้งโลกได้แสวงหาความมั่นคงทางพลังงานด้วยพลังงานหมุนเวียนจนมีสัดส่วน เพิ่มขึ้นอย่างมาก และกลายเป็นทางเลือกของความมั่นคงด้านพลังงานที่ไม่ทําลายชีวิตคน และสิ่งแวดล้อม
           
    3. ความรุนแรงของปัญหาได้กระตุ้นให้เกิดปฏิบัติการหยุดการลงทุนใน กิจการฟอสซิลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยปัจจุบันได้มีการถอนการลงทุนจากพลังงานฟอสซิลแล้ว จํานวน 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6.8 เท่าของจีดีพีประเทศไทยปี 2557 เป็นปฏิบัติการจาก 400 สถาบันการศึกษา 430 บริษัท และ 2,040 ปัจเจกบุคคล จาก 43 ประเทศ และนี่คือการแสดงความรับผิดชอบต่อโลก
           
    4. ต้นเดือนธันวาคมนี้ทั้งโลกได้ตระหนักต่อภัยคุกคามสําคัญดังกล่าว โดยได้รวมตัวกันมาประชุมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อหาทางช่วยให้โลกพ้นจากวิกฤตการณ์ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งหลายประเทศได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการสร้างรูปธรรมให้เห็นมาแล้วก่อน หน้านี้ และการประชุมคราวนี้โลกอาจมีความก้าวหน้ามากขึ้นทั้งในระดับนโยบายรัฐ และการเปลี่ยนแปลงในระดับ เอกชน และบุคคล ทั้งหมดนี้คือการแสดงความรับผิดชอบต่อโลก และชีวิตของประชาชนในประเทศ
           
    5. รัฐบาลไทยกลับประพฤติสวนทางต่อความรับผิดชอบต่อโลก สวนทางต่อความพยายามของ นานาชาติที่จะลดการใช้พลังงานฟอสซิล ในขณะที่หลายประเทศในโลกปิด และลดการใช้ถ่านหิน รัฐบาลไทยกลับประกาศสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินโรงใหม่ งานวิจัยหลายประเทศในอเมริกา และยุโรปบ่งชี้ถึงอันตรายด้านสุขภาพ และหายนะด้านสิ่งแวดล้อมจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่ กฟผ.กลับประกาศว่ามีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาด ทุกอย่างสวนทางต่อโลกทั้งหมด มันเป็นความเพิกเฉยของรัฐบาลต่อ ความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน และยังหลงอยู่กับวาทกรรมถ่านหินสะอาดอย่างน่าละอาย
            
    6. เราขอเตือนไปยังรัฐบาลว่าพื้นที่แห่งชีวิตของเรานั้นหมายถึงสิ่ง แวดล้อมที่ดี สุขภาพที่สมบูรณ์และนี่เป็นจริยธรรมพื้นฐานที่รัฐพึงปฏิบัติต่อประชาชน ดังเช่นหลายประเทศที่กําลังดําเนินการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดต่อประชาชนในชาติ สิ่งที่เราไม่เข้าใจคือที่ผ่านมา รัฐได้พยายามอย่างมากมายในการให้สิทธิพิเศษกับนักลงทุนต่างชาติ แต่เราเป็นประชาชนของประเทศที่ไม่เคยเรียกร้องสิทธิพิเศษใด ขอเพียงรัฐบาลหยุดทําลายเราด้วยการสนับสนุนให้นายทุนถ่านหิน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มา ‘ฆ่า’ เราด้วยการที่รัฐบาลปล่อยให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงถ่านหิน
           
    7. พื้นที่แห่งชีวิตของเราเหลือไม่มากนัก เราไม่มีสิ่งแวดล้อมมากพอที่ให้พวกท่านนําไปทําลาย พื้นที่อันน้อยนิดเหล่านี้เราขอปกป้องมันไว้ เพื่ออนาคตของลูกหลานเรา รัฐบาลอย่าได้ปล่อยให้มีการแสวงหากําไรทางธุรกิจบนความตายของประชาชนในชาติ!
           
    8. เราไม่ได้รุกรานใคร เราเพียงปกป้องพื้นที่แห่งชีวิตของเราเอง อํานาจของพวกท่านได้มาแล้วจากไป แต่พื้นที่แห่งชีวิตของเราจะหล่อเลี้ยงลูกหลานของเราไปชั่วกาล เราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ชีวิตเข้าไปปกป้องมันไว้!
           
    9. เราจึงขอเตือนไปยังรัฐบาลว่ามีความละอายต่อโลกบ้าง เห็นแก่ชีวิตของประชาชนในชาติบ้างก่อนที่วิกฤตมันจะลุกลามมากไปกว่านี้ ในนามเครือข่ายประชาชน 12 จังหวัดปกป้องพื้นที่จากโรงไฟฟ้าถ่านหิน จึงขอประกาศให้รัฐบาลถอดโรงไฟฟ้าถ่านหินออกจากแผนพีดีพีของประเทศ สร้างมาตรการที่เอื้อต่อการเกิดความมั่นคงทางพลังงานด้วยพลังงานหมุนเวียน และดําเนินการมาตรการอนุรักษ์พลังงานอย่างจริงจัง หยุดการคุกคามประชาชนของตัวเอง และหากรัฐบาลไม่หยุดเราก็ไม่อาจถอยมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

    ออกจาก ตร.-ออกจาก ปท. “ปวีณ” กลัวไม่ปลอดภัย

    พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/539984)
    พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/539984)

    ตามที่ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ ได้เคยนำเสนอข่าวจากสำนักข่าวอิศรา ถึงเรื่องของ พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ หัวหน้าสอบสวนคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา ที่เปิดเผยว่าคณะทำงานถูกข่มขู่จากผู้มีอิทธิพลที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดี และตัวเองยังถูกย้ายราชการไปยังสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

    ในครั้งนั้น พล.ต.ต. ปวีณ บอกว่า “หากผมไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือการดูแลในเรื่องความปลอดภัยที่ดีพอ ทางเลือกสุดท้ายอาจจะต้องลาออกจากราชการเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง”

    และในเวลาต่อมา พล.ต.ต. ปวีณ ก็ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการ

    ล่าสุด วันที่ 17 พ.ย. 2558 เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ภายหลังจาก พล.ต.ต. ปวีณ ทราบข้อมูลว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะไม่ยับยั้งการยื่นหนังสือลาออกจากราชการ จึงตัดสินใจที่จะเดินทางออกนอกประเทศพร้อมกับครอบครัว ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย

    อนึ่ง ต่อมา ในวันที่ 18 พ.ย. 2558 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า พล.ต.อ. เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ที่ปรึกษาสบ. 10 ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า การเดินทางไปต่างประเทศถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล เนื่องจาก พล.ต.ต. ปวีณ ก็ได้ลาออกไปแล้ว และส่วนตัวยังไม่เชื่อว่า พล.ต.ต. ปวีณ จะถูกคุกคามได้ และหากถูกคุกคามจากการทำคดีจริง ก็ไม่ทราบว่าจะต้องเข้าไปช่วยเหลืออย่างไร เพราะเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ย่อมต้องรู้วิธีต่อสู้ตามระเบียบแบบแผนของตำรวจซึ่งมีช่องทางอยู่แล้ว แต่ พล.ต.ต. ปวีณ ไม่ได้ดำเนินการ ซึ่งเป็นดุลพินิจส่วนตัวไปก้าวก่ายไม่ได้ และยังไม่ได้พูดคุยกับ พล.ต.ต. ปวีณ ถึงรายละเอียดต่างๆ

    บุก “ฟ้าให้ทีวี” จ่อเรียก “เสรีพิศุทธ์” จัดรายการเสี่ยงกระทบความมั่นคง

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/540572)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/540572)

    วันที่ 19 พ.ย. 2558 เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า พ.อ. บุรินทร์ ทองประไพ เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาฝ่ายกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วย พ.อ. นรินทรักษ์ เชษฐศิริ รอง ผบ.ส.1 และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นสถานีวิทยุโทรทัศน์ ฟ้าให้ทีวี (Fahai TV) ตั้งอยู่เลขที่ 45/410-411 ซ.บอนด์สตรีท ถ.ติวานนท์ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยอาศัยอำนาจตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ลงวันที่ 1 เม.ย.58 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ ประกอบรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 มาตรา 44 หลังจากได้รับการร้องเรียนว่าช่องรายการดังกล่าว มีการออกอากาศทางเว็บไซต์ยูทูบ และมีเนื้อหาที่เข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดสถานี

    ขณะเข้าตรวจค้น พบว่า มี น.ส.พรทิพา สุพัฒนุกุล เป็นเจ้าของ นอกจากนี้ ยังมีรายชื่อของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินรายการ “เสียงเสรี” พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวม 7 คน ได้แก่ บริษัท ฟ้าคุ้ม จำกัด น.ส.พรทิพา สุพัฒนุกูล นายชัยวัฒน์ จันทร์เต็ม นายขุนน้ำ เนรัญชรา นายณรงค์ฤทธิ์ ภู่ทวี นายวริศ อาคำ นายปัณณธร รัตน์ภูริเดช และ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส มาสอบสวนที่กองบังคับการปราบปราม ส่วนในรายของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ได้ส่งทนายความส่วนตัวมาประสานกองปราบปราม ว่าจะเข้ามาให้ปากคำในภายหลัง

    ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทหารได้ยึดอุปกรณ์ออกอากาศของทางสถานี ประกอบด้วย ห้องควบคุมการออกอากาศ ชั้น 2 (Master control Room) จำนวน 25 รายการ ห้องจัดรายการ (Studio) ชั้น 2 จำนวน 5 รายการ ห้องตัดต่อ (Editer) ชั้น 3 จำนวน 14 รายการ รวม 44 รายการ มาไว้เป็นหลักฐาน และเทปรายการที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ คสช. มาส่งมอบให้กับกองปราบปรามด้วย

    ด้าน น.ส.พรทิพา ระบุว่า ปกติตนเอง มีทัศนคติที่ดีกับทหารมาโดยตลอด และการดำเนินรายการก็ ไม่ได้ขัดคำสั่ง คสช. แต่มีรายการ “เสียงเสรี” ของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธิ์ ที่เพิ่งนำมาออกอากาศกับทางสถานีได้ไม่นาน ก็มีเนื้อหาค่อนข้างไปทางหมิ่นเหม่ และเคยเตือนไปครั้งหนึ่งแล้ว จนกระทั่งถูก คสช.บุกเจ้าตรวจค้นจับกุม

    อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 20 พ.ย. 2558 ทาง คสช. จะมาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ กับผู้ต้องหาทั้งหมดที่กองปราบปรามในข้อหาร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชน ด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรฯ และร่วมกันประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ออกแล้ว ผลสอบ “ราชภักดิ์” โปร่งใสไร้ตำหนิ

    พล.อ. ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (http://www.dailynews.co.th/politics/362046)
    พล.อ. ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (http://www.dailynews.co.th/politics/362046)

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 20 พ.ย. 2558 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน พล.อ. ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แถลงภายหลังจากที่ครบกำหนดแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ โดยมี พล.อ. วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก เป็นประธานคณะกรรมการว่า คณะกรรมการที่ตนแต่งตั้งขึ้นมา เพื่อตรวจสอบว่า การดำเนินการของโครงการอุทยานราชภักดิ์ ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีอะไรบ้าง สิ่งใดที่ทำไปแล้วและสิ่งใดที่ยังไม่ทำ หรือมีปัญหามีอะไรบ้าง เพราะหลังจากนี้ตนจะรับโครงการดังกล่าวมาดำเนินการต่อ ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าอุทยานดังกล่าวเป็นของกองทัพบก เพราะสร้างในที่ดินของกองทัพบก และกองทัพบกเป็นผู้ดูแลโครงการทั้งหมด แต่ดำเนินการจัดสร้างโดยอดีต ผบ.ทบ. ด้วยเงินที่มีผู้บริจาคทั้งหมด ดังนั้นเมื่ออดีต ผบ.ทบ. (พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร) เกษียณอายุราชการไปแล้ว ตนก็จะรับทำต่อไป แต่ก่อนจะรับทำ ก็ต้องตรวจสอบก่อน ซึ่งจากผลการตรวจสอบก็มีความเรียบร้อยทุกอย่าง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรายงาน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพราะถือว่าเป็นเรื่องภายในกองทัพบก

    เมื่อถามว่าจากการตรวจสอบไม่พบการทุจริตใช่หรือไม่ พล.อ. ธีรชัย กล่าวว่า ตามบัญชีทุกอย่างรายได้เข้าจากการบริจาคมาที่กองทุนอุทยานราชภักดิ์ของกองทัพบกและการใช้จ่ายอออกไปถูกต้อง เพราะมีระบบการเงินดูแลทุกขั้นตอน เมื่อถามต่อว่าแต่สังคมอาจยังมีความสงสัย พล.อ. ธีรชัย กล่าวว่า สังคมคือใคร สังคมคือโซเชียลมีเดียใช่หรือไม่ ตอนนี้สังคมไทยหูเบา อ่านโซเชียลมีเดียแล้วก็เชื่อแบบไม่มีสติ ดังนั้นจะฟังอะไรหรือรู้อะไรจากโซเชียลมีเดียก็ขอให้ใช้สติ

    เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ. อุดมเดช ยอมรับว่ามีการหักค่าหัวคิวในการดำเนินการหล่อองค์พระรูป พล.อ. ธีรชัย กล่าวว่า ขอให้ไปถาม พล.อ. อุดมเดช เมื่อถามย้ำอีกว่าแสดงว่าโครงการดังกล่าวนี้ไม่มีการทุจริต พล.อ. ธีรชัย กล่าวว่า ไม่มีการทุจริตจากองค์กรหรือบุคคลที่ดำเนินการ แต่หากมีบุคคลใดหาประโยชน์จากโครงการนี้ถ้าตรวจสอบพบตนจะไม่ละเว้น ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี ดำเนินการอย่างโปร่งใสถ้ามีบุคคลที่แอบแฝงแม้จะเป็นกำลังพลของใครก็ตามที่หวังประโยชน์จากโครงการนี้ตนจะดำเนินการทุกราย ทั้งนี้ตนดูบัญชีและการดำเนินงานว่าจะรับต่อจากเดิมอย่างไร เพราะโครงการนี้ไม่ได้มีงบประมาณรองรับ มาจากเงินบริจาคทั้งสิ้น แต่ถ้าเงินไม่พอก็ต้องหาวิธีการดำเนินการต่อให้โครงการสำเร็จลุล่วงไปตามวัตถุประสงค์ สำหรับยอดเงินบริจาคในส่วนของบัญชีกองทัพบกล่าสุดเหลือเงินบริจาคจำนวน 33 ล้านบาท แต่ยังไม่รวมเงินบริจาคที่อยู่ในมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ เพราะเป็นนิติบุคคล ไม่ได้เกี่ยวกับกองทัพบก ส่วนยอดบริจาคที่ผ่านมาทั้งหมดมีจำนวนมาก และนำไปสร้างในส่วนต่างๆ อย่างไรก็ตามข้อมูลการใช้จ่ายแต่ละรายการมีข้อมูลหมด และสามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากไม่มีอะไรต้องปิดบัง

    “โครงการนี้เป็นของกองทัพบก ผมในฐานะ ผบ.ทบ. ที่จะมารับโครงการนี้ต่อ ดังนั้นต้องตรวจสอบว่าในส่วนนี้มีอะไรที่ดำเนินการไปแล้วและยังไม่ดำเนินการ มีปัญหาบกพร่องตรงไหน เมื่อทราบแล้วว่ามีตัวเลขอย่างไร ผมก็จะเริ่มวางแผนสร้างต่อให้สำเร็จ ส่วนเรื่องการหักหัวคิวต้องไปถามท่านอดีตผบ.ทบ. เรื่องโรงหล่อที่มีทั้งหมด 6 โรง หล่อพระรูป 7พระองค์ ในประเทศไทยมีโรงหล่อที่สามารถหล่อได้ 7 โรงใหญ่ๆ ในแต่ละโรงก็มีราคาองค์ละ 41-45 ล้านบาท ไม่เท่ากัน และการจ่ายเงินก็จ่ายเป็นงวด แบ่งเป็น 5 งวด แต่งวดสุดท้ายยังไม่จ่าย เพราะมีสัญญาการจัดจ้างว่าจะต้องดูประกันคุณภาพจนแน่ใจตามระยะเวลากี่ปีถึงจะจ่ายงวดนี้ ส่วนที่มีข่าวโรงหล่อบริจาคเข้ามูลนิธิฯ มีใบเสร็จจำนวน 20 ล้านบาทนั้น มีบัญชีทั้งหมดเรียบร้อยอยู่ในกองทุนอุทยานราชภักดิ์ของกองทัพบก อีกทั้งที่ผ่านมายอมรับว่ามีการจัดให้มีการบริจาคโต๊ะจีนโต๊ะละ 1 แสนบาทจริง รวมถึงการปลูกต้นปาล์มที่ให้ผู้บริจาคมีส่วนร่วมในกิจกรรมการปลูกไม้ ต้นละ 3 แสนบาท และมีการนำชื่อมาติดที่ต้นไม้ ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมให้มีส่วนร่วมในการบริจาคเงิน โดยเงินทั้งหมดนำเข้ากองทุนจริง” พล.อ. ธีรชัยกล่าว

    เมื่อถามถึงบุคคลที่เคยถูกพาดพิงก่อนหน้านี้ ทั้งนายทหารและพลเรือน พล.อ. ธีรชัย กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะตนดูตามบัญชี เมื่อถามกรณีที่มีนายทหารยศ “พล.ต.” ลาออก พล.อ. ธีรชัย กล่าวว่า “เป็นคนละเรื่อง งานอื่นมั้ง ไม่ใช่งานราชภักดิ์” เมื่อถามอีกว่าในส่วนของเงินที่เข้ามูลนิธิฯจะสามารถตรวจสอบได้หรือไม่ พล.อ. ธีรชัย กล่าวว่า ขณะนี้เงินบริจาคที่มีอยู่ในมูลนิธิฯมีประมาณ 120 ล้านบาท ส่วนตนจะเข้าไปดูมูลนิธิฯหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวกัน เพราะมูลนิธิฯเป็นนิติบุคคล มี พล.อ. อุดมเดช เป็นประธาน ที่ไม่ได้เป็นโดยตำแหน่ง ส่วนตนเป็น ผบ.ทบ. มีหน้าที่ดูอุทยานราชภักดิ์ เพราะอยู่ในที่ดินของกองทัพบก ถ้ากองทัพบกจะสร้างอะไร ตนก็ทำแผนงานเสนอมูลนิธิฯ เพื่ออนุมัตินำเงินมาให้กองทัพบกดำเนินการจัดสร้าง หรือมูลนิธิฯต้องการสร้างสิ่งใดเพิ่มเติมก็ต้องทำหนังสือมาที่กองทัพบก เพื่อขอการสนับสนุนในการจัดสร้างและนำเงินมาให้กองทัพบกสร้าง เพราะต่อไปการดำเนินการทั้งหมดขึ้นอยู่กับกองทัพบกว่าจะบริหารอย่างไร ซึ่งอาจจะใช้เงินบริจาคหรือเรี่ยรายจากกำลังพล 2 แสนกว่าคนมาช่วยกันดูแลอุทยานแห่งนี้ ซึ่งทุกอย่างต้องรอการพิจารณาจากคณะกรรมการก่อน

    “เรื่องการบริหารเป็นเรื่องของกองทัพบก เรื่องการทุจริตผมไม่เคยพูดสักคำว่ามี ไปเอาหลักฐานมาจากไหน ส่วนความสัมพันธ์กับ พล.อ. อุดมเดช นั้น นักข่าวทั้งหลาย ปีที่แล้วคุณจำได้หรือไม่ ส่งเสริม สนับสนุนและยกย่องทั้งหมด แต่ปีนี้คุณมาใส่ร้ายป้ายสีเขา ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน จากนี้คงต้องตรวจสอบนักข่าวที่มีกลุ่มหนึ่งพอถึงเวลาก็เปลี่ยนท่าที ปีที่แล้วชงกันจัง ยกยอปอปั้นสารพัด ปีนี้ให้ร้ายเขา แต่จะมีอะไรรึเปล่า ผมไม่รู้ ส่วนที่มีข่าวว่าหลังจากการแถลงข่าวจะมีการแจ้งความดำเนินคดีนั้นผมไม่เคยพูดสักคำ มาจากโซเชียลทั้งนั้น ผมไม่เดินตามโซเชียล ขอให้มีสติบ้าง” พล.อ. ธีรชัย กล่าว

    เมื่อถามว่าโครงการนี้จะให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามาร่วมตรวจสอบด้วยหรือไม่ พล.อ. ธีรชัย กล่าวว่า ไม่ได้เกี่ยวกัน ถ้ามีเรื่องความไม่โปร่งใสตนไม่ปล่อยไว้ เมื่อถามว่าคณะกรรมการที่มี พล.อ. วีรัณ เป็นประธานจะตรวจสอบเรื่องการทุจริตต่อไปหรือไม่ พล.อ. ธีรชัย กล่าวว่า ตนได้ข้อมูลแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปกับอุทยานราชภักดิ์ให้สำเร็จลุล่วง เพราะตนและกองทัพบกต้องดูแลอุทยานต่อไป แต่หากอนาคตข้างหน้ามีอะไรอีกตนก็จะตรวจสอบ โดยเฉพาะการตรวจสอบว่าอะไรที่ทำให้กองทัพบกเสียหาย ตนจะไม่ปล่อยไว้

    เมื่อถามต่อว่ามั่นใจในกระแสหลังจากแถลงข่าวเสร็จหรือไม่ว่าประชาชนจะไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมาที่กองทัพ พล.อ. ธีรชัย กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ขอให้ใช้สติคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ ส่วนเรื่องเอกสารปลอมที่ปล่อยมาก่อนหน้านี้ ก็เป็นเรื่องของเอกสารปลอม ไม่ได้เกี่ยวกับกองทัพ เมื่ออ่านดูแล้วก็เข้าใจได้ว่าปลอมหรือไม่ปลอม และเมื่อสื่ออ่านก็ทราบดี ส่วนที่ฝ่ายการเมืองอาจยังนำเรื่องนี้มาโต้แย้งนั้น ไม่ต้องไปชี้แจงบอกเขาโดยตรง ถ้าฟังจากสื่อก็ทราบ เพราะโตกันแล้ว นอกจากจะสร้างปัญหา คนทั้งหมดเขาอยากให้มีความสงบ คนที่มีปัญหาคือไม่อยากให้เกิดความสงบ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้เกิดความด่างพร้อยในกองทัพได้

    เมื่อถามถึงกรณีที่ พ.อ. คชาชาต บุญดี อดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกศาลทหารกรุงเทพออกหมายจับในคดี 112 นั้นเกี่ยวข้องกับโครงการอุทยานราชภักดิ์ด้วยหรือไม่ พล.อ. ธีรชัย กล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการอุทยานราชภักดิ์ แต่เป็นเรื่องอื่น

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ทหาร โดยสื่อมวลชนทุกคนจะต้องติดบัตรแสดงตนอย่างชัดเจน รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารยังห้ามไม่ให้สื่อโทรทัศน์ดำเนินการถ่ายทอดสดระหว่าง ผบ.ทบ. แถลงข่าวด้วย