ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอต พ.ศ. 2558: ระเบิดราชประสงค์, ไอเอสถล่มปารีส, หมอหยองหมิ่นเบื้องสูง, พิพากษาคดีเกาะเต่า และปมทุจริตราชภักดิ์

ประเด็นฮอต พ.ศ. 2558: ระเบิดราชประสงค์, ไอเอสถล่มปารีส, หมอหยองหมิ่นเบื้องสูง, พิพากษาคดีเกาะเต่า และปมทุจริตราชภักดิ์

2 มกราคม 2016


ประเด็นฮอตในรอบปี พ.ศ. 2558

  • คดีวางระเบิดแยกราชประสงค์
  • ไอเอสถล่มปารีส
  • รวบหมอหยอง-พวก หมิ่นเบื้องสูง ตายคาคุก
  • พิพากษาประหารชีวิต 2 จำเลย ฆาตกรรมเกาะเต่า
  • ปมทุจริตอุทยานราชภักดิ์
  • คดีวางระเบิดแยกราชประสงค์

    Screen Shot 2016-01-02 at 6.12.39 AM

    17 ส.ค. 2558 เวลาประมาณ 19.00 น. เกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณหน้าศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ และในวันที่ 18 ส.ค. 2558 เวลา 13.20 น. เกิดเหตุระเบิดอีกครั้งบริเวณท่าเรือสาทร ใต้สะพานสมเด็จเพราะเจ้าตากสิน เหตุการณ์แรกทำให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเสียชีวิต 20 ราย และบาดเจ็บอีกประมาณ 130 ราย ส่วนเหตุการณ์หลังนั้น เนื่องจากเกิดการระเบิดในน้ำ จึงไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต

    ต่อมา ในช่วงบ่ายของวันที่ 29 ส.ค. 2558 ตำรวจและทหารสนธิกำลังเข้าบุกค้นอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งย่านหนองจอก และสามารถควบคุมตัวนายอาเดม คาราดัก จากการตรวนค้น พบอุปกรณ์และวัตถุที่ใช้สำหรับประกอบระเบิดจำนวนมาก โดยเฉพาะลูกปรายแบบกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 ซม. ชนิดเดียวกับที่พบจากระเบิดที่ราชประสงค์และท่าเรือสาทร

    และในวันที่ 1 ก.ย. 2558 ในวันที่ 1 ก.ย. 2558 ทหารกองกำลังบูรพา ตำรวจ ทหารพราน ตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดสระแก้ว สนธิกำลังร่วมกันออกลาดตระเวนและสกัดกั้นการหลบหนีของนายมีไรลี ยูสูฟู ผู้ต้องสงสัยวางระเบิดไว้ได้ ขณะกำลังลัดเลาะป่าหลบหนีเข้าประเทศกัมพูชา และนายยูสูฟูสารภาพในเวลาต่อมาว่า เป็นผู้นำระเบิดไปส่งมอบให้ “ชายเสื้อเหลือง” ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้นำระเบิดมายังบริเวณศาลพระพรหมฯ และกดระเบิด

    ทางด้านของนายอาเดม หลังจากปฏิเสธมาตลอด ในที่สุด เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2558 ก็รับสารภาพว่าตนเองเป็นผู้ต้องหาในดคีลอบวางระเบิดที่แยกราชประสงค์ อีกทั้งยังเป็นชาวอุยกูร์โดยกำเนิดด้วย โดยการวางระเบิดนั้นเป็นไปตามคำสั่งของนายอับดุลเลาะห์ อับดุลเลาะห์มาน หนึ่งในผู้ต้องหา ซึ่งเป็นนายหน้าพานายอาเดมเข้ามาในประเทศไทย

    วันที่ 24 พ.ย. 2558 อัยการทหารพิจารณาสั่งฟ้องนายอาเดมและนายมีไรลี ใน 10 ข้อหาหนัก โดยเป็นข้อหาเกี่ยวกับการครอบครอง พกพา และใช้วัตถุระเบิด การเจตนาฆ่าผู้อื่นและทำให้เสียทรัพย์ รวมไปถึงการเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ไม่มีข้อหาก่อการร้ายแต่อย่างใด (อ่านรายละเอียด)

    ไอเอสถล่มปารีส

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (http://www.dailynews.co.th/article/362249)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (http://www.dailynews.co.th/article/362249)

    13 พ.ย. 2558 ช่วงเวลาประมาณ 21.20 น. ของประเทศฝรั่งเศส เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นที่บริเวณสนามสตาดเดอฟรองซ์ ขณะกำลังมีฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่างทีมชาติฝรั่งเศสและเยอรมัน เมื่อมือระเบิดพลีชีพกดระเบิดตัวเองทันที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบและกันไม่ให้เข้าไปในสนาม และจากนั้น มือระเบิดพลีชีพอีก 2 รายก็กดระเบิดตัวเองในบริเวณใกล้เคียงกัน

    แม้การระเบิดพลีชีพดังกล่าวจะทำให้มีผู้เสียชีวิตเพียงรายเดียว (ไม่รวมมือระเบิด) แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุการเดียวที่เกิดขึ้นในปารีสคืนนั้น เพราะตลอดเวลาสามชั่วโมงต่อจากนั้น ก็ยังมีการระเบิดพลีชีพอีก 1 จุด และการกราดยิงอีก 4 จุด

    เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 129 คน และบาดเจ็บ 352 คน พื้นที่ที่รุนแรงที่สุดคือโรงละครบาตาคล็อง (Bataclan theatre) เนื่องจากกำลังมีการแสดงคอนเสิร์ตของอีเกิลส์ออฟเดทเมทัล (Eagles of Death Metal) วงร็อกอเมริกัน ซึ่งมีผู้เข้าชมประมาณ 1,500 คน การกราดยิงที่นี่ดำเนินไปประมาณ 20 นาที และมีการจับตัวประกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 89 ราย (ไม่รวมคนร้าย 3 ราย) และบาดเจ็บ 310 ราย หรืออาจกล่าวได้ว่าการบาดเจ็บและเสียชีวิตเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นที่นี่

    เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ประธานาธิบดีประเทศฝรั่งเศส นายฟรองซัวส์ ออลลองด์ (François Hollande) ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและปิดพรมแดน และในวันต่อมา 14 พ.ย. 2558 กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงที่เรียกตัวเองว่าไอเอส (IS-กลุ่มรัฐอิสลาม หรือชื่อย่อเต็มๆ ว่า ISIL: Islamic State of Iraq and the Levant) ออกมาประกาศว่าตนอยู่เบื้องหลังการโจมตีดังกล่าว และการโจมตีจะมีต่อไป หากฝรั่งเศสยังไม่หยุดร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาในการโจมตีไอเอส

    ฝรั่งเศสตอบโต้เหตุการณ์นี้ด้วยการส่งเครื่องบินรบทิ้งระเบิดใส่เมืองรักกะ ประเทศซีเรีย เพื่อทำลายฐานที่มั่นของไอเอส ทั้งยังได้สังหารผู้วางแผนการโจมตีฝรั่งเศสครั้งนี้ระหว่างการปะทะกันเพื่อจับกุม

    สามารถอ่านรายละเอียดเหตุการณ์ทั้งหมดได้จากเว็บไซต์วิกิพีเดีย

    รวบหมอหยอง-พวก หมิ่นเบื้องสูง ตายคาคุก

    นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ “หมอหยอง” (ซ้าย), พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา หรือ “สารวัตรเอี๊ยด” (กลาง) และนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือ “อาร์ท” (ขวา) ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐ (http://www.thairath.co.th/content/534000)
    นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ “หมอหยอง” (ซ้าย), พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา หรือ “สารวัตรเอี๊ยด” (กลาง) และนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือ “อาร์ท” (ขวา)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐ (http://www.thairath.co.th/content/534000)

    ช่วงประมาณกลางเดือน ต.ค. 2558 มีข่าวใหญ่ให้สังคมต้องฮือฮา เมื่อมีการจับกุมนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ “หมอหยอง”, พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา หรือ “สารวัตรเอี๊ยด” และนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือ “อาร์ท ชัตเตอร์มหาเทพ” ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 (ม.112, ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี) หรือมักเรียกกันว่า “กฎหมาย/คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” (กฎหมาย/คดีหมิ่นฯ) เนื่องจากทำการแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อรับผลประโยชน์

    ในชั้นของการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้งสามรับสารภาพว่ากระทำความผิดจริง ทั้งยังมีการพาดพิงถึงกลุ่มนายตำรวจที่ได้รับคำสั่งย้ายก่อนหน้านั้น

    ภายใต้คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) วันที่ 25 พ.ค. 2557 ผู้ที่กระทำความผิดตามมาตรา 112 จะต้องมีการนำขึ้นศาลทหาร ส่วนผู้ที่กระทำความผิดก่อนหน้านี้จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลอาญาตามปกติ ทำให้หมอหยองและพวกจะต้องถูกนำตัวขึ้นไต่สวนและพิพากษาด้วยศาลทหาร

    การจับกุมดังล่าว ทำให้ทั้งสามโดนดำเนินคดีรวมกัน 13 คดี

    ทว่า คดียังไม่ทันเป็นที่สิ้นสุด วันที่ 24 ต.ค. 2558 พ.ต.ต. ปรากรม หรือสารวัตรเอี๊ยด ก็ผูกคอตัวเองเสียชีวิตภายในเรือนจำชั่วคราว มณฑลทหารบกที่ 11 (อ่านรายละเอียด)

    และในวันที่ 7 พ.ย. 2558 หมอหยองก็เสียชีวิตเป็นรายต่อมา โดยแพทย์สันนิษฐานว่าเกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด (อ่านรายละเอียด)

    ทั้งนี้ ปัจจุบัน นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ยังมีชีวิตและอยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ (อ่านรายละเอียดhttp://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1447314083)

    พิพากษาประหารชีวิต 2 จำเลย ฆาตกรรมเกาะเต่า

    การประท้วงคำพิพากษาประหารชีวิตชาวพม่าในคดีฆาตกรรมเกาะเต่า ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (http://www.dailynews.co.th/foreign/370104)
    การประท้วงคำพิพากษาประหารชีวิตชาวพม่าในคดีฆาตกรรมเกาะเต่า
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (http://www.dailynews.co.th/foreign/370104)

    เป็นเรื่องต่อเนื่องยาวนานมาตั้งแต่ปี 2557 กับคดีฆาตกรรมสองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ นายเดวิด มิลเลอร์ และนางสาวฮันนาห์ วิทเธอร์ริดจ์ ที่เกาะเต่า เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2557 จนนำไปสู่การจับกุมนายซอ ลิน และนายไว เพียว สองแรงงานชาวพม่า

    คดีนี้เป็นที่จับตาและตั้งข้อสงสัยมาตลอด ว่าเป็นการ “จับแพะ” หรือไม่ และตลอดเวลาของคดี ก็มีข่าวที่ชวนให้เคลือบแคลงสงสัยในกระบวนการยุติธรรมออกมาเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีเอ็นเอของสองผู้ต้องหาไม่ตรงกับดีเอ็นเอบนจอบที่ใช้เป็นอาวุธสังหาร, เรื่องของการที่มีข่าวว่าดีเอ็นเอในคดีหายไปหรือถูกใช้ไปหมดแล้ว และการที่จำเลยทั้งสองคนบอกว่าถูกซ้อมทรมานเพื่อให้รับสารภาพ

    แต่ในที่สุด เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2558 ศาลจังหวัดเกาะสมุย ก็มีคำพิพากษาประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง โดยสามารถสรุปเหตุผลประกอบคำพิพากษาได้ดังนี้

    1. ดีเอ็นเอจากคราบอสุจิในช่องคลอดของผู้ตายตรงกับดีเอ็นเอของนางสาวฮันนาห์ และดีเอ็นเอจากคราบอสุจิที่ช่องทวารหนักของผู้ตายตรงกับดีเอ็นเอของทั้งสองคน โดยมีค่าดีเอ็นเอตรงกัน 16 จุด ซึ่งสามารถพิสูจน์เอกลักษณ์ได้ตามมาตรฐานสากล
    2. การเก็บเนื้อเยื่อเพื่อส่งไปตรวจพิสูจน์เกิดขึ้นโดยทันทีทันใด จึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าพนักงานตำรวจและแพทย์ผู้ตรวจผ่าศพและนักวิทยาศาสตร์ผู้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของคนร้ายจะสามารถนำอสุจิหรือสารประกอบน้ำอสุจิซึ่งอยู่ในร่างกายส่วนลึกของจำเลยทั้งสองไปใส่ไว้ในช่องคลอดและช่องทวารหนักของผู้ตายได้
    3. การมีพยานยืนยันว่านายไวนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายเดวิดมามอบให้หลังเกิดเหตุไม่นาน เป็นหลักฐานได้ส่วนหนึ่งว่านายไวมีความเกี่ยวข้องกับคดี
    4. พฤติการณ์จำเลยชี้ว่าเป็นความผิดฐานโทรมหญิง
    5. บาดแผลของผู้ตายเข้ากันได้กับจอบและสันจอบ รวมทั้งมีคราบโลหิตบนสันจอบ เป็นหลักฐานที่ทำให้เชื่อว่าจำเลยใช้จอบทุบตีและฟันผู้ตายจนเสียชีวิต
    6. กรณีที่มีการเบิกความว่าจำเลยทั้งสองถูกทรมานเพื่อให้รับสารภาพ ศาลชี้ว่าจำเลยไม่มีพยานหลักฐานใดๆ มานำสืบได้ตามที่อ้าง

    (อ่านเพิ่มเติม: เฟซบุ๊กบีบีซีไทยและสำนักข่าวประชาไทย)

    อย่างไรก็ดี ทางทนายของจำเลยทั้งสองเปิดเผยว่าจะมีการอุทธรณ์ต่อไป

    อนึ่ง คำตัดสินดังกล่าวทำให้เกิดการเคลื่อนไหวประท้วงจากประชาชนทางฝั่งพม่า ไม่ว่าจะเป็นการเดินขบวนปิดด่านแม่สาย รวมทั้งการเรียกร้องให้ชาวพม่าคว่ำบาตรไทยหากไม่มีการทบทวนคดี

    ปมทุจริตอุทยานราชภักดิ์

    ที่มาภาพ: ทวิตเตอร์ของวาสนา นาน่วม (https://twitter.com/WassanaNanuam) โดยผ่านเว็บไซต์สนุกดอทคอม (http://news.sanook.com/1850158/)
    ที่มาภาพ: ทวิตเตอร์ของวาสนา นาน่วม (https://twitter.com/WassanaNanuam) โดยผ่านเว็บไซต์สนุกดอทคอม (http://news.sanook.com/1850158/)

    ท่ามกลางคำประกาศของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะจัดการกับการทุจริตคอร์รัปชัน ปมทุจริตในการดำเนินการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ก็ปูดขึ้นมาเมื่อ พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม อดีต ผบ.ทบ. และประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ยอมรับว่ามีบุคคลแอบอ้างเรียกเก็บเงินหัวคิวจากโรงหล่อจริง แต่เมื่อตรวจพบก็ได้คืนเงินไปในรูปแบบของการบริจาคแล้ว

    คำพูดดังกล่าว กลับยิ่งทำให้ความกังขาของสังคมเพิ่มมากขึ้น เพราะราวกับว่า หากมีการทุจริตจริง เรื่องราวกลับสามารถจบลงง่ายๆ ด้วยการนำเงินทุจริตนั้นไปบริจาค

    ภายใต้การนำของ พล.อ. วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก ผู้เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบ วันที่ 20 ก.ย. 2558 พล.อ. ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. ได้เปิดเผยผลการตรวจสอบการทุจริตโครงการราชภักดิ์ โดนยืนยันว่าไม่มีพบการทุจริตแต่อย่างใด

    ต่อมา พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ลงนามแต่งตั้ง พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม ให้เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบโครงการราชภักดิ์

    และในวันที่ 30 ธ.ค. 2558 พล.อ. ชัยชาญ ได้แถลงผลการตรวจสอบ โดยสามารถสรุปราบละเอียดได้ดังนี้

    1. รายรับมีที่มาจาก 2 ทาง คือ งบกลาง จำนวน 63.75 ล้านบาท และเงินบริจาคทั้งในรูปแบบของตัวเงินและสิ่งอื่นๆ 802 ล้านบาท รวม 866 ล้านบาท เมื่อหักรายจ่าย 816 ล้านบาทแล้วจะเหลือ 50 ล้านบาท
    2. งานระดมทุน “ราชภักดิ์ Bike & Concert แทนคุณแผ่นดิน” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2558 งานระดมทุนดังกล่าวมีบัญชีรับจ่ายชัดเจน และดำเนินกิจกรรมตามที่ประกาศไว้ทุกอย่าง
    3. กรณีข้อสงสัยเรื่องต้นปาล์ม พล.อ. ชัยชาญ ยืนยันว่าเอกชนสนับสนุนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ส่วนที่ระบุว่าราคาต้นละ 3 แสนบาท เป็นเงินที่มีผู้บริจาคให้โดยสมัครใจ ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อต้นปาล์มดังกล่าว
    4. กรณีการหักหัวคิว ได้มีการเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล แต่บางคนไม่มา ทำให้ไม่มีข้อมูลเพียงพอจะชี้ขาด จึงเสนอให้ พล.อ. ประวิตร เสนอต่อหน่วยงานที่มีอำนาจตรวจสอบต่อไป เพราะคณะกรรมการตรวจสอบชุดนี้มีอำนาจจำกัด
    5. กรณีทหารใกล้ชิดของ พล.อ. อุดมเดช ที่มีทั้งลาออกจากราชการและหลบหนีไปต่างประเทศ พล.อ. ชัยชาญ กล่าวว่ามีสาเหตุจากคดีอื่น
    6. ไม่พบข้อมูลว่าการรับบริจาคเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2544