ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 25-31 ตุลาคม 2558: “‘สารวัตรเอี๊ยด’ ผูกคอตายคาห้องขัง ‘หมอหยอง-พวก’ อ่วม 13 คดีอ้างเบื้องสูง” และ “‘กูเกิล’ เตรียมปล่อยบอลลูนส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 25-31 ตุลาคม 2558: “‘สารวัตรเอี๊ยด’ ผูกคอตายคาห้องขัง ‘หมอหยอง-พวก’ อ่วม 13 คดีอ้างเบื้องสูง” และ “‘กูเกิล’ เตรียมปล่อยบอลลูนส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง”

31 ตุลาคม 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 25-31 ตุลาคม 2558

  • “สารวัตรเอี๊ยด” ผูกคอตายคาห้องขัง “หมอหยอง-พวก” อ่วม 13 คดีอ้างเบื้องสูง
  • สธ. ยัน ไม่คิดยุบ สสส. แค่ทำให้โปร่งใส
  • สปริงนิวส์ปรับโครงสร้าง ปลดพนักงานครึ่งร้อย
  • ถูกขู่-โดนย้าย หัวหน้าชุดสอบสวนคดีโรฮิงญาหวั่นไม่ปลอดภัย
  • “กูเกิล” เตรียมปล่อยบอลลูนส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
  • “สารวัตรเอี๊ยด” ผูกคอตายคาห้องขัง “หมอหยอง-พวก” อ่วม 13 คดีอ้างเบื้องสูง

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ (http://goo.gl/p206Qn)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ (http://goo.gl/p206Qn)

    วันที่ 28 ต.ค. 2558 เว็บไซต์ ASTVผู้จัการออนไลน์รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ. เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษก ตร. พล.ต.ท. ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล รรท. รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. ร่วมแถลงความคืบคดีกลุ่มบุคคลแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ อันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พร้อมนำของกลางที่ตรวจยึดได้จากบ้านพักผู้ต้องหามาแสดง อาทิ อาวุธปืนของทางราชการ วิทยุสื่อสาร ชุดพระเครื่อง อัญมณี และอื่น ๆ อีกหลายรายการ ซึ่งบางส่วนเกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. หลังจากมีการรวบรวมพยานหลักฐานและสอบสวนจากผู้ต้องหา 3 ราย ทั้ง “หมอหยอง” นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ และ “สว.เอี๊ยด” พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา อดีตสารวัตร ปอท. ซึ่งเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว

    พล.ต.อ. จักรทิพย์ กล่าวว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สืบทราบมีกลุ่มบุคคลแอบอ้างสถาบันกระทำความผิดเพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าใกล้ชิดกับเบื้องสูง รวมทั้งการกระทำความผิดสร้างความเสียหายต่อสถาบันและเป็นวงกว้าง ต่อมามีการตั้งคณะกรรมการคดีหมิ่นเบื้องสูง นำโดย พล.ต.ท. ศรีวราห์ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน พล.ต.ท. ฐิติราช เป็นรองหัวหน้าชุดทำงานสืบสวน ซึ่งของกลางส่วนใหญ่ตรวจยึดมาได้จากห้องพักของ พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา ส่วนกระแสข่าวที่ว่า พล.ต.ท. ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ 10 ลาออกจากรชการนั้น ยืนยันว่า พล.ต.อ. ประวุฒิ ยังอยู่ในราชการและตนไม่ได้รับใบลาใด ๆ ทั้งสิ้น

    ต่อมา พล.ต.ต. ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 ได้แถลงถึงพฤติการณ์การกระทำผิดของผู้ต้องหาทั้งหมด 13 คดี โดยมี พ.อ. วิจารณ์ จดแตง นายทหารพระธรรมนูญ ในฐานะหัวหน้าส่วนปฏิบัติการ คณะทำงานกฎหมายส่วนรักษาความสงบ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้ร้องทุกข์ในนามกองทัพ และมีผู้ต้องหาทั้ง 3 รายเป็นผู้ถูกกล่าวหา ซึ่ง “หมอหยอง” นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ และ นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ถูกต้องข้อกล่าวหา “ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา ถูกตั้งข้อหา “มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองมี และใช้วิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ ตั้งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต ปลอมเอกสารราชการ และ ใช้เอกสารราชการปลอม และ ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ”

    พฤติการณ์การกระทำผิดทั้ง 13 คดี เป็นการแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง เพื่อขอรับการสนับสนุนการทำสิ่งของจากบริษัทเอกชนในกรุงเทพฯ สมุทรปราการ พระนครศรีอยุธยา และนนทบุรี แล้วเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งทำให้ได้รับผลประโยชน์เป็นเงินรายละตั้งแต่ 1 แสน ถึง 4.7 ล้านบาท รวมถึงการแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อขอหมายเลขโทรศัพท์เลขสวยจาก กสทช. และคดีการครอบครองอาวุธปืน – มีวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับยอนุญาต ปลอม และใช้เอกสารราชการปลอม เหตุเกิดช่วงเดือน มิ.ย. – ต.ค. 2558

    พล.ต.อ. จักรทิพย์ กล่าวว่า คดีนี้มีความคล้ายคลังกับคดีหมิ่นเบื้องสูงของ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ซึ่งของกลางทั้งหมดที่ยึดได้จาก นายสุริยัน ผู้ต้องหาครั้งนี้ได้ถูกยักยอกมา และมีถ่ายโอนทรัพย์สินบางส่วนให้กับญาติ ขณะนี้ยังไม่พบหลักฐานว่า พล.ต.อ. ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ 10 เข้ามาเกี่ยวข้องในคดีนี้ ยืนยันว่า การเปลี่ยนตัว ทีมโฆษก ตร. เป็นเรื่องการบริหารภายใน เมื่อครบวงรอบก็เปลี่ยน ส่วนการลาไปต่างประเทศก็เป็นสิทธิของ พล.ต.อ. ประวุฒิ อาจจะเป็นการลาไว้ตั้งแต่สมัย พล.ต.อ. สมยุศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็น ผบ.ตร. เพื่อไปพักผ่อน

    พล.ต.ท. ศรีวราห์ ยืนยันว่า มีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องในคดีหมิ่นเบื้องสูง แต่อยู่ระหว่างรอศาลอนุมัติหมายจับ ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าเป็นใครเพราะอยู่ในสำนวนคดี ซึ่งหากพยานหลักฐานพาดพิงถึงใครต้องดำเนินคดีทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นข้าราชการสังกัดไหน

    พล.ต.ท. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ 8 นายตำรวจที่ถูกคำสั่งโยกย้ายไปก่อนหน้านี้ มีความเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงซ่อนเร้นทรัพย์สิน

    รายละเอียด การแถลง คำต่อคำ

    วันนี้มีการแถลงข่าวเรื่องการดำเนินคดีกับกลุ่มแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ตรวจพบว่ามีกลุ่มบุคคลร่วมกันกระทำความผิด โดยมีพฤติกรรมแอบอ้าง หรือแสดงออกในลักษณะต่างกรรมต่างวาระกัน เพื่อให้ประชาชนหรือบุคคลทั่วไปมีความเข้าใจว่าตนเองมีความใกล้ชิดกับสถาบันเบื้องสูง และได้เรียกหรือรับผลประโยชน์จากการกระทำดังกล่าว รวมทั้งได้กระทำความผิดตามกฎหมายอื่นๆ อีกหลายฐานความผิด

    การกระทำของกลุ่มคนดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบัน และความเสียหายอื่นๆ ในวงกว้าง เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทหารได้ใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เรียกตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบถามข้อมูลและควบคุมตัวไว้ ซึ่งจากการซักถาม พบว่ามีมูลกระทำความผิดจริง จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ มาแจ้งความร้องทุกข์ ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มคนผู้กระทำความผิดดังกล่าว

    ต่อมา ผมได้มีคำสั่งที่ 578/2558 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2558 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนดำเนินคดี พล.ต.ท. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รักษาราชการรอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้า และ พล.ต.ท. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นรองหัวหน้า กับพวก ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทหาร ทำการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานจนเป็นที่แน่ชัด และเชื่อได้ว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ร่วมกระทำความผิด และพนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ไว้เรียบร้อยแล้ว

    โดยในรายละเอียดนั้นผมได้มอบให้ท่านศรีวราห์ รับผิดชอบเรื่องงานสอบสวน ส่วนท่านฐิติราช รับผิดชอบเรื่องงานสืบสวน ผู้ต้องหามีด้วยกัน 3 คน 1. นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ หมอหยอง 2. พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา หรือ สารวัตรเอี๊ยด ผู้ต้องหาที่ 3 นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือ อาร์ต

    ส่วนของกลางที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าของผู้สื่อข่าวนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นของกลางของสารวัตรเอี๊ยด แผนผังตามที่ปรากฏอยู่ด้านขวามือของผม ไม่ทราบมีสื่อมวลชนท่านใดจะสอบถามหรือไม่

    ถาม: มีข่าวว่า พล.ต.อ. ประวุฒิ ถาวรศิริ ยื่นหนังสือลาออกจากราชการ

    จักรทิพย์: ขณะนี้ยังอยู่ในราชการอยู่ ผมยังไม่ได้รับรายงานใดๆ ทั้งสิ้น

    ถาม: อยากให้ชี้แจงรายละเอียดความผิดของผู้ต้องหาให้ชัดเจน

    จักรทิพย์: เชิญท่านรองฯ ศรีวราห์

    ศรีวราห์: ขออนุญาตให้ท่านวิสูตรชี้แจงโดยสังเขป

    วิสูตร: กราบเรียนท่าน ผบ.ตร. ท่านผู้บังคับบัญชา พี่น้องสื่อมวลชน พี่น้องประชาชนทุกท่าน สำหรับรายละเอียดที่คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้มีการดำเนินคดี จนถึง ณ ปัจจุบันนี้ มีทั้งสิ้น 13 คดี คดีที่ 1 เลขคดีที่ 96/2558 ประจำวัน ข้อ 4 เวลา 17.00 น. วันที่ 16 ตุลาคม 2558 ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหา คือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ หมอหยอง พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ข้อหาที่ถูกดำเนินคดี ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุ หมู่ 17 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เป็นบริษัทเอกชน พฤติการณ์คือ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2558 และวันที่ 3 กันยายน 2558 ผู้ต้องหาดังกล่าวทั้ง 3 คน ได้ร่วมกันแอบอ้างเป็นผู้แทนพระองค์ นำการ์ดขอบคุณไปมอบให้กับบริษัทเอกชน

    คดีที่ 2 เลขคดีที่ 97/2558 ประจำวัน ข้อ 6 เวลา 18.00 น. วันที่ 19 ตุลาคม ที่กองปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พ.ต.ท.มนต์ชัย วงษ์ชาตรี พ.ต.ท.สหภูมิ สง่าเมือง พ.ต.ต. นฤทธิ์ ผูกจิตร ผู้ต้องหา คือ พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา กับพวก ข้อหาคือ มีอาวุธปืน ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้ไว้ในความครอบครอง ตั้งสถานี มีและใช้วิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม สถานที่เกิดเหตุ คอนโดฯ ลาเมซอง แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พฤติการณ์ทางคดี เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2558 เจ้าหน้าที่ทหารได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตำรวจทำการค้นคอนโดลาเมอซอง พบอาวุธ วิทยุ และรถยนต์ และสิ่งที่ผิดกฎหมาย อยู่ภายในห้องผู้ต้องหา

    คดีที่ 3 คดีที่ 99/2558. ประจำวันข้อ 3 เวลา 14.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พ.ต.ท.ปรเมษฐ์ แก้วนาค และบริษัท สามารถเทเลคอม กับพวก ข้อหา มีและตั้งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต สถานที่เกิดเหตุ อาคารใบหยก 2 แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร พฤติการณ์คือ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2558 ได้มีการตรวจพบเครื่องรับ-ส่งวิทยุแบบรบกวนสัญญาณ ย่านความถี่ UHF ยี่ห้อโมโตโรลา รุ่นแควนตาร์ ของ พ.ต.ต. ปรากรม ติดตั้งอยู่บนชั้นที่ 84 ของอาคารใบหยก 2

    คดีที่ 4 เลขคดีที่ 100/2558 ประจำวัน ข้อ 4 เวลา 15.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองปราบปราม ผู้กล่าวหา คือ พ.ต.ท.มนต์ชัย วงษ์ชาตรี ผู้ต้องหาคือ พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา ข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้ไว้ในความครอบครอง สถานที่เกิดเหตุ กองบังคับการปราบปราม ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พฤติการณ์ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2558 ได้มีการตรวจค้นรถโตโยต้า เวนจูรี่ ที่ยึดมาจากคอนโดฯ ลาเมซอง พบอาวุธปืน เอชเค 53 จำนวน 1 กระบอก พร้อมด้วยกระสุน 80 นัด

    คดีที่ 5 คดีอาญาที่ 101/2558 ประจำวัน ข้อ 6 เวลา 16.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองปราบปราม ผู้กล่าวหา พ.ต.ท.มนต์ชัย วงษ์ชาตรี ผู้ต้องหา คือ นายศุกร์โข ตามเสรี ข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร พฤติการณ์ในทางคดี เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจรถ พบอาวุธปืนขนาด .38 ที่บ้านพักของผู้ต้องหาดังกล่าว

    คดีที่ 6 คดีที่ 102/2558 ประจำวัน ข้อ 7 เวลา 16.30 น. วันที่ 27 ตุลาคม ที่กองปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พ.ต.ท.มนต์ชัย วงษ์ชาตรี ผู้ต้องหาคือ พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา กับพวก ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุ บ้านเลขที่ 89/364 หมู่ 3 ต.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี พฤติการณ์ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2558 ผู้ต้องหา กับพวก ได้แอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเรียกและรับผลประโยชน์จากภาคเอกชน

    คดีที่ 7 เลขคดีที่ 103/2558 ประจำวัน ข้อ 8 เวลา 17.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองบังคับการปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหา คือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ข้อหาคือ ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่ สถานที่เกิดเหตุ บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พฤติการณ์คือ ผู้ต้องหา กับพวก แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ขอรับการสนับสนุนจัดทำสิ่งของและได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าว เป็นเงินจำนวน 300,000 บาท

    คดีที่ 8 คดีที่ 104/2558 ประจำวัน ข้อ 9 เวลา 17.30 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองปราบปราม ผู้กล่าวหา คือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหาคือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุเป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร พฤติการณ์ในทางคดี เมื่อเดือนมิถุนายน 2558 ผู้ต้องหา กับพวก แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ขอรับการสนับสนุนจัดทำสิ่งของและได้นรับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท

    คดีที่ 9 คดีที่ 105/2558 ประจำวันข้อ 10 เวลา 18.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองบังคับการปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหาคือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุเป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา พฤติการณ์ในทางคดี เมื่อเดือนมิถุนายน 2558 ผู้ต้องหา กับพวก แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ขอรับการสนับสนุนจัดทำสิ่งของและได้นรับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท

    คดีที่ 10 คดีที่ 106/2558 ประจำวันข้อ 11 เวลา 18.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองบังคับการปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหาคือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุเป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ พฤติการณ์ในทางคดี เมื่อเดือนมิถุนายน 2558 ผู้ต้องหา กับพวก แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ขอรับการสนับสนุนจัดทำสิ่งของและได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท

    คดีที่ 11 คดีที่ 107/2558 ประจำวันข้อ 12 เวลา 18.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองบังคับการปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหาคือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุเป็นบริษัทเอกชน จ.สมุทรปราการ พฤติการณ์คือ เมื่อเดือนมิถุนายน 2558 ผู้ต้องหา กับพวก แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ขอรับการสนับสนุนจัดทำสิ่งของและเรียกรับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท

    คดีที่ 12 คดีอาญาที่ 108/2558 ประจำวันข้อ 13 เวลา 19.30 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองบังคับการปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหาคือ พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา กับพวก ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุ บริษัทเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร พฤติการณ์ในทางคดี กล่าวคือ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ถึงวันที่ 18 ตุลาคม 2558 ผู้ต้องหากับพวก แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ขอรับการสนับสนุนจัดทำสิ่งของและได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 4,700,000 บาท

    คดีที่ 13 คดีที่ 109/2558 ประจำวันข้อ 14 เวลา 20.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 กองบังคับการตำรวจปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหาคือ พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา กับพวก ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุ สำนักงาน กสทช. แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร พฤติการณ์ในทางคดี ระหว่างเดือนกันยายน 2558 ถึงเดือนตุลาคม ผู้ต้องหา กับพวก ได้แอบอ้างสถาบันเบื้องสูงขอรับการสนับสนุนหมายเลขโทรศัพท์เลขสวยจาก กสทช. รวมทั้งสิ้น 13 คดี

    อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 23 ต.ค. 2558 พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด 1 ใน 3 ผู้ต้องหาในคดีนี้ ได้เสียชีวิตด้วยการผูกคอตายภายในที่คุมขัง (อ่านรายละเอียด)

    สธ. ยัน ไม่คิดยุบ สสส. แค่ทำให้โปร่งใส

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐ (http://www.thairath.co.th/content/535521)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐ (http://www.thairath.co.th/content/535521)

    เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2558 ว่า ตามที่ ทพ.สุปรีดา อดุลยานนท์ รักษาการผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ยืนยันหลังเข้าชี้แจงต่อ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานการประชุมศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เกี่ยวกับผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ว่า ที่ผ่านมาไม่มีการทุจริต ส่วนกรณีการเปิดเผยรายชื่อกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิของ สสส. ที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิ องค์กรที่รับเงินอุดหนุนจาก สสส.นั้น ไม่เกี่ยวข้องกัน ทั้งทำให้เกิดความเสื่อมเสีย ทั้งระบุว่า สสส. มีระบบตรวจสอบการอนุมัติโครงการอย่างรัดกุมและมีธรรมาภิบาลนั้น

    เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวภายในงานสัมมนาวิชาการกฎหมายการแพทย์ “ธรรมาภิบาลกับคุณภาพการรักษาพยาบาล” ว่า เป็นเรื่องดีที่ พล.อ.ไพบูลย์เห็นความสำคัญเรื่องนี้และออกมาตรวจสอบการใช้งบประมาณของ สสส. ขณะเดียวกันในส่วน สธ. ที่มีคณะกรรมการพิจารณาทบทวนการบริหารจัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพและกำหนดแนวทางแก้ไขให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตาม พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 ที่มี นพ.เสรี ตู้จินดา เป็นประธานนั้น ตนสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ เพราะจะมีส่วนในการปฏิรูปและกำหนดทิศทางการทำงานของ สสส. ที่ต้องไม่กว้างแบบครอบจักรวาล และขอฝากความหวังในเรื่องการทำงานของ สสส. อยากให้มีการยึดโยงผลลัพธ์สุขภาพจริงๆ ส่วนกรณีกรรมการบางคนในสสส. ไปดำรงตำแหน่งในมูลนิธิฯหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งที่ได้รับทุนของ สสส.จนเกิดคำถามว่าเป็นผู้อนุมัติเองหรือไม่นั้น หากพบว่าเกี่ยวข้องกันถือว่าผิด ทั้งกฎหมายและจริยธรรม

    วันเดียวกัน ภาคีสุขภาพ นำโดยนายธีระ วัชรปราณี ผู้ประสานงานขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน เข้ายื่นหนังสือต่อ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สธ. เพื่อแสดงเจตนารมณ์คัดค้านการนำงบฯ สสส.เข้าสู่ระบบงบฯรัฐ โดย นพ.กิตติ-ศักดิ์ กลับดี เลขานุการ รมว.สธ.เป็นผู้แทนรับมอบหนังสือ พร้อมกับกล่าวว่า จะนำหนังสือเสนอต่อ รมว.สธ. ซึ่งในส่วนของ สธ. มีการตั้งคณะกรรมการที่มี นพ.เสรี ตู้จินดา ประธานที่ปรึกษาเป็นประธาน คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะเชิญฝ่าย สสส.เข้ามาชี้แจง และยืนยันว่า สธ.ไม่มีแนวคิดที่จะยุบ สสส.แน่นอน เพียงแต่ต้องการทำให้โปร่งใส

    สปริงนิวส์ปรับโครงสร้าง ปลดพนักงานครึ่งร้อย

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์วอยซ์ทีวี (http://news.voicetv.co.th/thailand/278286.html)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์วอยซ์ทีวี (http://news.voicetv.co.th/thailand/278286.html)

    วันที่ 29 ต.ค. 2558 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่าสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ ส่งจดหมายชี้แจงสื่อมวลชน ต่อกรณีกระแสข่าวปลดพนักงานหลายชีวิตเมื่อวานนี้ (28 ต.ค.58) เนื้อหาในหนังสือชี้แจงมีดังนี้

    “เนื่องด้วย สถานีข่าวสปริงนิวส์ ทีวีดิจิตัล ช่อง 19 ได้มีการปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายมุ่งสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์ในปี 2559 คือ “เป็นสถานีข่าวความนิยมอันดับ 1 ของประเทศ ทุกแพลทฟอร์ม บนความรับผิดชอบ และก้าวสู่ศูนย์กลางข่าวสารอาเซียนในปี 2559″

    จึงได้เริ่มกลยุทธ์รุกทุกแพลทฟอร์ม โดยแถลงข่าวเปิดคลื่น FM.98.5 สถานีข่าวจริง สปริงเรดิโอ เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่ผ่านมา และล่าสุดได้มีการปรับยุทธศาสตร์ในการทำงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปรับโครงสร้างองค์กร โดยจะมีการปรับลดพนักงานในบางภาคส่วน จำนวน 40 อัตรา และในขณะเดียวกันมีนโยบายขยายงานข่าวภาคเศรษฐกิตและต่างประเทศ เพื่อตอบสนองเป้าหมายองค์กรปี 2559

    ทั้งนี้ทางบริษัทได้พิจารณาตามความเหมาะสม และได้มีการสื่อสารกับพนักงานให้เป็นที่เข้าใจพร้อมได้ดูแลพนักงานที่ถูกเลิกจ้างด้วยความเป็นธรรม และถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน”

    ถูกขู่-โดนย้าย หัวหน้าชุดสอบสวนคดีโรฮิงญาหวั่นไม่ปลอดภัย

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา (http://goo.gl/9THnx6)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา (http://goo.gl/9THnx6)

    วันที่ 29 ต.ค. 2558 เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ตามที่มีข่าวทางสำนักข่าวเอเอฟพี ระบุว่า พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา ออกมาเปิดเผยว่าคณะทำงานของเขาถูกข่มขู่จากผู้มีอิทธิพลที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ซ้ำเขายังถูกย้ายไปปฏิบัติงานในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เสมือนถูกลงโทษ ทำให้เกรงว่าชีวิตจะไม่ปลอดภัยนั้น

    “ทีมข่าวอิศรา” จึงขอสัมภาษณ์พิเศษ พลตำรวจตรีปวีณ และได้รับข้อมูลในรายละเอียดเกี่ยวกับผลจากการทำคดีที่เชื่อมโยงกับผู้มีอิทธิพลและคนมีสีที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีค้าชาวโรฮิงญา

    พลตำรวจตรี ปวีณ กล่าวว่า การเข้ามาทำหน้าที่ในชุดสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา เริ่มจากการที่ผู้บังคับบัญชาเรียกตัวให้เข้ามาทำคดี ซึ่งตัวเขาเองเห็นว่าเป็นคดีสำคัญ เป็นเรื่องระดับประเทศและระดับโลก ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ และได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ จึงเข้ามารับหน้าที่และทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ในการคลี่คลายคดีร่วมกับพนักงานสอบสวนในทีม ตลอดจนพนักงานอัยการที่ร่วมทำคดี จนสามารถออกหมายจับผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องในคดีได้ 153 ราย จับกุมได้ 91 ราย

    “ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ มีทั้งในจังหวัดระนอง สตูล สงขลา และอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ทั้งยังมีการออกหมายจับข้าราชการทหาร โดยเฉพาะนายทหารระดับสูง เป็นธรรมดาที่เมื่อมีการออกหมายจับกลุ่มคนเหล่านี้ เขาย่อมเกิดความไม่พอใจ แต่ยืนยันว่าการทำคดีของคณะทำงานที่มีทั้งฝ่ายตำรวจร่วมกับอัยการ ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ และคณะทำงานทุกคนมองเรื่องผลประโยชน์ของส่วนร่วมและผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ เพื่อสกัดกั้นแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ คณะทำงานทุกคนทำงานกันอย่างตรงไปตรงมา”

    พลตำรวจตรี ปวีณ กล่าวต่อว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำคดีใหญ่แบบนี้ คือคณะทำงานทุกคนสมควระได้รับการปกป้องดูแลจากภัยหรือผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา

    “ตลอดเวลากว่า 5 เดือนของผมและตำรวจทุกคนในคณะทำงานที่ร่วมกันสืบสวนสอบสวนคดี จนทำสำนวนคดีเป็นเอกสาร 2 แสนกว่าแผ่น ออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องไป 153 ราย ทุกคนทำงานอย่างยากลำบาก ไม่ได้กินนอนอย่างสบาย จริงๆ ทุกคนควรจะได้รับบำเหน็จ แต่สิ่งที่ผมได้รับคือถูกย้ายไปประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ซึ่งตลอดอายุการรับราชการตำรวจของผมจนขณะนี้อายุ 57 ปีแล้ว ยังไม่เคยทำงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาก่อนเลย ไม่มีข้อมูลและไม่เคยทำคดีในพื้นที่นี้เลย การส่งผมลงไปทำงานในพื้นที่สามจังหวัดจึงไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับพื้นที่ตรงนั้น ตรงกันข้ามเหมือนกับส่งผมไปเสี่ยงอันตรายด้วยซ้ำ ผมเคยขออยู่ที่เดิม แต่ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการโยกย้าย”

    พลตำรวจตรี ปวีณ บอกอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาย่อมส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของตำรวจในคณะทำงาน ทุกคนย่อมกังวลว่าจะเกิดอะไรในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายพวกเขาบ้าง แม้กระทั่งตัวเขาเองที่เป็นหัวหน้าทีมยังโดนแบบนี้ แล้วคณะทำงานที่เหลือจะเป็นอย่างไร และสิ่งที่เกิดขึ้นก็อยู่ในสายตาข้าราชการตำรวจทุกคน ถือเป็นกรณีศึกษา หากมีคดีสำคัญแบบนี้ตำรวจคนไหนจะกล้าเข้ามาทำคดี เพราะเมื่อทำแล้วผลที่ออกมา รางวัลก็ไม่ได้ แต่กลับเหมือนถูกลงโทษอีก

    ในเรื่องความปลอดภัยและผลกระทบจากการทำงาน พลตำรวจตรี ปวีณ บอกว่า หลังจากเข้ามาทำคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา เริ่มรู้ว่าเกิดความไม่พอใจจากกลุ่มผู้ถูกออกหมายจับ สัญญาณที่เห็นได้ชัด คือมีการข่มขู่พยานสำคัญจากลูกน้องของคนมีสีที่ตกเป็นผู้ต้องหา ซึ่งได้มีการแจ้งความเอาไว้และเป็นคดีแล้ว รวมไปถึงการถูกข่มขู่ของทหารนายหนึ่งซึ่งตกเป็นผู้ต้องหากลุ่มหลังที่ถูกออกหมายจับ โดยคนสนิทของคนมีสีอีกคนหนึ่งส่งข้อความข่มขู่ไม่ให้เข้ามอบตัว และหลังจากมีการโอนคดีไปศาลอาญาแผนกคดีค้ามนุษย์ จนถึงขณะนี้ นายทหารอีก 3 นายที่ถูกออกหมายจับก็ยังไม่เข้ามามอบตัวเลย

    “ตรงนี้เป็นสัญญาณที่แสดงถึงความไม่ปลอดภัยที่อาจจะเกิดขึ้น และหากผมต้องลงไปทำงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้ววันหนึ่งเกิดระเบิดกับผม เหมือนอย่างที่เกิดกับ พลตำรวจเอก สมเพียร เอกสมญา (อดีตผู้กำกับการ สภ.บันนังสตา จังหวัดยะลา ถูกลอบวางระเบิดเสียชีวิตเมื่อปี 2553) ใครจะรับผิดชอบ”

    พลตำรวจตรี ปวีณ บอกด้วยว่า ในวันที่ 30 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ต้องไปรายงานตัวกับทาง ศชต. เขาคงโทรศัพท์ไปรายงานตัวกับผู้บัญชาการ ศชต. ก่อน และจะไปราชการต่อในวันที่ 3-4 พฤศจิกายน เพื่อเข้าไปชี้แจงคดีค้ามนษย์โรฮิงญากับคณะกรรมการ หลังจากนั้นคงต้องดูต่อไปว่าทางผู้บังคับบัญชาจะเห็นใจพิจารณาแก้ไขการโยกย้ายให้ลงไปปฏิบัติงานในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อให้ความเป็นธรรมหรือไม่

    “หากผมไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือการดูแลในเรื่องความปลอดภัยที่ดีพอ ทางเลือกสุดท้ายอาจจะต้องลาออกจากราชการเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง” พลตำรวจตรี ปวีณ กล่าวในตอนท้าย

    ย้อนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา

    สำหรับคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา เริ่มขึ้นเมื่อมีการพบสุสานและศพชาวโรฮิงญาจำนวนมาก บนเทือกเขาแก้ว บ้านตะโละ หมู่ 8 ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนรอยต่อระหว่างไทยกับมาเลเซีย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แต่งตั้งให้ พลตำรวจตรี ปวีณ เป็นหัวหน้าชุดสอบสวน และได้ทำคดีร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับพนักงานอัยการ กระทั่งสามารถออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องได้ 153 ราย จับกุมได้ 91 ราย มีทั้งนักธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่นในภาคใต้ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ และนายทหาร

    ต่อมาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 ได้มีการสรุปสำนวนคดีพร้อมความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด และนำสำนวนส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม

    จากนั้นวันที่ 9 ตุลาคม ศาลจังหวัดนาทวีได้อ่านคำสั่งประธานศาลฎีกาให้โอนย้ายคดีค้ามนุษย์ของ สภ.ปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ไปยังศาลอาญาแผนกคดีค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นแผนกที่ได้เปิดขึ้นใหม่เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว รวมไปถึงความต่อเนื่องในการดำเนินการทางคดี

    จากคำสั่งดังกล่าว จึงต้องมีการย้ายผู้ต้องหาในคดีทั้งหมดไปควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อความสะดวกในเรื่องการดำเนินการทางคดีด้วย

    สำหรับคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา แยกย่อยเป็น 2 คดี คือ คดีหลัก คดีค้ามนุษย์ มีการออกหมายจับผู้ต้องหาไปแล้ว 153 หมาย จับกุมได้ 91 คน ยังหลบหนีอยู่ 62 คน ส่วนคดีฟอกเงินของขบวนการค้ามนุษย์ ออกหมายจับไปแล้ว 79 หมาย จับกุมได้ 40 คน ยังหลบหนี 39 คน

    ทั้งนี้ ในส่วนของคดีค้ามนุษย์ซึ่งเป็นคดีหลักนั้น กลุ่มบุคคลที่ถูกออกหมายจับชุดสุดท้ายก่อนพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนส่งให้อัยการ เป็นทหาร 4 นาย คือ พันเอก ณัฏฐ์สิทธิ์ มากสุวรรณ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จังหวัดสตูล (ผอ.รมน.จ.สตูล) ร้อยเอก วิสูตร บุนนาค สังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จังหวัดชุมพร (กอ.รมน.จ.ชุมพร) ร้อยเอกสันทัด เพชรน้อย สังกัด กอ.รมน.จ.ชุมพร และ นาวาโท กัมปนาท สังข์ทองจีน สังกัดทัพเรือภาคที่ 3

    โดย ร้อยเอก วิสูตร ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนไปแล้ว ส่วนทหารอีก 3 นายยังไม่ยอมเข้าพบตำรวจ

    ขณะที่คดีฟอกเงิน มีการออกหมายจับผู้ต้องหาชุดสุดท้าย 2 คน คือ นายชลธิชา ไชยมณี อายุ 48 ปี และ นายซอเนียง อานู อายุ 45 ปี ชาวพม่า เมื่อวันที่ 27 กันยายน โดยทั้งสองคนนี้เป็นผู้ต้องหาในคดีค้ามนุษย์ซึ่งเป็นคดีหลักด้วย

    “กูเกิล” เตรียมปล่อยบอลลูนส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์กูเกิล (http://www.google.com/loon/)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์กูเกิล (http://www.google.com/loon/)

    วันที่ 29 ต.ค. 2558 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า กูเกิล กำลังเตรียมตัวปล่อยบอลลูนส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปรอบโลก ภายในปีหน้า

    กูเกิลได้เปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดของ “โปรเจกต์ ลูน” ซึ่งเป็นโครงการปล่อยบอลลูนที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตขึ้นบนท้องฟ้า เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ว่าโครงการนี้ จะมีจำนวนบอลลูนมากเพียงพอ ที่จะเปิดทดลองให้บริการทั่วโลกได้ภายในปีหน้า รองรับความต้องการของประชาชนกว่า 4,000 ล้านคนทั่วโลก

    “โปรเจกต์ ลูน” เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2013 โดยจะปล่อยบอลลูนขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ความสูง 20 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน ซึ่งพื้นที่ที่อยู่ใต้อาณาบริเวณของบอลลูนนี้ จะสามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ ซึ่งบอลลูนที่ใช้ จะลอยอยู่บนฟ้าได้นานถึง187 วัน แตกต่างจากบอลลูนทั่วไปที่มีอายุเพียง 7 ถึง 10 วันเท่านั้น

    ก่อนหน้านี้ “โปรเจกต์ ลูน” ได้ถูกทดสอบมาแล้วในประเทศนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และบราซิล ขณะที่อินโดนีเซียเป็นประเทศล่าสุดที่เตรียมทดลองใช้บอลลูนในโครงการดังกล่าว เพราะสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นหมู่เกาะ ทำให้การกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยกูเกิลตั้งเป้าร่วมกันกับบริษัทด้านโทรคมนาคมของอินโดนีเซีย 3 แห่ง ว่าจะส่งบอลลูนลอยขึ้นไปบนฟ้าของอินโดนีเซียให้ได้ 100 ลูก