ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 4-10 ตุลาคม 2558: “ซิงเกิลเกตเวย์พ่นพิษ ‘บิ๊กตู่’ จ่อลงดาบคนบันทึกประชุม” และ ร้อง สธ. เอาผิดดาราโพสต์ภาพคู่เบียร์

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 4-10 ตุลาคม 2558: “ซิงเกิลเกตเวย์พ่นพิษ ‘บิ๊กตู่’ จ่อลงดาบคนบันทึกประชุม” และ ร้อง สธ. เอาผิดดาราโพสต์ภาพคู่เบียร์

10 ตุลาคม 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 4-10 ตุลาคม 2558

  • ซิงเกิลเกตเวย์พ่นพิษ “บิ๊กตู่” จ่อลงดาบคนบันทึกประชุม
  • อันดามันอ่วมหมอก อินโดฯ วอนชาติอาเซียนช่วย
  • การบินไทยทุ่ม 5,300 ล้าน ปรับลดพนักงาน 400 คน
  • มาแล้ว ร่างภาษีบ้าน-ที่ดิน ไม่เกินสองล้านจ่ายปีละหกร้อย ทิ้งที่รกร้างมีหนาว
  • ร้อง สธ. เอาผิดดาราโพสต์ภาพคู่เบียร์
  • ซิงเกิลเกตเวย์พ่นพิษ “บิ๊กตู่” จ่อลงดาบคนบันทึกประชุม

    ที่มาภาพ: เฟซบุ๊กเพจ “พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall” https://goo.gl/4Ew0xG
    ที่มาภาพ: เฟซบุ๊กเพจ “พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall” https://goo.gl/4Ew0xG

    วันที่ 8 ต.ค. 2558 มติชนออนไลน์รายงานว่า ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกระแสต่อต้านแนวคิดนำระบบซิงเกิลเกตเวย์มาใช้กับอินเทอร์เน็ต ยืนยันว่ายังไม่ได้เริ่มดำเนินการเรื่องดังกล่าว และขอให้สื่อเลิกถามเรื่องซิงเกิลเกตเวย์กับตนอีก

    ส่วนเอกสารบันทึกการประชุมที่ระบุว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสั่งการให้เริ่มระบบซิงเกิลเกตเวย์นั้น พล.อ. ประยุทธ์ ยืนยันว่าในที่ประชุมพูดคุยกันเพื่อให้หาทางศึกษาป้องกันภัยที่มาจากอินเทอร์เน็ต แต่ในการบันทึกการประชุมอาจจับใจความมาไม่ครบถ้วน โดยระบุด้วยว่า ตนจะไปเล่นงานคนบันทึกการประชุมเพราะทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน

    ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ระบุด้วยว่า ตนพูดคุยกับนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที แล้วเข้าใจตรงกันว่า สิ่งที่พูดในที่ประชุม ครม. คือไปหาวิธีป้องกันภัยคุกคามจากอินเทอร์เน็ตแต่ต้องไม่ละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชน แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังคงมีปัญหาจากอินเทอร์เน็ตอยู่ ซึ่งต้องศึกษาหาวิธีการป้องกันต่อไป

    “ผมถามว่าวันนี้มันเดือดร้อนหรือเปล่าเด็กนักเรียนดูรูปโป๊อะไรก็ได้จะทำยังไง ผมไม่ได้หมายความว่าซิงเกิลเกตเวย์มันแก้ปัญหาได้หมด แต่จะทำยังไง ถ้าไม่ทำอะไรท่านอย่ามาร้องเรียนอะไรกับผม” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

    อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 5 ต.ค. 2558 เฟจบุ๊กเพจของกลุ่ม “พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall” ได้มีการลงประกาศข้อความดังนี้

    “ประกาศ กลุ่ม พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall

    เรื่อง การส่งเสียงเตือนไปยังรัฐบาลอีกครั้ง ก่อนกำหนดเส้นตาย ๑๔ ตุลาคม ๕๘

    จากท่าทีของทางรัฐบาล หลังจากที่ทางประชาชนจำนวนหลายแสนคนได้คัดค้าน นโยบาย Single Gateway ในสัปดาห์ที่ผ่านมา และทางกลุ่มพลเมืองต่อต้าน Single Gateway ได้มีแถลงการณ์กำหนดเส้นตายเอาไว้ในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๕๘ แต่ทางรัฐบาลยังคงไม่เปลี่ยนแปลงท่าทีใดๆ ซึ่งมีความหมายได้อย่างเดียวคือ รัฐบาลยังคงเดินหน้าเร่งรัดการจัดตั้ง Single Gateway ให้เป็นไปตามมติ ครม. เดิม (ซึ่งมีสภาพเป็นกฎหมายไปแล้ว)

    ดังนั้น ทางกลุ่มพลเมืองต่อต้าน Single Gateway จึงมีจำเป็นต้องส่งเสียงเตือน (ที่ดังขึ้น) ไปยังรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง โดยจะกระทำในเวลา ๒๒.๐๐ น. วันที่ ๕ ตุลาคม ๕๘ ถึง เวลา ๑๒.๐๐ น. ในวันอังคารที่ ๖ ตุลาคม ๕๘ ทั้งนี้สภาพปัญหา (จากการส่งเสียงเตือน) จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวในเวลาดังกล่าว เพื่อให้โอกาสรัฐบาลได้ออกมติ ครม. มายกเลิก มติเดิมทั้ง ๔ ฉบับก่อนกำหนดเส้นตายในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๕๘ เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ และประชาชนแต่อย่างใด

    พิกัดเป้าหมายครั้งนี้ จะเป็นของหน่วยงานที่เราประสงค์จะส่งสัญญาณเตือนไป จะประกาศเมื่อถึงเวลาปฏิบัติการแล้วเท่านั้น

    การกระทำครั้งนี้ ได้ผ่านการตรึกตรอง วิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ อย่างรอบคอบแล้ว และทางเราคาดหวังว่า ทางรัฐบาลจะรับฟังคำเตือนในครั้งนี้ อย่างเข้าใจ

    นี่คือความจำเป็นอย่างยิ่ง ในฐานะประชาชนที่จะต้องรักษาเสรีภาพสุดท้ายบนโลกออนไลน์ เอาไว้ให้ได้

    ประกาศ ณ วันที่ ๕ ตุลาคม ๕๘

    กลุ่มพลเมืองต่อต้าน Single Gateway”

    โดยได้มีการระบุพิกัดเว็บไซต์ที่จะเข้าทำการโจมตีไว้ท้ายประกาศ แต่อย่างไรก็ดี มติชนออนไลน์รายงานในวันที่ 7 ต.ค. 2558 ว่ นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ที่ปรึกษา รมว.ไอซีที กล่าวว่า จากการตรวจสอบการใช้งานเว็บไซต์ของไอซีที และหน่วยงานภาครัฐเมื่อวันที่ 5 ต.ค. พบว่ายังใช้งานได้เป็นปกติ ไม่ได้พบเหตุการณ์การเข้ามาใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ยังให้ทีมงานเฝ้าดูแลเพื่อเร่งแก้ไขหากเกิดปัญหาเว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้อยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบและสร้างความเสียหายสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าถึงบริการข้อมูลของเว็บไซต์ ไอซีทีและเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐ ซึ่งการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เป็นสิทธิ ไอซีทีเปิดกว้างพร้อมรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่าย แต่ ไม่ต้องการให้ลุกลามจนเกิดความเสียหายต่อผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ดังนั้นตอนนี้จึงต้องเฝ้าดูแลอย่างเข้มงวด

    ร้อง สธ. เอาผิดดาราโพสต์ภาพคู่เบียร์

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1444303803
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1444303803

    8 ต.ค. 2558 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า จากกรณีนักร้องหนุ่ม โดม ปกรณ์ ลัม รวมทั้งมีดารา นักแสดง พิธีกร หลายคน โพสต์ภาพผ่านอินสตาแกรม เป็นภาพที่กำลังดื่มหรือถือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อหนึ่ง โดยหันโลโก้ให้เห็นอย่างชัดเจน พร้อมเขียนข้อความบรรยายภาพในลักษณะเหมือนเชิญชวน จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า นักแสดงสามารถทำการถ่ายภาพในเชิงโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้หรือไม่

    เมื่อวันที่ 8 ต.ค. นายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานเครือข่ายเฝ้าระวังกลยุทธ์สุรา กล่าวว่า ทางเครือข่ายได้ติดตามพฤติกรรมดังกล่าวอยู่ เห็นว่าไม่ใช่พฤติกรรมปกติของปุถุชนทั่วไป แต่เป็นภาพที่ต้องการสื่อสารให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเชิญชวนให้เกิดกระแสการการโฆษณาแบบปากต่อปากผ่านโซเชียลมีเดีย การกระทำดังกล่าวถือว่าผิด พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2557 มาตรา 32 ซึ่งห้ามโฆษณา เชิญชวนให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตรงนั้นนี้ทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างกระทำการโฆษณาก็ถือมีความผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะมีการพิจารณาตามฐานความผิด โดยหากเป็นการกระทำผิดครั้งแรกจะปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท ถ้าทำผิดเป็นครั้งที่ 2 จำมีโทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท และถ้ายังทำผิดอีกจะมีโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท เป็นต้น

    “เครือข่ายเริ่มพบการโฆษณาแบบนี้มาได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว ถือเป็นการเปลี่ยนรูปแบบจากเดิมที่เคยใช้ศิลปิน นักร้อง นักกีฬาโฆษณาด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆ แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นการถ่ายภาพกับสินค้าแล้วโพสต์ลงอินสตราแกรมส่วนตัว แต่พฤติกรรม ลักษณะการจับขวด เปิดตู้ การรินเหล้าเบียร์ ไม่ใช่พฤติกรรมปกติ และชัดเจนว่าเป็นการโฆษณา ซึ่งในวันที่ 9 ต.ค. ตนและเครือข่ายเตรียมเข้าพบกับ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เพื่อเรียกร้องให้ดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว” นายคำรณ กล่าว

    เมื่อถามว่า ในกรณีประชาชนทั่วไป ซึ่งอาจจะมีการถ่ายภาพการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วโพสต์ลงเฟซบุ๊ค อินสตราแกรมส่วนตัวจะถือว่ามีความผิดฐานโฆษณาด้วยหรือไม่ นายคำรณ กล่าวว่า ตามกฎหมายในส่วนของเว็บบอร์ดสาธารณะ เช่น เว็บไซต์พันทิป นั้นจะห้ามไม่ให้มีการเผยแพร่รูปขวด หรือโลโก้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ถ้าเป็นเพจส่วนตัวจะต้องดูที่พฤติกรรมเป็นหลักว่ามุ่งทางการค้าหรือไม่ โดยเฉพาะกรณีนักร้อง นักแสดง มีพฤติกรรมรับว่าจ้างให้ดำเนินการโฆษณา แต่ทำให้เหมือนกับเป็นการใช้ชีวิตส่วนตัวตรงนี้คือสิ่งที่กังวล และคิดว่าหน่วยงานรัฐจะต้องตามให้ทันกับกลยุทธ์การโฆษณาของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งมีหลากหลายมาก

    อันดามันอ่วมหมอก อินโดฯ วอนชาติอาเซียนช่วย

    ที่มาภาพ:  เว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ http://goo.gl/o6i2Xq
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ http://goo.gl/o6i2Xq

    หมอกควันไฟป่าจากประเทศอินโดนีเซียที่กระจายตัวจนส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบรวมทั้งไทย กำลังเป็นปัญหาใหญ่ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยศูนย์ข่าวภูเก็ต ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ค่าเฉลี่ยฝุ่นละอองที่ภูเก็ตโดยเฉลี่ยน 24 ชั่วโมง ยังเกินมาตรฐาน คือสูงกว่า 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และเมื่อเวลา 09.00 น. ของวันที่ 8 ต.ค. 2558 นั้นวัดค่าได้สูงถึง 201 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ หมอกควันดังกล่าวยังขยายพื้นที่เข้าสู่จังหวัดชุมพรแล้ว

    ในวันเดียวกัน เว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์รายงานว่า นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทาไปประเทศจีน ว่ากระทรวงต่างประเทศได้เชิญเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทยมาร่วมหารือที่กระทรวงต่างประเทศ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องหทมอกควันดังกล่าวในเบื้องต้น รวมทั้งหาทางป้องกันในอนาคต

    ต่อมาที่กระทรวงการต่างประเทศ นายวิทวัส ศรีวิหค รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้เชิญนายลุตฟี่ ราอุฟ เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย เข้าหารือถึงปัญหาไฟป่าและหมอกควันในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบมาถึงภาคใต้ของไทย โดยนายวิทวัสเปิดเผยหลังการหารือว่า เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียได้ชี้แจงสถานการณ์ล่าสุดว่ารัฐบาลอินโดนีเซียไม่ได้นิ่งนอนใจในการดับไฟป่า แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นถือว่าหนักหนาสาหัส ขณะที่ความพยายามที่อินโดนีเซียทำอยู่ถือว่าไม่เพียงพอ เขาจึงจะขอรับความช่วยเหลือจากมิตรประเทศในอาเซียนด้วย ดังนั้นตนแจ้งว่าไทยมีความพร้อมที่จะช่วยเหลือตามที่จะร้องขอ แต่ต้องรอความชัดเจนจากการประชุมเพื่อวิเคราะห์ว่าต้องการความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง เพราะหากมีการให้ความช่วยเหลือภัยพิบัติโดยไม่แยกแยะ อาจไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริง จึงต้องให้เวลาอินโดนีเซียในการจัดเตรียมคำขอมาก่อน

    นายวิทวัสกล่าวอีกว่า เอกอัครราชทูตอินโดฯ ยังได้แสดงความเสียใจต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับไทยและประเทศใกล้เคียง โดยเข้าใจความห่วงกังวลของรัฐบาลไทยที่ปัญหาอาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและสุขภาพของประชาชน ทั้งนี้ สาเหตุไฟป่าที่เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติและจากฝีมือมนุษย์ ซึ่งรัฐบาลอินโดฯ ยืนยันว่ามีกฎหมายลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาดด้วย

    การบินไทยทุ่ม 5,300 ล้าน ปรับลดพนักงาน 400 คน

    ภาพประกอบข่าว TG119-1

    7 ต.ค. 2558 เว็บไซต์ไทยพีบีเอสรายงานว่า นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน กล่าวว่า สำนักงานบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (เอฟเอเอ) ได้ตรวจการบินไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการประเมิน ส่วนการตรวจของสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหภาพยุโรป (เอียซ่า) ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนั้น ได้เตรียมความพร้อมเรื่องการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย โดยปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยให้เป็นมาตรฐานสากล

    ส่วนกรณีที่สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย จะเดินทางไปยื่นหนังสือเพื่อให้บริษัทการบินไทย ยุติและถอนฟ้องกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจ 4 คน กรณีพิพาทเรียกร้องการปรับขึ้นเงินเดือน และการจ่ายโบนัส เมื่อปี 2556 และเรียกเสียหาย 326 ล้านบาท ที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น นายจรัมพรกล่าวว่า พร้อมรับฟังข้อเสนอจากสหภาพการบินไทย แต่จะต้องพิจารณาข้อเรียกร้องอีกครั้ง โดยยืนยันว่า ยินดีประนีประนอมตาม แต่ต้องอยู่ในอำนาจหน้าที่

    สำหรับความคืบหน้าเเผนการฟื้นฟูการบินไทย ขณะนี้การบินไทยขายเครื่องบินไปเเล้ว 18 ลำ เหลืออีก 16 ลำที่ยังรอการขาย รวมถึงมีการลดเส้นทางการบิน และปรับโครงสร้างองค์กรไปแล้ว ซึ่งแผนดังกล่าวล่าช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ขณะที่แผนการปรับลดพนักงาน ในช่วงเดือนธันวาคมนี้จะมีการปรับลดอีก 400 คน เบื้องต้นใช้งบประมาณในการปรับลดพนักงานจำนวน 5,300 ล้านบาท และในปี 2559 การบินไทยยังคงเดินหน้าปรับลดพนักงานเพื่อลดการขาดทุน โดยวางงบประมาณไว้ที่ 2,000 ล้านบาท

    ส่วนปัญหาหมอกควัน นายจรัมพรกล่าวว่า ปัญหาหมอกควัน ยังไม่ส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินในภาคใต้ แต่อาจทำให้เที่ยวบินเส้นทางอินโดนีเซียและสิงคโปร์ต้องเลื่อนหรือล่าช้าบ้าง ซึ่งถือว่าการบินไทยได้รับผลกระทบน้อยเมื่อเทียบกับสายการบินที่มีฐานใน 2 ประเทศนี้

    ขณะเดียวกันวันนี้ การบินไทยยังมีพิธีการเจิมเครื่องบินเครื่องบินโบว์อิ้ง 777-300ER จำนวน 2 ลำ นามพระราชทาน “สุจิตรา” และนามพระราชทาน “มุกดาสยาม” โดยจะให้บริการในเส้นทางบินภูมิภาคและเส้นทางบินข้ามทวีป เช่น โคเปนเฮเกน บรัสเซลส์ สตอกโฮล์ม ออสโล เซี่ยงไฮ้ และซูริค สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 348 ที่นั่ง แบ่งเป็นชั้นที่นั่งธุรกิจ 42 ที่นั่ง จากที่นั่งชั้นประหยัด 306 ที่นั่ง โดยชั้นธุรกิจมีความเป็นส่วนตัวสามารถปรับเอนนอนรับได้ 180 องศา ซึ่งปัจจุบันการบินไทยมีเครื่องบินโบว์อิ้ง 777-300ER จำนวน 13 ลำ

    มาแล้ว ร่างภาษีบ้าน-ที่ดิน ไม่เกินสองล้านจ่ายปีละหกร้อย ทิ้งที่รกร้างมีหนาว

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1444262761
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1444262761

    8 ต.ค. 2558 เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้สรุปร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง พิจารณาแล้ว เพื่อส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ โดยสาระสำคัญ คือการกำหนดอัตราเพดานภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไว้ 4 ประเภท ประกอบด้วย ภาษีที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อัตรา 0.2% ของราคาประเมิน ภาษีที่ดินเพื่ออยู่อาศัย อัตรา 0.3% ของราคาประเมิน ภาษีที่ดินเพื่อการพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม อัตรา 1% ของราคาประเมิน และภาษีที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ ในช่วง 1-3 ปีแรก จะเก็บภาษี 1% ในช่วง 4-6 ปี เก็บเพิ่มเป็น 2% และปีที่ 7 เป็นต้นไป เสียภาษี 3% โดยจะเริ่มจัดเก็บตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2560

    อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บภาษี 3 ประเภทแรก จะกำหนดในพระราชกฤษฎีกาจัดเก็บอัตราเป็นขั้นบันไดตามราคาประเมิน เริ่มจากภาษีที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรณีมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาท เก็บภาษี 0.01% หรือคิดเป็นภาษีที่ต้องจ่าย 200 บาท/ปี และมูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป เก็บภาษี 0.1% หรือคิดเป็นเงินภาษีที่จ่าย 5.63 หมื่นบาท/ปี

    สำหรับภาษีที่ดินเพื่ออยู่อาศัย จะเริ่มที่มูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาท เก็บภาษี 0.03% หรือคิดเป็นภาษีที่จ่าย 600 บาท/ปี ไล่ไปจนถึงบ้านราคา 100 ล้านบาทขึ้นไป เก็บภาษี 0.2% หรือคิดเป็นเงินภาษีที่ต้องจ่าย 6.39 หมื่นบาท/ปี

    ขณะที่ภาษีที่ดินเพื่อการพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม จะเริ่มที่มูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาท เก็บภาษี 0.1% คิดเป็นภาษีที่ต้องจ่าย 2,000 บาท/ปี ไปจนถึงมูลค่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษี 0.6% หรือคิดเป็นภาษีที่ต้องจ่าย 4.35 ล้านบาท/ปี

    นอกจากนี้ จะมีการออกมาตรการเพื่อบรรเทาภาระภาษี ในกรณีที่เป็นที่อยู่อาศัยจะลดอัตราการจัดเก็บภาษีให้เหลือครึ่งหนึ่งของภาษีที่ต้องชำระเป็นเวลา 3 ปี ในกรณีที่ผู้เสียภาษีอยู่อาศัยมาเกิน 15 ปี และ มีรายได้น้อย แต่ได้รับผลกระทบจากราคาประเมินที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล

    ทั้งนี้การออกกฎหมายจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างครั้งนี้กระทรวงการคลังประเมินว่า ในระยะ 3 ปีแรกที่มีการบรรเทาผล กระทบดังกล่าว คลังจะเก็บภาษีได้ปีละ 8.2 หมื่นล้านบาท และตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไปจะเก็บภาษีได้ 9.7 หมื่นล้านบาท โดยการเก็บภาษีจะกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินมากขึ้น โดยเฉพาะที่ดินที่เป็น ที่รกร้างว่างเปล่า เพราะจะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงมาก