ASEAN Roundup ประจำวันที่ 14-21 มีนาคม 2564
มาเลเซียออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่ 6

นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มุห์ยิดดิน ฮัสซิน แถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่วงเงิน 20 พันล้านริงกิต หรือ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2021 หนึ่งปีหลังจากมาเลเซียประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ครั้งแรกเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19
มาตรการนี้เป็นมาตรการชุดที่ 6 นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด -19
“เพื่อฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ผมยินดีที่จะประกาศว่ารัฐบาลจะดำเนินโครงการยุทธศาสตร์เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งของประชาชนและเศรษฐกิจหรือ Pemerkasa มูลค่า 20,000 ล้านริงกิต ด้วยการอัดฉีดงบประมาณใหม่จากรัฐบาล 11 พันล้านริงกิตมาเลเซีย” นายมูห์ยิดดินแถลง
โครงการนี้ประกอบด้วยการริเริ่มเชิงกลยุทธ์ 20 ข้อ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ สนับสนุนธุรกิจและขยายความช่วยเหลือไปยังกลุ่มเป้าหมาย ทั้งประชาชนและภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ
“ขณะนี้ประเทศอยู่ในระยะที่ 5 ของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ครอบคลุม ซึ่งก็คือ “ฟื้นฟู” เพื่อเริ่มต้นเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด”
วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2021 เป็นวันครบรอบหนึ่งปีเต็มนับตั้งแต่มาเลเซียออกมาตรการล็อกดาวน์ครั้งแรกที่มีชื่อว่า คำสั่งควบคุมการสัญจร (Movement Control Order: MCO) เพื่อสกัดการวงจรการติดเชื้อ
มาเลเซียได้เริ่มโครงการฉีดวัคซีนเมื่อเดือนที่แล้วและนายมูห์ยิดดินซึ่งได้รับวัคซีนโควิด-19 เข็มที่สองในปุตราจายาในวันพุธกล่าวว่า ชาวมาเลเซียมากกว่า 300,000 คนได้รับวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว
รัฐบาลอาจจะอนุญาตให้เดินทางได้หลังจากที่มีผู้รับวัคซีนมากขึ้น
ในการแถลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมา นายมูห์ยิดดินได้ประกาศว่า การจัดสรรเงินสำหรับโครงการสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 จะเพิ่มขึ้นจาก 3 พันล้านริงกิตเป็น 5 พันล้านริงกิต เพื่อสร้างการมีภูมิคุ้มกันหมู่ได้เร็วขึ้นภายในเดือนธันวาคมแทนที่จะเป็นไตรมาสแรกของปี 2022 และการที่มีแผนการฉีดวัคซีน ก็อาจไม่จำเป็นต้องล็อกดาวน์ทั่วประเทศหรือ MCO อีกต่อไป
รัฐบาลอาจไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการ MCO ที่ครอบคลุมทั้งประเทศหรือแต่ละรัฐอีกต่อไป แต่การควบคุมการสัญจรจะดำเนินการตามพื้นที่และเน้นเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องเท่านั้น”
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อมีคนที่มีภูมิคุ้มกันจำนวนมากขึ้น รัฐบาลก็พร้อมที่จะอนุญาตให้มีการเดินทางระหว่างรัฐเป็นระยะๆ และเปิดช่องทาง green lane สำหรับการเดินทางข้ามพรมแดนที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางอากาศ
“ให้เวลารัฐบาลในการตรวจสอบความเสี่ยงทั้งหมดก่อนที่จะมีการตัดสินใจ” เขากล่าว
ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ 5 ชุด ได้แก่ Prihatin มูลค่า 250 พันล้านริงกิต, Prihatin SMEs 10,000 ล้านริงกิต, Penjana 35 พันล้านริงกิต, Kita Prihatin วงเงิน 10,000 ล้านริงกิต และ Permai วงเงิน 15 พันล้านริงกิต
การประกาศมาตรการ Pemerkasa ล่าสุดส่งผลให้มูลค่ารวมของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเป็น 340 พันล้านริงกิต
สำหรับประเด็นสำคัญของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต ได้แก่
– การจัดสรรงบประมาณเพื่อโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กสำหรับผู้รับเหมา G1 ถึง G4 เพิ่มจาก 2.5 พันล้านริงกิต เป็น 5 พันล้านริงกิต
– รัฐบาลให้ความช่วยเหลือรายเดือน 200 ริงกิตแก่ข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับโครงการสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 แห่งชาติ
– รัฐบาลจะเพิ่มการจัดสรรให้กับโครงการสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 แห่งชาติเป็น 5 พันล้านริงกิตจาก 3 พันล้านริงกิตก่อนหน้านี้
– รัฐบาลจะยกเว้นค่าธรรมเนียมให้กับผู้ที่ขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์, ตลาด ACE และตลาด LEAP เป็นเวลา 12 เดือน
– รัฐบาลจัดสรรเงิน 700 ล้านริงกิตสำหรับการขยายการอุดหนุนค่าจ้างเป็นเวลา 3 เดือนให้กับภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจาก MCO รวมถึงการท่องเที่ยว
– รัฐบาลให้การลดหย่อนภาษีพิเศษสำหรับสถานที่ทำงานและที่พักของคนงานให้กับบริษัทในอุตสาหกรรมการผลิต โดยจำกัดการลดหย่อนไว้ที่ 50,000 ริงกิตต่อบริษัท แต่บริษัทต้องจดทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MITI) และผ่านการตรวจสอบการปฏิบัติตามภายใต้มาตรการ Safe @ Work โดยจะให้ยื่นได้ในวันที่ 1 เมษายน
– รัฐบาลเพิ่มเงินอุดหนุนอุปกรณ์อัจฉริยะให้กับครัวเรือนกลุ่ม B40 หรือครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ (3,885 ริงกิตหรือต่ำกว่า) ที่มีเด็กอย่างน้อย 1 คนในโรงเรียนเป็น 300 ริงกิต เพื่อสำหรับการซื้อสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อื่นๆ
– จะยกเว้นค่าธรรมเนียมการลงทะเบียนภายใต้ Companies Commission of Malaysia สำหรับกลุ่ม B40 และนักศึกษาเต็มเวลาในสถาบันการศึกษาระดับสูง
– ขยายเวลาลดค่าไฟฟ้า 10% เป็นเวลา 3 เดือนสำหรับผู้ประกอบการโรงแรม สวนสนุก ศูนย์การประชุม ห้างสรรพสินค้า สำนักงาน สายการบินในประเทศและ บริษัททัวร์และการท่องเที่ยวจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2021 ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะรับภาระค่าใช้จ่าย 135 ล้านริงกิต
– จัดสรรเงิน 300 ล้านริงกิตผ่าน BSN เพื่อปล่อยเงินกู้เพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ริงกิต โดยลดดอกเบี้ยลงเหลือ 3% จาก 3.5% และให้กู้เป็นเวลา 5 ปี โดยจะเริ่มชำระเงินในเดือนที่ 6
– รัฐบาลมอบเงินช่วยเหลือพิเศษเพียงครั้งเดียวจำนวน 3,000 ริงกิตสำหรับตัวแทนท่องเที่ยวกว่า 5,000 แห่งที่ลงทะเบียนกับกระทรวงท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรม (MOTAC)
– นอกจากนี้รัฐบาลยังให้ความช่วยเหลือเงินสดเพียงครั้งเดียวจำนวน 600 ริงกิตสำหรับเจ้าของโฮมสเตย์ที่ลงทะเบียนกับ MOTAC
– รัฐบาลให้คำมั่นว่าจะไม่ใช้คำสั่ง MCO เต็มรูปแบบอีกต่อไป และจะเน้นไปที่ MCO ในพื้นที่แทนและพื้นที่มีการติดเชื้อแบบกลุ่ม
– จะมีการลดภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรองโควิด-19 ของพนักงาน จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
– รัฐบาลจัดสรร 1.2 พันล้านริงกิตเพื่อช่วยเหลือผู้ที่สูญเสียรายได้ ซึ่งประกอบด้วยการจ่ายเงินครั้งเดียว 500 ริงกิต ให้แก่กลุ่ม B40 และสำหรับผู้เข้าโครงการช่วยเหลือดูแลประชาชน (Bantuan Prihatin Rakyat) ที่มีรายได้ 1,000 ริงกิต หรือต่ำกว่า
– โครงการ TEKUN MobilePreneur จะขยายไปถึงการซื้อหรือซ่อมรถจักรยานยนต์ ในวงเงินไม่เกิน 10,000 ริงกิต การซื้อรถจักรยานยนต์นำเข้า ขนาด 150 ซีซี และต่ำกว่า จะได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิตตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนถึง 31 ธันวาคม 2021
– รัฐบาลจัดสรรเงิน 30 ล้านริงกิตมาเลเซียเพื่อช่วยผู้ประกอบการสตรียกระดับธุรกิจมาสู่ออนไลน์
– โครงการ TEKUN Pos-Preneur จะนำไปให้กับกลุ่มคนขับรถส่งของ โดยมีเงินทุนสูงถึง 20,000 ริงกิตสำหรับการซ่อมแซมยานพาหนะ และ 50,000 ริงกิตสำหรับการซื้อรถตู้หรือรถบรรทุก
– เพิ่มวงเงินโครงการ eBelia จาก 100 ล้านริงกิต เป็น 150 ล้านริงกิต เพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมแบบไม่ใช้เงินสดในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 18-20 ปีและนักศึกษาระดับอุดมศึกษา
– กำหนดเพดานราคา เบนซิน RON95 และดีเซลแบบคงที่ที่ 2.05 ริงกิต และ 2.15 ริงกิตต่อลิตรตามลำดับ
อินโดนีเซียคาดเมืองหลวงใหม่สร้างเสร็จภายในปี 2024

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผนของอินโดนีเซียเปิดเผยว่า อินโดนีเซียมั่นใจว่าโครงการเมืองหลวงใหม่จะดำเนินต่อไปในปีนี้และการก่อสร้างในส่วนของทำเนียบรัฐบาลจะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในปี 2024
ซูฮาร์โซ โมโนอาร์ฟา รัฐมนตรีกระทรวงวางแผน ให้สัมภาษณ์กับ Anadolu Agency ว่า ประมาณการงบประมาณเบื้องต้นสำหรับการก่อสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่อยู่ที่ 466 ล้านล้านรูเปียะห์ หรือราว 32.3 พันล้านดอลลาร์
“ตัวเลขนี้ยังคงมีการปรับให้เข้ากับกลยุทธ์และขั้นตอนของการพัฒนา ตามการวิเคราะห์ในแผนแม่บทสำหรับเงินทุนของรัฐ”
โมโนอาร์ฟากล่าวว่า การวิเคราะห์รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุดของงบประมาณรายรับและรายจ่ายของรัฐ (State Revenue and Expenditure Budget: APBN) กับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) และภาคเอกชนเพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนาเมืองหลวงใหม่จะสอดประสานกับโครงการสำคัญระดับชาติอื่นๆ
นอกจากนี้ยังระบุว่า แหล่งเงินทุนที่ไม่ใช่งบประมาณถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดโอกาสในการลงทุนและสร้างงานใหม่ ที่สามารถส่งเสริมความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจในภาคตะวันออกของอินโดนีเซีย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผนยังให้ความมั่นใจว่า การสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่จะยังคงปกป้องชุมชนในท้องถิ่นต่อไป โดยการสร้างความมั่นใจว่าการโยกย้ายไปที่ใหม่มีการจัดการ มีการวางแผนและสอดคล้องกับกับการพัฒนาเป็นอย่างดี
โมโนอาร์ฟาระบุว่า หลักการพัฒนาและตัวชี้วัดผลการดำเนินงานหลัก (KPI) ได้จัดทำขึ้นเป็นแนวทาง เพื่อให้แน่ใจว่างานพัฒนาจะดำเนินไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
“เพื่อรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อม เมืองหลวงแห่งใหม่สร้างขึ้นตามหลักการของการออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพทางธรรมชาติ’ ด้วยการจัดสรรพื้นที่สีเขียวไว้ 75%”
โมโนอาร์ฟากล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลมีแผนที่จะกำหนดเกณฑ์การทดแทนพื้นที่สีเขียว 100% สำหรับการก่อสร้างอาคารสถาบัน อุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย
ก่อนหน้าองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมหลายแห่งรวมถึง Mining Advocacy Network (JATAM) และ Indonesia Forum for Environment (WALHI) ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองหลวงแห่งใหม่ โดยระบุว่า มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความเสียหายต่อระบบนิเวศ และไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถปกป้องชุมชนในท้องถิ่นได้
อินโดนีเซียเปิดบริการเฮลิคอปเตอร์แท็กซี่

กรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย ที่ขึ้นชื่อเรื่องปัญหารถติด จราจรติดขัด มากที่สุดในโลก ได้เปิดให้บริการเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ไปสนามบินเป็นแห่งแรก โดยมีเป้าหมายตลาดเฉพาะกลุ่ม
โดยปกติแล้วการเดินทางด้วยรถในจาการ์ตาเพื่อไปสนามบินซูการ์โน-ฮัตตาที่อยู่ชานเมืองจะใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือบางครั้งก็มากกว่านั้น
ปัญหานี้เป็นสิ่งที่เดนอน ปราวิราตมาดจา ซีอีโอของบริษัทการบิน Whitesky Aviation พยายามแก้ไข โดยการเปิดตัวบริการเดินทางไปหรือออกจากสนามบินด้วยเฮลิคอปเตอร์
“ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องการเข้าถึง ซึ่งเป็นประเด็นหลัก การใช้บริการแท้กซี่เฮลิคอปเตอร์คือการเข้าไปในสนามบินได้”
ด้วยบริการแท็กซี่เฮลิปคอปเตอร์ ลูกค้าสามารถบินจากสนามบินไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการได้ทั่วกรุงจาการ์ตา หรือเดินจากตัวเมืองจาการ์ตามายังสนามบิน โดยใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้นตั้งแต่เวลา 6.00-18.00 น. ทุกวัน
นอกจากนี้ยังให้บริการแก่ผู้ที่อาศัยในชวาตะวันตก เช่น บันดุงและซิเรบอน
ผู้ที่ต้องการใช้บริการต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันผ่านแอปพลิเคชัน และต้องชำระค่าบริการในอัตรา 8-20 ล้านรูเปียะห์ หรือ 555-1,387 ดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับระยะทาง ราคานี้ไม่รวมค่าธรรมเนียมการนำเครื่องขึ้นหรือลงจอดอีกประมาณ 5 ล้านรูเปียะห์ ดังนั้นการใช้บริการจากสนามบินซูการ์โน-ฮัตตาไปยังชานเมืองทางใต้ของกรุงจาการ์ต้าจะมีค่าใช้จ่ายราว 30 ล้านรูเปียะห์สำหรับการบินด้วยเฮลิคอปเตอร์ Bell 505 และจำนวนผู้โดยสาร 3 คน
ส่วนเฮลิคอปเตอร์รุ่น Bell 429 สามารถรองรับบริการได้มากถึง 6 คนต่อเที่ยว มีค่าใช้จ่ายราว 80 ล้านรูเปียะห์
บริการนี้ถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในอินโดนีเซีย และนับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว มีลูกค้าใช้บริการราว 2-10 คนต่อเดือน แม้การจราจรในจาร์การ์ตา ดีขึ้นบ้างเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19
ปราวิราตมาดจา เปิดเผยว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือคนที่ต้องการความยืดหยุ่นและความเร็ว และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ การเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ไม่ถือว่าเป็นการเดินทางแบบหรูหรา แต่สำหรับอินโดนีเซียราคาสูงเพราะนอกจากอะไหล่ต้องนำเข้าแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
นอกจากนี้ กลุ่มมหาเศรษฐีของอินโดนีเซียกำลังเพิ่มขึ้นและจะเติบโตแซงหน้าจีน จากการคาดการณ์ของบริษัทที่ปรึกษาไนท์แฟรงก์ ในรายงาน Wealth Report ซึ่งคาดว่า คนรวยของอินโดนีเซียที่วัดจากรายได้ 30 ล้านดอลลาร์ขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นปีละ 67% ไปจนถึงปี 2025
ปราวิราตมาดจาเปิดเผยว่า ลูกค้าส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ และต้องการบริการแบบส่วนตัวมากกว่าบริการสาธารณะเพื่อเลี่ยงโอกาสการติดเชื้อโควิด-19
เวียดนามเปิดใช้รถไฟความเร็วสูง 2 เส้นทางปี 2030

วินห์เป็นเมืองหลวงของจังหวัดเหงะอานทางตอนกลางค่อนไปทางเหนือ และญาจางเป็นเมืองชายหาดในจังหวัดทางตอนใต้ของ คั้ญฮหว่า หากความต้องการยังอยู่ในระดับต่ำ ทั้งสองเส้นทางอาจเริ่มต้นในปี 2032 ตามแผนเดิม
ทั้งสองเส้นทางมีความยาวรวมกัน 651 กิโลเมตร (404 ไมล์) จะต้องใช้เงินในการก่อสร้างและดำเนินการทั้งหมด 5,61.6 ล้านล้านด่อง (24.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
เมื่อเปิดใช้งานแล้ว จะเริ่มดำเนินการในเส้นทางอื่นๆ เพื่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเหนือ-ใต้หรือทรานส์เวียดนาม
โครงการรถไฟคาดว่าจะต้องใช้เงินทุนมากกว่า 665 ล้านล้านด่อง (28.82 พันล้านดอลลาร์) ภายในปี 2030 รวมถึงการปรับปรุงเส้นทางที่มีอยู่
ในปี 2018 กระทรวงฯได้รื้อฟื้นเส้นทางความเร็วสูงเหนือ-ใต้ หลังจากที่ถูกตีกลับในที่ประชุมแห่งชาติในปี 2010 เนื่องจากมีมูลค่าถึง 56 พันล้านดอลลาร์ หรือราวครึ่งหนึ่งของ GDP ของเวียดนามในขณะนั้น
ผู้เชี่ยวชาญได้แสดงความกังวลอีกครั้งเกี่ยวกับการเพิ่มเงินจำนวนมหาศาล ทั้งนี้กระทรวงเสนอก่อสร้างในเส้นทาง 1,600 กิโลเมตร ด้วยความเร็ว 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในมูลค่า 58,700 ล้านดอลลาร์
ลา ง็อค เคว อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ไม่เห็นด้วยกับแผนพัฒนารถไฟด้วยความเร็ว 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยจะมีค่าใช้จ่ายมหาศาลเนื่องจากเวียดนามจะต้องนำเข้าอุปกรณ์และวิศวกร และแนะนำให้พัฒนาที่ความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแทนเพื่อให้มั่นใจว่ามีความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจและทางเทคนิค
ดัง ฮุย ดอง ผู้บริหารสถาบันการวางแผนและพัฒนากล่าวว่า ค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูงควรต่ำกว่าตั๋วเครื่องบินเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ รถไฟที่วิ่งด้วยความเร็ว 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงหรือ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะมีประสิทธิภาพมากกว่า และหลีกเลี่ยงการที่จะต้องรับประกันการขาดทุนของนักลงทุนของรัฐบาล
เวียดนามมีเส้นทางรถไฟในระยะทางกว่า 3,000 กิโลเมตร แต่ไม่ใช้รถไฟความเร็วสูง
ปีที่แล้วรถไฟขนส่งผู้โดยสาร 8 ล้านคนลดลง 6.9% เปอร์เซ็นต์จากปี 2019 เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 และน้ำท่วมในภาคกลางส่งผลกระทบต่อการเดินทาง
วัคซีนโควิดที่ผลิตในเวียดนามจะวางจำหน่ายภายในสิ้นปี 2021
กระทรวงสาธารณสุขของเวียดนามประกาศว่า วัคซีนป้องกันโควิดที่ผลิตในประเทศ ที่ชื่อ Nanocovax จะวางจำหน่ายภายในสิ้นปี 2021 โดยรัฐบาลมีแผนที่จะเริ่มแจกจ่ายในปีหน้า
บริษัทเวียดนาม 4 แห่งกำลังดำเนินการพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด โดยที่ 2 รายคือ Nanocovax และ Covivac อยู่ระหว่างการทดลองในมนุษย์
ในแถลงการณ์กระทรวงสาธารณสุขประกาศว่า “การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคขึ้นอยู่กับการพัฒนาวัคซีนเป็นหลัก”
ในขณะที่เวียดนามกำลังวางแผนที่จะใช้วัคซีนที่ผลิตในประเทศเพื่อช่วยเร่งการฉีดวัคซีน แต่รัฐบาลก็ประกาศชัดเจนว่าจะยังคงใช้วัคซีนอื่นๆ ต่อไป โดยได้รับวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ส่งมอบวัคซีนรายหลักของประเทศ
ประชาชนเวียดนามกว่า 20,000 คนในเวียดนามได้รับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว และกระทรวงสาธารณสุขมีแผนที่จะใช้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าต่อไป แม้หลายประเทศอื่นๆ จะกังวลเกี่ยวกับการเกิดอาการเลือดอุดตัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยังเปิดเผยว่า เวียดนามกำลังเจรจากับหลายบริษัทในต่างประเทศ เพื่อที่จะจัดหาวัคซีนได้ครบ 150 ล้านโดสตามเป้าหมาย และกำลังจะซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์, โมเดอร์นา, จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และสปุตนิก วี
เวียดนามเป็นสมาชิกโครงการ COVAX ซึ่งเป็นโครงการจัดหาวัคซีนระหว่างประเทศที่ดำเนินการโดยองค์การอนามัยโลก เพื่อให้แน่ใจว่าทุกประเทศสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ ในเดือนที่แล้วคาดว่าเวียดนามจะได้รับวัคซีน 30 ล้านโดสจากโครงการนี้
นับตั้งแต่เริ่มระบาดเวียดนามได้รายงานผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันแล้ว 2,559 รายและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 35 รายและมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงต้นปีนี้