ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 21-27 มิถุนายน 2558: จับ “คำรณวิทย์” พกปืนเข้าสนามบินญี่ปุ่น – ดาราสาวชนสนั่น ตำรวจสุพรรณดับ

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 21-27 มิถุนายน 2558: จับ “คำรณวิทย์” พกปืนเข้าสนามบินญี่ปุ่น – ดาราสาวชนสนั่น ตำรวจสุพรรณดับ

28 มิถุนายน 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 21-27 มิถุนายน 2558

  • จับ “บิ๊กแจ๊ด” พกปืนเข้าสนามบินแดนอาทิตย์อุทัย
  • แรงงานเสนอค่าแรงขั้นต่ำวันละ 360 บาท รัฐเบรกสนั่น
  • คู่รักเพศเดียวกันสหรัฐฯ เฮ ศาลสูงสั่งแต่งงานกันได้ทุกรัฐ ชาวเน็ตเปลี่ยนโปรไฟล์สีรุ้งร่วมฉลอง
  • ดาราสาวชนสนั่น ตำรวจสุพรรณดับ
  • จับ “บิ๊กแจ๊ด” พกปืนเข้าสนามบินแดนอาทิตย์อุทัย

    ที่มาภาพ : http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuXxvEyTTml4FWFAY86V9RblBDjpTQMyBDOOinpY.jpg
    ที่มาภาพ : http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuXxvEyTTml4FWFAY86V9RblBDjpTQMyBDOOinpY.jpg

    กลายเป็นเรื่องฮือฮาข้ามประเทศ เมื่อสื่อทั้งไทยและเทศรายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2558 เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น ได้เอ็กซเรย์พบวัตถุต้องสงสัยในกระเป๋าถือของ “บิ๊กแจ๊ด” หรือ พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) จึงได้ขอตรวจค้นและพบอาวุธปืนขนาด .22 แม็กนั่ม ยี่ห้อ นอร์ท อเมริกัน อาร์มส์ พร้อมกระสุน 5 นัด เป็นเหตุให้ พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ถูกตำรวจญี่ปุ่นควบคุมตัวในทันที

    ทั้งนี้ รายงานข่าวจากไทยรัฐออนไลน์เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2558 บอกว่า “พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้ยอมรับกับเจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่นว่า ปืนพกดังกล่าว เป็นของตนเอง ซึ่งได้รับเป็นของขวัญจากเพื่อนคนหนึ่ง และตนได้ลืมไปเลยว่าได้นำปืนพกกระบอกนี้ใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทาง ขณะที่ เจ้าหน้าที่ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทยในญี่ปุ่นคนหนึ่ง เปิดเผยกับเอเอฟพีด้วยว่า พล.ต.ท. คำรณวิทย์ กำลังถูกซักถามโดยทีมอัยการ”

    อนึ่ง ในเวลาต่อมา ไทยรัฐออนไลน์รายงานในวันที่ 25 มิ.ย. 2558 ว่านายตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง หรือโบว์ลิ่ง บุตรชายของ พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ได้เดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นเพื่อแสดงหลักฐานการซื้อและทะเบียนอาวุธปืนให้เจ้าหน้าที่ของญี่ปุ่นตรวจสอบ

    ขณะเดียวกัน ในรายงานข่าวดังกล่าว ยังระบุถึงคำพูดของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อกรณีของ พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ว่าอย่าเอาไปปนกับเรื่องการตรวจสอบมาตรฐานการบินของไทยจากองค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) โดยระบุว่าเรื่องของ พล.ต.ท. คำรณวิทย์เป็นเรื่องบุคคล ในขณะที่เรื่องการตรวจสอบของ ICAO นั้นเป็นเรื่ององค์กร ส่วนเรื่องว่านำปืนออกไปได้อย่างไรนั้นก็ต้องสอบสวนกันต่อไป

    ส่วน พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “สนามบินสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ความมั่นคง จะต้องตรวจสอบในเรื่องอาวุธ และสิ่งของที่ผิดกฎหมายที่จะออกไปต่างประเทศให้ดี ถ้าไปเจอที่ต่างประเทศแล้วบอกว่า ผ่านมาจากประเทศไทยแสดงว่าเครื่องมือเราใช้ไม่ได้ และเจ้าหน้าที่เราห่วย ดังนั้นเจ้าหน้าที่จะต้องช่วยกันดูแล รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ กำลังตรวจสอบว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ไม่รู้ว่า พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ได้ปืนมาจากที่ญี่ปุ่น หรือนำออกไปจากประเทศไทย ถ้านำออกจากประเทศ ไทยถือว่า เจ้าหน้าที่ใช้ไม่ได้ เพราะต้องตรวจสอบทุกคนไม่มีเว้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลพิเศษระดับไหน ต้องตรวจสอบให้หมด ไม่มีการยกเว้นแม้แต่คนเดียว อย่างไรก็ตาม ต่อไปจะต้องเพิ่มความเข้มงวดกับเจ้าหน้าที่และเครื่องมือในการตรวจสอบว่า ใช้ได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้ต้องดำเนินการ”

    ต่อมา ในวันที่ 26 มิ.ย. 2558 คมชัดลึกออนไลน์รายงานว่า ผู้สื่อข่าวของคมชัดลึกได้ประสานงานไปยังแหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่น และได้รับการเปิดเผยว่า “ทางตำรวจญี่ปุ่นได้นำอาวุธปืนนอร์ทอเมริกัน .22 นำส่งไปยังสำนักงานพิสูจน์หลักฐานของตำรวจญี่ปุ่น เพื่อทำการทดสอบว่าอาวุธปืนดังกล่าวมีอานุภาพความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน และอาวุธปืนดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายไทยหรือไม่ เพื่อนำข้อมูลการตรวจสอบทั้งหมดสรุปเสนอให้อัยการญี่ปุ่นพิจารณาประกอบสำนวน ว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง”

    ล่าสุด ในช่วงเย็นของวันที่ 27 มิ.ย. 2558 กรุงเทพธุรกิจได้รายงานข่าวโดยอ้างว่าผู้สื่อข่าวของคมชัดลึกได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงของทางการญี่ปุ่นว่า “ผลการตรวจอาวุธปืนของกลางที่พบเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจพบเพียง หมายเลขประจำปืนที่สลักไว้บ่งบอกถึงการผลิตจากโรงงานและเป็นการควบคุมของ โรงงานผู้ผลิตว่าปืนขนาดดังกล่าวถูกนำไปขายที่ประเทศใดบ้าง โดยโรงงานผู้ผลิตจะสลักตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษ และหมายเลขอารบิกไว้ที่ตัวปืน

    
แหล่งข่าวระดับสูงของทางการประเทศญี่ปุ่น อ้างอีกว่า เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานญี่ปุ่นพยายามตรวจหาหมายเลขทะเบียน ปืนกระบอกที่ตรวจยึดมาจาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ซึ่งหมายเลขทะเบียนปืนหากเป็นอาวุธปืนที่เสียภาษีอย่างถูกต้องของประเทศไทย น่าจะตอกตัวอักษรไทยและเลขไทยไว้ตรงด้ามจับของอาวุธปืนเท่านั้นเพราะอาวุธ ปืนนอร์ธ อเมริกัน .22 เป็นอาวุธปืนขนาดเล็ก น่าจะตอกตัวอักษรไทยและเลขไทยได้บริเวณด้ามจับเพียงอย่างเดียวแต่ก็ยังตรวจ ไม่พบ” แต่ทั้งนี้ ยังไม่สามารถระบุอย่างเป็นทางการได้ว่าเป็นปืนเถื่อนและจะพิจารณาเพิ่มข้อหาและอัตราโทษต่อ พล.ต.ท. คำรณวิทย์ หรือไม่

    แรงงานเสนอค่าแรงขั้นต่ำวันละ 360 บาท รัฐเบรกสนั่น

    ที่มาภาพ : http://www.matichon.co.th/online/2015/06/14352115381435211557l.jpg
    ที่มาภาพ : http://www.matichon.co.th/online/2015/06/14352115381435211557l.jpg

    วันที่ 25 มิ.ย. 2558 เว็บไซต์ “นักสื่อสารแรงงาน” หรือ voicelabour.org รายงานข่าว “แรงงานย้ำค่าจ้าง 360บาทอัตราเดียว” โดยระบุว่า คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ และเดินรณรงค์ไปยังกองอำนวยการรับเรื่องราวร้องทุกข์นายกรัฐมนตรี ที่ตั้งอยู่ที่ชั้นล่างสำนักข้าราชการพลเรือน ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือต่อถึงนายกรัฐมนตรี เรื่องประกาศขอปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นจากวันละ 300 บาท เป็น 360 บาท โดยมีจุดยืนดังนี้

    “1. เราไม่เห็นด้วยต่อความพยายามในการที่จะปล่อยให้ค่าจ้างแบบลอยตัวในแต่ละจังหวัดแต่ละเขต เพราะจะทำให้คนงานย้ายถิ่นสู่พื้นที่ค่าจ้างที่สูงกว่า ทำให้ชนบทถูกทิ้งร้างถึงขั้นล่มสลาย เกิดการกระจุกตัวของประชาชนในเขตเมือง ก่อให้เกิดปัญหาความแออัด ปัญหาการเข้าถึงการบริการสาธารณะ ปัญหาสังคมด้านต่างๆ รัฐต้องลงทุนอย่างมหาศาลต่อการแก้ไขปัญหาความแออัดในเขตเมือง แทนที่จะนำงบประมาณไปลงทุนสนับสนุนเรื่องการศึกษา การป้องกันสุขภาพ และพัฒนาคุณภาพชีวิต
    ประเด็นค่าครองชีพ ราคาสินค้า ที่อ้างว่าต่างจังหวัดถูกกว่าในเขตเมืองวันนี้ไม่เป็นความจริงอีกต่อไป พิสูจน์ได้จากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในร้านสะดวกซื้อหรือห้างสรรพสินค้าราคาเท่ากัน บางรายการแพงกว่าในเขตเมืองหรือกรุงเทพฯ ด้วย เราจึงขอสนับสนุนจะผลักดันทุกวิถีทางเพื่อให้มีค่าจ้างอัตราเดียวเท่ากันทั้งประเทศ

    2. เราขอให้รัฐบาลปรับค่าจ้างขั้นต่ำจากวันละ 300 บาทเป็น 360 บาทเท่ากันทั้งประเทศ เพราะค่าจ้าง 300 บาทถูกแช่แข็งไม่มีการปรับมาตั้งแต่ปี 2554 ในขณะที่ราคาสินค้าปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลสำรวจค่าครองชีพจากผู้ใช้แรงงานและสำนักโพลต่างๆ ก็ยืนยันว่าค่าจ้าง 300 บาทไม่เพียงพอต่อการยังชีพ ประกอบกับก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ตรากฎหมายให้ข้าราชการทุกประเภทปรับขึ้นเงินเดือนไปกว่าร้อยละ 10 ดังนั้น รัฐบาลไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อคนงานเอกชนและภาครัฐวิสาหกิจ ส่วนคำกล่าวอ้างว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศจะหามาตรการและวิธีการแก้ไข ที่สำคัญ ยามที่เศษรฐกิจทั่วโลกต่างมีปัญหาถดถอย การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศด้วยการปรับขึ้นค่าจ้างควบคู่กับการควบคุมราคาสินค้าไม่ให้ปรับราคาสูงเกินไปก็จะเป็นการแก้ไขปัญหาที่เน้นการเติบโตและพึ่งพาตนเอง”

    ส่วนในวันเดียวกัน กรุงเทพธุรกิจก็ได้รายงานถึงเสียงตอบรับจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ซึ่งกล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ถึงกรณีที่ตัวเเทนผู้ใชัแรงงานเรียกร้องขอปรับขึ้นค่าแรงจาก 300 บาทต่อวัน เป็น 360 บาทต่อวันว่า ยังไม่สามารถขึ้นได้ แต่สื่อก็ไปเขียนให้เป็นประเด็น ตนเคยบอกแล้วว่าแรงงานต้องผ่านการคัดกรองที่กระทรวงแรงงาน ผ่านการประเมินความสามารถ ที่แรงงานไม่ได้ใช้แรงงานอย่างเดียว ซึ่งจะมีค่าแรงตามขั้นตอนให้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ทำกัน

    “ผมถามหน่อยว่าแรงงานทั้งประเทศมีเท่าไหร่ ถ้าขึ้นค่าแรงจะต้องใช้อีกเท่าไหร่ ต้องช่วยผมบ้าง ช่วยกันทำความเข้าใจ ไม่ใช่เอาข้อเรียกร้องมากดดัน พอผมไม่ให้ก็ไปกดดันแรงงาน สุดท้ายก็ตีกันอยู่อย่างนี้ จะทำอย่างอื่นหรือไม่ ถ้าขึ้นค่าแรงแล้วอย่างอื่นก็เลิกไม่ต้องทำ เอาไหม แล้วก็มาบอกว่าไม่เห็นใจเขา ที่ทำทุกวันนี้เพราะเห็นใจ ทุกเรื่องจะต้องสร้างกรอบให้เข้มแข็งถึงจะขึ้นกรอบในได้ ไม่ใช่กรอบในทำไปส่งเดชใช้เงินเท่าไหร่ก็ช่างมัน แล้ววันหน้าจะทำอะไรได้หรือไม่ ถามว่าวันนี้ความเข้มแข็งเกิดหรือไม่ ลงทุนอะไรได้บ้าง ความเข้มแข็งของประเทศมีไหม แล้วมาโวยวายกันว่ารายได้ตกต่ำ การเกษตรขายไม่ออก ถามว่าเพราะอะไร เพราะเราไม่ได้ทำโครงการเหล่านี้มาก่อน ที่ผ่านมาแก้ปัญหาเฉพาะกาล เฉพาะฤดู เฉพาะเรื่อง ผมไม่ได้โทษใคร เดี๋ยวจะหาว่าไปว่าคนโน้นคนนี้อีกรำคาญ”

    คู่รักเพศเดียวกันสหรัฐฯ เฮ ศาลสูงสั่งแต่งงานกันได้ทุกรัฐ ชาวเน็ตเปลี่ยนโปรไฟล์สีรุ้งร่วมฉลอง

    ที่มาภาพ : http://www.telesurtv.net/__export/1435345279009/sites/telesur/img/news/2015/06/26/supremecourt_marriageequality3.jpg
    ที่มาภาพ : http://www.telesurtv.net/__export/1435345279009/sites/telesur/img/news/2015/06/26/supremecourt_marriageequality3.jpg

    27 มิ.ย. 2558 ผู้จัดการออนไลน์รายงานโดยอ้างสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ศาลสูงสุดสหรัฐฯ มีคำพิพากษาวานนี้ (26 มิ.ย.) ยืนยันรัฐธรรมนูญอเมริการับรองสิทธิในการแต่งงานระหว่างคู่รักเพศเดียวกัน โดยคณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดมีมติ 5-4 เสียงรับรองสิทธิในการสมรสและการปกป้องที่เท่าเทียมสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าแต่ละรัฐจะไม่สามารถมีกฎหมายท้องถิ่นแบนการแต่งงานเกย์ได้อีก และทำให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในทั้ง 50 รัฐทั่วอเมริกา

    ทั้งนี้ ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้เปิดแถลงข่าวที่สวนกุหลาบภายในทำเนียบขาว ระบุว่าคำพิพากษานี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของกระบวนการยุติธรรมในอเมริกาที่ เกิดขึ้น “ราวกับสายฟ้าแลบ”
           
    “คำตัดสินนี้ถือเป็นชัยชนะสำหรับอเมริกา…เพราะเป็นการยืนยันสิทธิที่ชาวอเมริกันหลายล้านคนต่างเชื่อมั่นในใจอยู่แล้ว เมื่อพลเมืองทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม เราก็จะมีสังคมที่เสรีมากยิ่งขึ้น”
           
    และในช่วงค่ำ อาคารทำเนียบขาวได้ฉายไฟสีรุ้งซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิเกย์

    ขณะเดียวกัน เดลินิวส์รายงานในวันเดียวกันว่า กรณีดังกล่าว ศาลย้ำว่าคำพิพากษาที่ออกมายังไม่มีผลทันที เนื่องจากฝ่ายแพ้คดีที่นำโดยองค์กรด้านศาสนา ยังมีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคำสั่งใหม่อีกครั้งภายใน 3 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ดี มีรายงานว่าหลายรัฐในประเทศ รวมถึงรัฐอลาบามา รัฐจอร์เจีย รัฐโอไฮโอ และรัฐเทกซัส เริ่มรับจดทะเบียนสมรสให้แก่คู่รักเพศเดียวกันจำนวนมากแล้ว”

    อนึ่ง หลังจากข่าวดังกล่าวเผยแพร่ออกไป สังคมออนไลน์โดยเฉพาะเฟซบุ๊กก็ได้มีการเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ตัวเองไปเป็นลักษณะมีโทนสีรุ้งพาดผ่าน เพื่อแสดงความยินดีเชิงสัญลักษณ์แก่กลุ่มคนรักเพศเดียวกันในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ไทยรัฐออนไลน์ยังรายงานว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยมอย่างเฟซบุ๊กยังช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีรุ้งได้โดย

    1. เข้าไปที่ https://www.facebook.com/celebratepride รูปโปรไฟล์จะเปลี่ยนเป็นสีรุ้งโดยอัตโนมัติ
    2. พิมพ์ข้อความที่ต้องการในช่องสีขาว สำหรับโพสต์ไปพร้อมกับภาพโปรไฟล์สีรุ้ง
    คลิกที่ “Use as Profile Picture” เพื่อใช้ภาพโปรไฟล์สีรุ้งแทนภาพโปรไฟล์ปัจจุบัน

    ดาราสาวชนสนั่น ตำรวจสุพรรณดับ

    ที่มาภาพ : http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuXxvEoxIDQeKbsGRljqEwKGlnRmR5bfTSzoFwxJ.jpg
    ที่มาภาพ : http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuXxvEoxIDQeKbsGRljqEwKGlnRmR5bfTSzoFwxJ.jpg

    26 มิ.ย. 2558 ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 26 มิ.ย. พ.ต.ต. สมชาย สาระเกษ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ สน.ประเวศ รับแจ้งอุบัติเหตุ รถยนตร์ส่วนบุคคลชนรถตำรวจ มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ใกล้หน้าบริษัท บีเอ็มซี โฮมมาร์ท จำหน่ายหินอ่อน ถนนคู่ขนาน มอเตอร์เวย์ ขาเข้า กม.1 แขวงและเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร จึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ จร.สน.ประเวศ และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง รุดตรวจสอบ

    ที่เกิดเหตุเป็นถนน 3 ช่องทาง บริเวณช่องทางซ้าย พบรถเก๋งตำรวจ จราจรกลาง ภูธรภาค 7 ยี่ห้อโตโยต้า อัลติส สีขาวคาดเลือดหมู เลขทะเบียน กก 9379 สุพรรณบุรี สภาพท้ายรถพังยุบถึงห้องโดยสาร กระจกแตกรอบคันกระจายเกลื่อนพื้น ไซเรนกระเด็นหลุดออกจากตัวรถ ภายในพบศพ ร.ต.ท. นภาดล วงษ์บัณฑิต รอง สวป. สภ.เมืองสุพรรณบุรี ช่วยราชการจราจรกลาง กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี อายุ 44 ปี สวมชุดตำรวจครึ่งท่อน เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น สีขาว กางเกงตำรวจขายาว สีกากี สภาพศพนั่งอยู่ฝั่งคนขับ ลำตัวพาดไปเบาะ ศีรษะแตกและคอหัก ที่เบาะฝั่งคนขับมีเสื้อตำรวจพาดอยู่ระบุชื่อผู้ตาย ข้าวของกระจัดกระจาย

    และในช่องทางขวาของที่เกิดเหตุยังพบรถเบนซ์ รุ่นอี 200 สีดำ เลขทะเบียน 1 กต 3344 กรุงเทพมหานคร สภาพด้านหน้าฝั่งซ้ายพังยับเยินยุบถึงห้องเครื่อง ล้อฝั่งซ้ายแตก ถุงลมนิรภัยของรถทำงานรอบคัน โดยพบ น.ส.แอนนา แฮมบาวรีส หรือ “แอนนา รีส” อายุ 28 ปี ดารานางแบบเซ็กซี่ เป็นคนขับ ยืนอยู่ในที่เกิดเหตุ มีบาดแผลฟกช้ำ มีอาการตกใจ ร้องไห้ฟูมฟาย ตะโกนโวยวายว่า “ไม่หลบหนี ยอมรับผิดทุกอย่าง” ก่อนที่ญาติจะพาตัวขึ้นรถยนต์ที่มารอรับออกไป เพื่อสงบสติอารมณ์

    ทั้งนี้ ในเวลาต่อมา เดลินิวส์รายงานว่า เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 26 มิ.ย. น.ส.แอนนา รีส เดินทางมายัง สน.ประเวศ เพื่อเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่มารอทำข่าวว่า ตนไม่ได้เมาแล้วขับอย่างที่เป็นข่าว ก่อนเกิดเหตุรู้สึกหิวข้าวจึงขับรถจากบ้านพักไปซื้ออาหารกินที่ร้านแห่ง หนึ่งย่านแยกพัฒนาการ โดยแม่ได้เตือนแล้ว แต่ว่าเหมือนมีอะไรบางอยากให้ตนออกมา ขณะขับรถถนนโล่ง จึงใช้ความเร็วประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มาถึงที่เกิดเหตุพบว่ามีแสงไฟรถคล้ายจักรยานยนต์พุ่งมาตัดหน้าจึงหักหลบ ทำให้รถเสียหลักพุ่งไปชนท้ายรถที่จอดอยู่ดังกล่าว ดาราสาว กล่าวด้วยสีหน้าวิตกกังวลต่อว่า หลังเกิดเหตุตนตกใจมากลงมาดูรถที่ชน มองไปในกระจกนึกว่าไม่มีคน แต่พอเปิดประตูรถดูก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ พบผู้ตายนอนเสียชีวิตอยู่ที่เบาะ ตอนนั้นยอมรับว่าสติแตกทำอะไรไม่ถูก โทรฯ ไปหาญาติพร้อมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง ญาติจึงรีบมาที่เกิดเหตุ พบว่าตนได้รับบาดเจ็บแขนซ้าย ซึ่งอาสากู้ภัยปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว ทางญาติจึงรีบพาตัวกลับไปยังบ้าน เพื่อตั้งสติ และรักษาแผลตามขั้นตอน จากนั้นจึงรีบดำเนินเรื่องเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนดังกล่าว

    “เสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมจะช่วยเหลือทางครอบครัวของผู้ตายทุกอย่าง หากคดีนี้เสร็จสิ้นแล้ว แอนนาอยากไปปฏิบัติธรรมสงบจิตสงบใจสักพัก ขอฝากเตือนถึงผู้ใช้รถใช้ถนนให้ขับรถด้วยความระมัดระวังด้วย เพราะบนถนนไม่ได้มีแค่รถเราคันเดียว อยากให้เหตุการณ์ของตนเป็นอุทธาหรณ์ของใครหลายๆ คน” แอนนา รีส กล่าวทั้งน้ำตา

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากดาราสาวให้สัมภาษณ์เสร็จ จึงเข้าไปพบพนักงานสอบสวนในห้อง จากนั้นก็ได้พากันไปขึ้นรถตำรวจเพื่อเดินทางไปยังโรงพยาบาลสิรินธรเพื่อให้แพทย์ตรวจร่างกาย เบื้องต้น ผลแพทย์ระบุไม่พบสารเสพติดอยู่ในร่างกาย ส่วนผลการตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เจ้าหน้าที่ได้ส่งให้ทางกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบอีกครั้ง ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 7 วันถึงจะทราบผล