ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 19 – 25 เมษายน 2558
- มหากาพย์ขนมกล้วยจากโตเกียวถึงสยาม แชร์ว่อน ซีพีออลล์แจงรายละเอียด
- ใส่รูปขวดของมึนเมาในเมนูเจอปรับเป็นแสน
- อากาศร้อนจัดคนใช้ไฟสูงสุด ทำลายสถิติพีค-ทอดไข่กลางแดดสุก
- โรคประหลาดในไนจีเรีย ตายปริศนา 17 ศพ
- นร. สเปนฆ่าครูด้วยธนูที่ทำเอง
มหากาพย์ขนมกล้วยจากโตเกียวถึงสยาม แชร์ว่อน ซีพีออลล์แจงรายละเอียด

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทยักษ์ใหญ่รายหนึ่งกลายเป็นกระแสดังทางโลกออนไลน์ชั่วข้ามคืน หลังมีการแชร์ลิงก์จากบล็อกของ @assuming จากเว็บไซต์โอเคเนชั่น โดยบทความดังกล่าวมี 2 ตอน ชื่อว่า “แบ่งปัน SIAM BANANA โตเกียวบานาน่าไทย แบบมีกล้วยอยู่จริงๆ ที่แลกมาด้วยน้ำตา ตอน 1 และตอนที่ 2” แต่หลังการเผยแพร่ได้ระยะหนึ่ง ข้อความถูกลบไปเพราะเจ้าของบล็อกนั้นระบุว่า ได้รับการติดต่อจากทีมกฎหมายของบริษัทชื่อดังให้ลบ แต่ยังมีข้อความที่ถูกคัดลอกไว้บนกระทู้ “แบ่งปัน SIAM BANANA โตเกียวบานาน่าไทย แบบมีกล้วยอยู่จริงๆ ที่แลกมาด้วยน้ำตา” บนเว็บไซต์พันทิป
โดยในบทความดังกล่าวได้เล่าถึงกรณีขนมปังเนื้อนุ่ม สอดไส้คัสตาร์ดรสกล้วย ยี่ห้อ SIAM BANANA ซึ่งมีลักษณะคล้ายขนมโตเกียวบานานาที่มีต้นแบบจากประเทศญี่ปุ่น โดยสยามบานานาเกิดจากคนไทยที่คิดค้นขึ้นจากการลองผิดลองถูกใช้ตั้งแต่การทำแพคเกจเพื่อควบคุมอุณหภูมิของแป้งให้เก็บได้นาน 1 เดือน โดยไม่ใช้วัตถุกันเสีย และได้ทดลองตลาดวางขายตามแหล่งท่องเที่ยวเริ่มต้นที่เขาใหญ่ และหัวหิน ปรากฏว่าผลตอบรับดีมาก ยอดขายดีกว่าที่คาดหวังไว้ แต่กำลังการผลิตไม่มากนัก เพราะใช้แรงงานคนในกระบวนการผลิตเพื่อทดแทนเครื่องจักร
กระทั่งเดือนตุลาคม 2557 ได้ไปเสนอสินค้าที่บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ ซึ่งมีการชมสินค้าและลองชิม โดยระบุว่า ประธานบริษัทมีความคิดอยากผลิตโตเกียวบานาน่ามาสองปีแล้ว แต่ไม่สามารถหาโรงงานไทยที่ทำได้เลย แม้แต่บริษัทในเครือ จึงมีการเชิญร่วมประชุมอีกหลายครั้งรวมถึงการพบกับซีอีโอ ซึ่งได้รับคำตอบว่า “ขนมคุณอร่อย” ต่อมาทางบริษัทให้ลงทุนสร้างโรงงานเพิ่ม เพื่อให้เพียงพอต่อกำลังการผลิต จึงได้กู้เงินมาลงทุนพร้อมมีทีมงานของบริษัทนั้นมาช่วยวางแปลนโรงงานให้อย่างละเอียด
ขณะเดียวกัน ในชั้นตอนการก่อสร้างโรงงานใหม่ ต้องมีการกรอกเอกสารจำนวนมาก เพื่อเปิดเผยข้อมูลการผลิตทุกขั้นตอน ส่วนผสมทุกอย่าง เทคนิคการผลิตที่เป็นความลับ โดยมีเจ้าหน้าที่ย้ำว่าจำเป็น เพื่อที่จะช่วยวางแผนการผลิตได้ ซึ่งขั้นตอนเตรียมการทั้งหมดดำเนินการมาราว 4 เดือน มีกำหนดวางจำหน่าย 1 เมษายน 2558 แต่เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ มีการติดต่อจากบริษัทว่า “ทางเราได้ผลิตของเราเองแล้ว” ขอยกเลิกดีลที่ตกลงกันไว้
ไทยรัฐออนไลน์ จึงได้สอบถามไปยังเจ้าของกิจการสยามบานาน่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และถามถึงรสชาติระหว่างขนมที่สยามบานาน่าคิดค้นขึ้น กับขนมปังเนื้อนุ่ม สอดไส้คัสตาร์ดรสกล้วยที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน มีรสชาติเหมือนกันหรือไม่ เธอระบุว่า “ไม่ แต่ใกล้เคียง เขาทำออกมาไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ตัวแป้ง ความนุ่มมีความคล้ายคลึงกันอยู่ ส่วนเรื่องที่มีคนถามเข้ามาว่า จะออกมาเรียกร้องความยุติธรรมอะไรบ้างหรือไม่ คงตอบได้ว่า คงไม่แน่นอน เพราะเราเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ แต่จะไปริอ่านสู้กับยักษ์ใหญ่ระดับโลกได้อย่างไร เราไม่มีทางสู้เขาได้แน่ๆ วินาทีที่เขายกเลิกออเดอร์ทั้งหมด ตอนนั้นเรากำลังวางแผนเรื่องโรงงานกับเจ้าหน้าที่ของเขาอยู่ ซึ่งพอได้รู้อย่างนั้น เราทำอะไรไม่ถูกเลยจริงๆ เหมือนล้มทั้งยืน”

ล่าสุด 23 เมษายน 2558 ทาง บมจ.ซีพี ออลล์ ได้ออกมาชี้แจงรายละเอียดในประเด็นดังกล่าวแล้ว โดยระบุว่า จากกรณีบล็อกของคุณ @assuming ชื่อว่า “แบ่งปัน โตเกียวบานาน่าไทย แบบมีกล้วยอยู่จริงๆ ที่แลกมาด้วยน้ำตา” ในเว็บไซต์ www.oknation.net ซึ่งกำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้นั้น บริษัทขอชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบดังนี้
1. บริษัทได้สอบถามไปยังผู้ผลิตดังกล่าว ซึ่งผู้ผลิตได้แจ้งกับบริษัทว่า ไม่ได้เป็นผู้เขียนบทความนี้ ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง ซึ่งต่อมาคุณ @assuming ได้ยอมรับในบล็อกว่าตนเป็นผู้เขียน ไม่ใช่เจ้าของ ผู้ผลิต และได้ลบบทความดังกล่าวออกจากบล็อกแล้ว
2. บริษัทขอเรียนชี้แจงเพิ่มเติมว่า ขนมปังรสกล้วยของบริษัทที่ได้ถูกพาดพิงนั้น ไม่ได้ลอกเลียนแบบมาจาก suppliers รายใด และมีกรรมวิธีการผลิตเฉพาะที่แตกต่าง พัฒนาโดยทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทเอง ซึ่งมีอยู่กว่า 200 คน
3. บริษัทยืนยันว่าได้มีการเจรจาธุรกิจกับซัพพลายเออร์ขนมรสกล้วยเจ้านี้อยู่จริง และขณะนี้ก็ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนเจรจา และพัฒนาสินค้าร่วมกันโดยมีข้อตกลงจะนำขนมนี้ไปวางที่ร้านคัดสรรเบเกอรี่ ซึ่งเป็นร้านขนมปังกาแฟระดับพรีเมี่ยม ที่ มีอยู่ 200 กว่าสาขาทั่วประเทศ ภายในร้าน 7-11ส่วนขนม “เลอแปง บานาน่า” เค้กสอดไส้คัสตาร์ด รสกล้วย ของบริษัท นั้นเป็นสินค้าสำรับลูกค้าทั่วไปวางจำหน่ายใน 7-11 เช่นกัน
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบข้อเท็จจริง และขอความกรุณาท่านหยุดเผยแพร่บทความ ของคุณ @assuming เพราะเข้าข่ายการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เป็นความผิดทางกฎหมายทั้งทางแพ่งและทางอาญา
สำนักสื่อสารองค์กร
บมจ.ซีพี ออลล์
ใส่รูปขวดของมึนเมาในเมนูเจอปรับเป็นแสน

เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา เหล่าผู้รักในแอลกอฮอล์และเจ้าของกิจการร้านอาหารต่างแชร์ข่าว “ช่วยแชร์!!!!เตือนผู้ประกอบการร้านอาหาร โชว์รูปขวดเบียร์ในเมนูอาหาร ปรับ 460,000 บาท” โดยผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า สมาชิกเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “Ozawa Curry” ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการ ร้านอาหาร KACHA*KACHA โพสต์เตือนผู้ประกอบการร้านอาหาร พร้อมเปิดเผยกรณีศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำสั่งพิพากษาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2558 ปรับจำเลยที่ 1 และ 2 เป็นเงิน 460,000 บาท กรณีแสดงภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเล่มเมนูอาหาร
โดยศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาเมื่อ 24 มีนาคม 2558 โจทย์ กรมควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ จำเลยที่ 1 ร้าน KACHA KACHA ที่ ASIATIQUE และจำเลยที่ 2 โดยแสดงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเป็นรูปแก้วเบียร์และขวดเบียร์ยี่ห้อต่างๆ ในเล่มเมนูอาหาร จำเลยทั้งสองกระทำผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2557 มาตรา 32 วรรคหนึ่ง มาตรา 43 วรรคหนึ่ง วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ลงโทษปรับคนละ 10,000 บาท และให้ปรับจำเลยทั้งสองอีกวันละ 1,000 บาท นับแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2557 ซึ่งเป็นวันฝ่าฝืน จนถึงวันที่ 6 มีนาคม 2558 อันเป็นวันสุดท้ายที่จำเลยทั้งสองกระทำความผิดรวม 220 วัน รวมค่าปรับคนละ 220,000 บาท รวมค่าปรับทั้งสิ้นคนละ 230,000 บาท รวมเป็นเงินค่าปรับ 460,000 บาท จำเลยทั้ง 2 ได้ยื่นอุทธรณ์ ต่อไป
นอกจากนี้ผู้โพสต์ยังระบุว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีแรกของประเทศไทยที่เรื่องไปถึงศาล เนื่องจากปกติแล้วจะมีการเจรจาไกล่เกลี่ยและเสียค่าปรับแล้วจบเรื่องกันไป และคดีนี้ตนได้ชี้แจงโต้แย้งด้วยการนำหลักฐาน กรณีห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และซุปเปอร์มาร์เก็ต มีการนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาจัดวางเสมือนเป็นการโฆษณาว่ามีความผิดหรือไม่ แต่คำตอบที่ได้ยังไม่มีความชัดเจน เพราะบ้างก็บอกว่าผิดบ้างก็บอกว่าไม่ผิด จึงอยากเรียกร้องให้มีการผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการถูกเอารัดเอาเปรียบจากช่องว่างของกฎหมาย
ส่วนกรณีถูกปรับเป็นวันละ 1,000 บาท ทั้งหมด 220 วัน รวมเป็นเงิน 460,000 บาทนั้น ผู้โพสต์ระบุอีกว่า เป็นความจงใจของสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเข้ามาตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2556 แต่กลับไปแจ้งความดำเนินคดีในเดือนกรกฎาคม 2557 เนื่องจากจะเป็นผลดีกับทางสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตามคดีนี้ จำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์สู้คดีต่อไป
อากาศร้อนจัดคนใช้ไฟสูงสุด ทำลายสถิติพีค-ทอดไข่กลางแดดสุก

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา หลังจากอากาศในประเทศไทยร้อนอบอ้าวทุกพื้นที่เฉลี่ยเกือบ 40 องศาฯ เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า นายทวารัฐ สูตะบุตร รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานได้รับรายงานจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ถึงสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าสูงสุดหรือพีค (Peak) ของประเทศไทยล่าสุดเมื่อเวลา 14.13 น.ได้สร้างสถิติใหม่ของประเทศ โดยมีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 27,139 เมกะวัตต์ ทำลายสถิติพีคเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา (วันที่ 7 เม.ย.) ที่ระดับ 27,056.8 เมกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นสถิติที่ได้ทำลายสถิติพีคของปี 2557 ที่ระดับ 26,942.1 เมกะวัตต์มาแล้ว โดยสถิติพีคใหม่ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มาจากสาเหตุสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว อุณหภูมิเฉลี่ยสูงถึง 38.3 องศาเซลเซียส
ทั้งนี้ จากสถิติการใช้ไฟฟ้าสูงสุดดังกล่าว กระทรวงพลังงานคาดว่ามีโอกาสที่ประเทศไทยจะได้สร้างสถิติพีคของปีนี้อีกหลายครั้ง หากสภาพอากาศยังคงร้อนอบอ้าว และมีแนวโน้มที่อุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งจะทำให้เกิดการใช้พลังงานมากเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจ อาคารสำนักงาน ออฟฟิศ และประชาชนทั่วไป ซึ่งสาเหตุหลักๆ มาจากกรณีที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศที่ต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้นในช่วงนี้
ในขณะเดียวกัน หลังต้องเผชิญกับอากาศร้อนจัด มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปแสดงวิธีการทอดไข่ดาวด้วยการทิ้งกระทะให้ถูกแดดเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง จึงใส่ไข่ดิบลงไป พบว่าแดดร้อนกระทั่งทำให้ไข่สุกได้
โรคประหลาดในไนจีเรีย ตายปริศนา 17 ศพ

เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา โลกออนไลน์มีการแชร์ข่าวชาวไนจีเรียเสียชีวิตจากโรคประหลาด ซึ่งสามารถทำให้คนตายได้ภายใน 24 ชั่วโมง โดยไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้แล้ว 17 ราย ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ขณะที่ นายคาโยดี อาคินมาดี โฆษกรัฐบาลท้องถิ่นของรัฐออนโด ประเทศไนจีเรีย เผยว่า ผลการตรวจในห้องทดลองยืนยันว่าโรคนี้ไม่ได้เกิดจากไวรัสอีโบลาหรือไวรัสอื่นๆ
นายอาคินมาดีระบุด้วยว่า โรคลึกลับนี้เริ่มระบาดเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่เมือง โอเด-อิเรเล ผู้ป่วยจะมีอาการหลายอย่างรวมทั้ง ปวดหัว น้ำหนักตัวลดลง ทัศนวิสัยไม่ชัดเจน และหมดสติ ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้หลังจากแสดงอาการเพียงแค่วันเดียว ด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าพวกเขามีข้อมูลผู้ติดเชื้อ 14 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 12 ราย และจากรายงานเบื้องต้นผู้ป่วยทุกคนเริ่มมีอาการระหว่างวันที่ 13 และ 15 เมษายน 2558
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและผู้เชี่ยวชาญจากรัฐบาลและหน่วยงานช่วยเหลือต่างๆ และองค์การอนามัยโลก เดินทางไปถึงเมืองโอเด-อิเรเล แล้ว เพื่อค้นหาต้นตอของโรค นายอาคินมาดีกล่าวเสริมด้วยว่า นอกจากผู้เสียชีวิตดังกล่าวแล้ว ยังไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ รวมทั้งไม่มีผู้ป่วยนอกเมืองโอเด-อิเรเล
นร.สเปนฆ่าครูด้วยธนูที่ทำเอง

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กบีบีซีไทย รายงานว่า นักเรียนสเปนซึ่งมีธนูทำเองและมีดเป็นอาวุธ สังหารครูเสียชีวิต ผู้ต้องสงสัยเป็นนักเรียนวัย 13 ปี และขณะนี้ถูกจับกุมแต่อาจจะไม่ถูกตั้งข้อหาเพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์รับผิดทางอาญาที่กำหนดไว้คือ 14 ปี
เหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงเรียนมัธยมจวน ฟุสเต ในเขตลา ซาเกรลา ทางเหนือของนครบาร์เซโลนา ผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่าเด็กนักเรียนคนดังกล่าวมาโรงเรียนสาย และเมื่อครูผู้หญิงเปิดประตูให้เขาก็ยิงธนูเข้าที่ใบหน้าของครู และยังยิงใส่ลูกสาวของครูซึ่งเป็นนักเรียนในชั้นนั้นด้วย
ขณะเกิดเหตุครูผู้ชายอีกคนซึ่งได้ยินเสียงกรีดร้องได้วิ่งมาช่วยแต่เด็กนักเรียนคนก่อเหตุก็ลงมือทำร้ายครูคนนี้จนเสียชีวิต ครูผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นครูประจำที่โรงเรียน แต่มาช่วยสอนแทนครูคนอื่นที่ลางานไป โดยมาสอนได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์
โฆษกตำรวจท้องถิ่นบอกว่าเด็กที่ก่อเหตุมีธนูและมีดเป็นอาวุธ แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าเขาใช้อาวุธอะไรสังหารครู
ผู้เห็นเหตุการณ์บอกด้วยว่าเด็กคนดังกล่าวยังเข้าไปยังชั้นเรียนอื่น และใช้มีดขู่นักเรียนในห้อง หลังจากนั้นครูพละพบเขากำลังเตรียมระเบิดขวด อยู่ที่ระเบียงชั้นเรียน
มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดสี่คน ตำรวจยังไม่ยืนยันว่าเกิดจากอาวุธชนิดใดและไม่รู้แรงจูงใจของผู้ลงมือ ด้านสหภาพแรงงานครูในสเปนบอกว่านับเป็นเหตุการณ์นักเรียนฆ่าครูโดยมีพยานหลักฐานเหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้นในสเปน