ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “มาลาลา” เด็กหญิงชาวปากีสถานคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และ คดีเกาะเต่าเหมือนจะจบด้วยดี! – เพื่อนผู้ตายแฉผู้ต้องหาที่จับได้เป็นแพะ

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “มาลาลา” เด็กหญิงชาวปากีสถานคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และ คดีเกาะเต่าเหมือนจะจบด้วยดี! – เพื่อนผู้ตายแฉผู้ต้องหาที่จับได้เป็นแพะ

11 ตุลาคม 2014


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 4-11 ตุลาคม2557
-และแล้วก็ต้องยอม – ช่อง 3 แถลงออกคู่ขนานหลังยื้อมานาน
-รัฐบาลประยุทธ์เตรียมสร้างหนังสั้นค่านิยม 12 ประการ ประชาชนดูฟรีทั่วประเทศ
-“มาลาลา” เด็กหญิงชาวปากีสถานคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปีนี้
-คดีเกาะเต่าเหมือนจะจบด้วยดี! – เพื่อนผู้ตายแฉผู้ต้องหาที่จับได้เป็นแพะ
-สุดท้ายทางเท้าลายธงชาติไทยที่เกาหลีใต้ไม่เกี่ยว “อินชอนเกมส์”

และแล้วก็ต้องยอม – ช่อง 3 ออกคู่ขนานหลังยื้อมานาน

ที่มาภาพ : http://www.thaidigitaltelevision.com/
ที่มาภาพ : http://www.thaidigitaltelevision.com/

หลังมีการยื่นถอนฟ้องร้องกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน (กสท.) หรือกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ กรณีช่องทีวีดิจิทัลของช่อง 3 เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมาไทยรัฐออนไลน์รายงาน น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.) และ กสท. ระบุว่า ที่ประชุม กสท. ได้อนุมัติเห็นชอบผังรายการช่อง 3 แอนะล็อก ให้สามารถนำมาออกดิจิตอลช่อง 33 เอชดี โดยเนื้อหาเหมือนเดิมทุกอย่าง ทั้งนี้ หากช่อง 3 มีความพร้อม สามารถออกอากาศได้ทันที โดยประชาชนที่รับชมผ่านกล่องดาวเทียมและเคเบิลช่อง 43 กล่องดิจิตอลช่อง 33 ส่วนหนวดกุ้ง ก้างปลา ยังรับชมได้ตามปกติจนหมดอายุสัมปทานในปี 2563

ส่วนกรณีการลดค่าธรรมเนียมให้ช่องที่ออกอากาศคู่ขนาน 4% นั้นยังไม่ได้พิจารณา เนื่องจากต้องมีการออกประกาศที่เกี่ยวข้องต่อไป ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการโครงข่ายดาวเทียมและเคเบิลทีวี ต้องนำเอาฟรีทีวีเดิม 6 ช่อง ออกจากโครงข่ายตามประกาศที่สั่งให้สิ้นสุดการทำหน้าที่เป็นฟรีทีวีบนโครงข่ายดาวเทียมและเคเบิลทีวี และต้องนำเอาช่องทีวีดิจิตอล 24 ช่อง และช่องที่ออกคู่ขนานทั้งหมด ไปออกอากาศตามประกาศการให้บริการทั่วไป หรือ มัสต์แครี่ หากมีการฝ่าฝืนจะถูกปรับวันละ 20,000 บาท

ด้าน นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด หรือช่อง 3 กล่าวภายหลังรับมติ กสท. ว่า จะนำผังรายการช่อง 3 แอนะล็อก มาออกช่อง 33 เอชดี เวลา 20.15 น. ของวันนี้ (10 ต.ค.) หลังจากนั้นจะมีการพิจารณาถอนคดีความที่มีอยู่ในชั้นศาล เพื่อจะดำเนินการมุ่งแผนธุรกิจต่อไป โดยไม่ต้องกังวลเรื่องศาลอีก

มีรายงานว่า มติบอร์ด กสท. ในครั้งนี้ อยู่ที่ 3 เสียง ประกอบด้วย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ พล.ท. พีระพงษ์ มานะกิจ และนายธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ โดย พ.อ. นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท. งดออกเสียง และ พ.ต.อ. ทวีศักดิ์ งามสง่า ติดภารกิจไม่ได้เข้าร่วมประชุม

รัฐบาลประยุทธ์เตรียมสร้างหนังสั้นค่านิยม 12 ประการ ประชาชน ดูฟรีทั่วประเทศ

ที่มาภาพ : http://englishnews.thaipbs.or.th/
ที่มาภาพ : http://englishnews.thaipbs.or.th/

เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซต์เนชั่นรายงาน รัฐบาลซึ่งนำโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตรียมสร้างหนังสั้นค่านิยม 12 ประการฉายทั่วประเทศ พ.ย. นี้ โดย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ดารานักแสดง เตรียมจัดสร้างภาพยนตร์สั้น ส่งเสริมค่านิยมหลัก 12 ประการ สร้างความดีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 5 ธันวาคม 2557 ซึ่งมีเนื้อหาสอดคล้องตามพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งเป็นการส่งเสริมคุณธรรม ค่านิยมไทย โดยจัดสร้างเป็นภาพยนตร์สั้น 12 เรื่อง ความยาวเรื่องละ 10-15 นาที กำกับโดยผู้กำกับที่มีชื่อเสียง อาทิ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, บัณฑิต ทองดี, ปราโมทย์ แสงศร เป็นต้น

โดยมีนักแสดงที่มีชื่อเสียงร่วมแสดง อาทิ นายเจษฎาพร ผลดี นางสาวแอน ทองประสม นายธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ซึ่งจะเข้าฉายช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ที่โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ทั่วประเทศ 72 สาขา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และรับชมได้จากสถานีโทรทัศน์ ฟรีทีวี โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ทั่วประเทศ ตลอดเดือนธันวาคม

อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกัน บริเวณลานด้านหน้าอาคารสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ม.ล.ปนัดดาได้ร่วมรับมอบรถจักรยาน 40 คัน จากภาคเอกชน ซึ่งได้มอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เพื่อใช้ประโยชน์ในทำเนียบรัฐบาล เป็นการสนับสนุนวิถีพอเพียง ตามค่านิยมหลัก 12 ประการ ซึ่ง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้กำหนดให้เป็นค่านิยมของประเทศ อีกทั้งยังเป็นการออกกำลังกายและประหยัดพลังงาน ช่วยประเทศในการลดใช้พลังงาน

สำหรับค่านิยม 12 ประการ ประกอบด้วย

1. มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2. ซื่อสัตย์ เสียสละอดทน
3. กตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์
4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางอ้อม
5. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทย
6. มีศีลธรรม รักษาความสัตย์
7. เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตย
8. มีระเบียบ วินัยเคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่
9. มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทำ
10. รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
11. มีความเข้มแข็งทั้งร่างกาย และจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ
12. คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

“มาลาลา” เด็กหญิงชาวปากีสถานคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปีนี้

 มาลาลา ยูซาฟไซ หญิงสาวชาวปากีสถาน วัย 17 ปี ที่มาภาพ : http://www.globalpost.com/sites/default/files/imagecache/gp3_slideshow_large/photos/2013-October/malala_yousafzai_nobel_shooting.jpg
มาลาลา ยูซาฟไซ หญิงสาวชาวปากีสถาน วัย 17 ปี
ที่มาภาพ : http://www.globalpost.com/sites/default/files/imagecache/gp3_slideshow_large/photos/2013-October/malala_yousafzai_nobel_shooting.jpg

ในที่สุดเมื่อวันที่ 10 ต.ค. ไทยรัฐออนไลน์รายงาน คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ซึ่งชาวโลกเฝ้าติดตามด้วยความลุ้นระทึก ได้มีการประกาศผลออกมาแล้ว โดยผู้ร่วมคว้ารางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี 2557 ได้แก่ มาลาลา ยูซาฟไซ หญิงสาวชาวปากีสถาน วัย 17 ปี และนายไกลาศ สัตยาธี ชาวอินเดีย วัย 60 ปี ในฐานะที่บุคคลทั้งสองเป็นนักรณรงค์ด้านการศึกษา พยายามต่อสู้เรียกร้องเพื่อสิทธิของเด็กๆ ในปากีสถานและอินเดียให้มีโอกาสได้เรียนหนังสือ

คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ กล่าวยกย่องว่า น.ส.มาลาลา ยูซาฟไซ และนายไกลาศ สัตยาธี สมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เนื่องจากพยายามต่อสู้เรียกร้องให้เด็กๆ และเยาวชนในอินเดียและปากีสถานได้รับการศึกษา

สำหรับ น.ส.มาลาลา ยูซาฟไซ นับเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุด ที่ครองตำแหน่งโนเบลสาขาสันติภาพ ขณะที่เธอมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น โดยสาวน้อยยูซาฟไซคนนี้ ชาวโลกรู้จักเธอดีตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กหญิงยอดนักสู้ พยายามเรียกร้องให้เด็กๆ ในปากีสถาน ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ จนทำให้เธอถูกกลุ่มตาลีบันพยายามสังหาร เมื่อปี 2555 จนเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส

ส่วนนายไกลาศ สัตยาธี นักรณรงค์ด้านการศึกษา วัย 60 ปี ได้ต่อสู้เรียกร้องสิทธิของเด็กๆ ในการได้เรียนหนังสือ ตามแนวทางของมหาตมะคานธี อีกทั้งยังเป็นแกนนำการชุมนุมประท้วงด้วยหลักอหิงสา ยึดแนวทางสันติวิธีมาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ผู้ที่ได้รับรางวัลสาขาวรรณกรรม คือนายแพทริค โมดิอาโน นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสวัย 69 ปี ผู้สร้างชื่อเสียงโด่งดังจากนิยาย “มิสซิง เพอร์ซัน” เรื่องราวเกี่ยวกับชายผู้สูญเสียความทรงจำไปในสงคราม และพยายามตามหาตัวตนที่แท้จริง และนิยาย “ลาโคม ลูเซียน” เด็กหนุ่มชาวฝรั่งเศสในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยผลงานถือเป็นศิลปะแห่งความทรงจำ หวนรำลึกถึงชะตากรรมของมนุษย์ที่ยากจะเข้าใจ และเปิดเผยให้เห็นถึงโลกแห่งชีวิตภายใต้การถูกยึดครอง

ทั้งนี้ สำหรับรางวัลสาขาสันติภาพที่ถูกจับตามองมากที่สุดในทุกๆ ปี จะประกาศผลในวันที่ 10 ต.ค. ซึ่งปีนี้ถือว่าเป็นสถิติครั้งประวัติการณ์ มีรายชื่อบุคคลและองค์กรถูกเสนอชื่อมากกว่าปีก่อนๆ รวมทั้งหมด 278 ชื่อ ขณะที่สื่อมวลชนและสำนักโพลต่างประเทศคาดการณ์รายชื่อตัวเต็งได้รับรางวัลในปีนี้ อาทิ สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสที่ 1 ที่ทรงเดินสายเรียกร้องสันติภาพในพื้นที่ขัดแย้ง นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ที่นำข้อมูลลับรัฐบาลลักลอบดักฟังพลเรือนมาเปิดโปง นายบัน กี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ และ น.ส.มาลาลา ยูซาฟไซ เด็กนักเรียนต่อสู้เพื่อสิทธิชาวปากีสถาน ที่ถูกกลุ่มตาลีบันพยายามลอบสังหาร

คดีเกาะเต่าเหมือนจะจบด้วยดี! – เพื่อนผู้ตายแฉผู้ต้องหาที่จับได้เป็นแพะ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงาน จากกรณีของคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ ที่คนร้ายใช้จอบเป็นอาวุธตีศีรษะนาย เดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ และ น.ส.ฮานนาห์ วิทเธอริดจ์ 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษจนเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยมทารุณ ที่บริเวณชายหาดทรายรี ม.1 ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี โดยเหตุเกิดเมื่อประมาณ 03.00 น. เมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา

โดยวันที่ 7 ต.ค. ได้มีการนำสำนวนการสอบสวนที่มีความหนากว่า 850 หน้า พร้อมแผนผังการก่อคดีประกอบคำรับสารภาพของนายเวพิว (หรือ วิน) และนายจอ (หรือนายซอ หรือโซลิน หรือโซเรน) 2 ผู้ต้องหาแรงงานต่างด้าวชาวพม่าเชื้อสายยะไข่ ส่งให้อัยการจังหวัดเกาะสมุย ที่สำนักงานอัยการจังหวัดเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อพิจารณาสั่งฟ้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และต่อมา สำนักงานอัยการจังหวัดเกาะสมุย ได้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าว คืนกลับให้พนักงานสอบสวนนำไปปรับปรุงแก้ไขในจุดบกพร่องบางจุด โดยกำชับทำสำนวนให้รัดกุมมากขึ้น

ล่าสุดเมื่อ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา สื่ออังกฤษชื่อดังอย่างหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน และเทเลกราฟ ลงข่าวในทำนองเดียวกันว่า “แรงงานชาวพม่าสองคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยสังหารนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษสองคนได้ถอนคำรับสารภาพแล้ว”

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของคดี หนึ่งในผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งนั้นก็คือ “นายฌอน แมคแอนนา” นักท่องเที่ยวชาวสกอตแลนด์ เพื่อนของนายเดวิด กระทั่งวันที่ 20 ก.ย. ผลตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอวายโครโมโซมจากอสุจิระบุว่าเป็นดีเอ็นเอของชาวมองโกลอยด์หรือชาวเอเชีย นายฌอนจึงพ้นข้อกล่าวหาไป

ทั้งนี้ นายฌอนนั้นเป็นผู้เกี่ยวข้องเพียงไม่กี่คนที่ใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารและตอบโต้คดีนี้

โดยในวันที่ 23 ก.ย. นายฌอนได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ถูก 2 มาเฟียท้องถิ่นขู่ฆ่า และคิดว่าทั้ง 2 มีส่วนรู้เห็นต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ จับผู้ต้องสงสัยได้ 1 รายเป็นน้องชายผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ พร้อมเร่งตรวจดีเอ็นเอ ได้เบาะแสอีก 1 ราย หลบหนีเข้ากรุงเทพฯ

และล่าสุดได้มีผู้ไปแสดงความคิดเห็นต่อคดีดังกล่าว ทางเว็บไซต์ soundcloud.com ผ่านบัญชีผู้ใช้ของนายฌอน ซึ่งเขาก็ได้ตอบกลับมาว่า “ถึงทุกคน ผมไม่เคยพูดว่าผมรู้ว่าใครเป็นฆาตกร ผมพูดแค่ว่า ถ้าผมตายในคืนนั้น แสดงว่าเป็นฝีมือของคนจากรีสอร์ทแห่งหนึ่ง แม้แต่คนที่มีสมองแค่ครึ่งก็คงรู้ว่าชาวพม่าเหล่านั้นถูกใส่ร้าย ผมเสียใจมากกับทุกคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยจริงๆ รวมถึงผมต้องขอโทษสื่อมวลชนด้วยที่ต้องโกหก เชื่อผมเถอะ พวกเขาโกหกในหลายเรื่องจริงๆ พวกเขาก็แค่สร้างเรื่องขึ้นมา”

ด้าน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังกลับจากการเดินทางสหภาพเมียนมาร์ ถึงกรณีที่สื่อต่างชาติออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า 2 ผู้ต้องหาคดีสังหารโหดนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เป็นแพะรับบาป โดย มติชนออนไลน์ รายงานว่า

ตนอยากขอร้องให้สื่อหยุดวิพากษ์วิจารณ์กันก่อนได้หรือไม่ รอให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานก่อน ประเด็นวันนี้คือเราต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้กับต่างประเทศด้วยซึ่งวันนี้ พล.อ. ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ได้มีการดำเนินการในเรื่องนี้อยู่แล้ว คือการสร้างความเข้าใจให้กับประเทศอังกฤษและนานาประเทศที่ยังมีข้อสงสัย

“ในความเป็นจริงไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจ เพียงแต่อาจจะเซอร์ไพรส์นิดนึงว่าทำไมเจ้าหน้าที่ถึงจับคนร้ายได้เร็ว ผมเองก็ตื่นเต้น ที่อยู่ดีดีก็จับคนร้ายได้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงก็อยากให้จับคนร้ายได้อย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ก็มีการพูดกันไปพูดกันมา ผมเองก็ฟังสื่อ ฟังคนวิพากษ์วิจารณ์บ้าง แล้วคิดว่ามันจะไปยังไงต่อไป

แต่ปรากฏว่าการสอบสวนมันบังเอิญไปถึงพอดี แล้วก็สามารถจับผู้ต้องหาได้ทันที ช่วงแรงมีข้อสงสัยว่าจับได้หรือไม่ได้ พอต่อมาเงียบๆ แล้วเกิดจับได้ก็เลยอาจทำให้สังคมไม่ไว้วางใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้พวกเราช่วยกันสำนึกและอยากให้คนไทยทั้งประเทศช่วยกันคิด ว่ากระบวนการและวิธีการของเข้าหน้าที่มีขั้นตอนอยู่ ซึ่งผลที่ออกมาก็เป็นเรื่องดีสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้

ซึ่งถ้าเกิดมันไม่ใช้เมื่อผลการสอบสวนออกมา เจ้าหน้าที่ก็จะมีความผิด แล้วใครเขาจะกล้าทำเพราะคดีนี้เป็นคดีใหญ่ คนทั่วโลกรับรู้และรับทราบ มีผลเสียต่อประเทศชาติ ผมเชื่อว่าไม่มีใครกล้าทำ และผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดำเนินคดี เขาคงไม่ยอมถูกบังคับเพื่อให้ต้องรับผิดมากขนาดนั้น ทั้งนี้ก็ต้องไปว่ากันในกระบวนการ ชั้นนี้เป็นเพียงแค่การจับกุมและสอบสวน และส่งฟ้องอัยการ ก็ต้องว่ากันไปตามขั้นตอน

ขณะเดียวกันก็ต้องมีการสร้างกระบวนการความเข้าใจ โดยเชิญต่างประเทศที่ยังสงสัยมารับทราบข้อมูลข้อเท็จจริง ซึ่ง รมว.ต่างประเทศได้มีการเตรียมการไว้แล้ว วันนี้ขอให้เราเป็นกำลังใจให้กันและกัน ขอให้ใจเย็นๆ จะผิดหรือถูกให้ว่ากันไปตามขั้นตอน ทุกเรื่องจะต้องได้คำตอบ ไม่ใช้พอช้า ก็บอกว่าจับไม่ได้สงสัยเจ้าหน้าที่ไม่มีความสามารถ พอจับได้ก็มาบอกว่าทุจริต แล้วจะเอากันตรงไหน เรื่องเกาะเต่าพูดกันมาหลายอาทิตย์ ร้อนกันไปหมดแล้ว” พล.อ. ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่า ทางเมียนมาร์ได้มีการสอบถามเรื่องดังกล่าวอย่างไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขาไม่ได้ถาม แต่ตนถือโอกาสอธิบายเช่นเดียวกับที่ได้ชี้แจงกับสื่อ ซึ่ง พล.อ.เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีแห่งสหภาพเมียนมาร์ เข้าใจ ทั้งๆ ที่มีผลกระทบเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ระบุว่าผู้ต้องหาเป็นแรงงานของใครเพราะเป็นเรื่องของบุคคล นี่คือตัวอย่างว่า จะต้องระมัดระวังเวลาไปทำอะไรก็จะเกิดความเสื่อมเสียถึงประเทศได้ แม้แต่ประเทศเรากันเองจะไปทำลายประเทศกันทำไม ผู้ต้องหาจะให้ตัวจริงหรือไม่ใช่ตัวจริงเดียวผลการสอบสวนก็จะออกมาก็ค่อยว่ากันทีหลัง อย่างนี้จะมาดิสเครดิสกันเอง ตนว่าไม่ถูกต้อง

เมื่อถามต่อว่า แต่วันนี้ข่าวทางโซเชียลมีเดียมีการหยิบยกคำพูดของเพื่อนผู้เสียชีวิตมาเป็นประเด็นจนเกิดความเสียหายกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย นายกฯ กล่าวว่า

เรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการและดูแลอยู่ ขอให้ใจเย็นๆ เรากำลังติดตามในทุกๆ สื่อและความเคลื่อนไหว และจะดำเนินการสร้างความเข้าใจ การพูดหรือเขียนในโลกอินเทอร์เน็ตไม่ใช่คำตอบแล้วพวกเราจะไปฟังกันทำไมในเมื่อมันไม่ใช่ ตอนนี้เราเองก็กำลังตั้งคณะทำงานขึ้นมาดำเนินการ ก็ขอให้ใจเย็นๆ

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญต่อประเทศชาติของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทย จึงขอให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะดีกว่า เมื่อจับกุมตัวผู้ต้องหามาแล้วก็ให้ดำเนินการต่อไป ส่วนจะฟ้องศาลหรือไม่ก็ว่ากันไป ถ้าคนนี้ไม่ใช้ก็ไปจับคนใหม่ที่ใช่มาอย่างนี้จะดีกว่า ไม่เช่นนั้นเรื่องก็ไม่จบ เรื่องนี้ตนไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ผิดถูกต้องไปว่ากันมาตามข้อเท็จจริง

สุดท้ายทางเท้าลายธงชาติไทยที่เกาหลีใต้ไม่เกี่ยว “อินชอนเกมส์”

ที่มาภาพ:  http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1412848082
ที่มาภาพ: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1412848082

จากกรณีที่มีการแชร์ภาพ “ทางเท้า” ในเมืองอินชอน ที่มีลักษณะแบบลาย “ธงชาติไทย” ทำให้คนไทยบางกลุ่มเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะเหมือนให้คนเกาหลีใต้มาเหยียบย่ำประเทศไทย เว็บไซต์มติชน รายงานความคืบหน้าล่าสุด นายสถิตย์กุล ธรรมานุรักษ์ เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ลงพื้นที่ตรวจสอบทางเท้าลายธงชาติไทย ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ พบทางเท้าที่มีลวดลายคล้ายธงชาติไทยจริง มีระยะทางยาวกว่า 2 กิโลเมตร จึงเดินทางไปสำนักงานเขตซอกู ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อสอบถามถึงที่มาของทางเท้าดังกล่าว

โดยทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายก่อสร้างระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นถนนเก่าแก่ เพื่อต้อนรับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ จึงดำเนินการปรับปรุงก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น โดยใช้งบประมาณ 260 ล้านวอน หรือประมาณ 8 ล้านบาทไทย ยืนยันไม่มีเจตนาลบหลู่ หรือเหยียดหยามคนไทย ล่าสุดเตรียมนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมเพื่อทบทวนกันใหม่

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาไม่เคยมีคนไทยเข้ามาร้องเรียนทางสำนักงานเขต และยืนยันไม่เกี่ยวข้องที่จะเอาคืนคนไทย หลังชาวไทยบุกต่อว่าเกาหลีใต้ในโลกออนไลน์ เพราะทางเท้าดังกล่าวสร้างเสร็จก่อนการแข่งขันเอเชียนเกมส์จะเริ่มขึ้น เจ้าหน้าที่คนเดิมกล่าว