ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอต: งดรับนักศึกษารอยสัก เจาะหู – กอศ.ชี้เป็นดุลยพินิจของสถานศึกษา และ ไทมส์อัดตำรวจไทยสืบสวนสะเปะ – ประยุทธ์บอกอย่าเร่งรัด

ประเด็นฮอต: งดรับนักศึกษารอยสัก เจาะหู – กอศ.ชี้เป็นดุลยพินิจของสถานศึกษา และ ไทมส์อัดตำรวจไทยสืบสวนสะเปะ – ประยุทธ์บอกอย่าเร่งรัด

27 กันยายน 2014


ประเด็นน่าสนใจรอบสัปดาห์ที่ 20-27 กันยายน 2557

-งดรับนักศึกษารอยสัก เจาะหู – กอศ.ชี้เป็นดุลยพินิจของสถานศึกษา
-ส่งกลับหนุ่มเยอรมันขาบวมเอาเงินไปถลุงเที่ยวพัทยา
-ข่าวลือเฟซบุ๊กจะเก็บค่าใช้บริการรายเดือน – เฟซบุ๊กแถลงเป็นแค่ข่าวมั่ว
-นายกฯ จะทุ่มของใส่ เมื่อนักข่าวถามว่าจะรอเป็นนายกฯ ที่มาจากการรัฐประหารอย่างเดียวหรือ
-ไทมส์อัดตำรวจไทยสืบสวนสะเปะ – ประยุทธ์บอกอย่าเร่งรัด

แทค ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม ที่มาภาพ: http://news.sanook.com
แทค ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม ที่มาภาพ: http://news.sanook.com

เมื่อ 23 ก.ย. คนดังออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยหลัง เว็บไซต์คมชัดลึกรายงาน นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า  ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดตั้งกลุ่มอาชีวศึกษาพัฒนาโดยรวมวิทยาลัยในกลุ่มเสี่ยงที่มีเด็กก่อเหตุทะเลาะวิวาท 21 แห่งในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และจะให้วิทยาลัยกลุ่มนี้เข้มงวดในการรับนักศึกษาในปีการศึกษา 2558   โดยให้คัดกรองรับเฉพาะเด็กที่ตั้งใจมาเรียนสายอาชีพจริง มีความประพฤติดี ไม่มีประวัติก่อเหตุทะเลาะวิวาท ไม่เจาะหู ไม่มีรอยสักตามร่างกาย และเมื่อเข้าเรียนแล้วก็จะดูแลเรื่องระเบียบวินัยการแต่งกายอย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้ สอศ. ยังพิจารณาข้อมูลด้วยว่า มีเด็กในสาขาวิชาใดของ 21 วิทยาลัยกลุ่มเสี่ยงก่อเหตุทะเลาะวิวาทมากและบ่อยครั้ง ก็จะให้แผนกหรือสาขาวิชานั้นงดรับนักศึกษา ปวช. ปี 2558  ซึ่งจากการหารือระหว่างผู้เกี่ยวข้อง เบื้องต้นมีอยู่ในใจแล้วว่าจะไม่รับสมัครนักศึกษาจำนวน 1-2 สาขาวิชาในบางวิทยาลัย และให้โอนย้ายครูพร้อมทั้งอุปกรณ์การเรียนการสอนในสาขาวิชานั้นๆ ไปให้วิทยาลัยแห่งอื่นที่เปิดสอน ส่วนระดับ ปวช.2-3 ที่เปิดสอนอยู่กำลังพิจารณาว่าจะโอนย้ายไปเรียนรวมในวิทยาลัยที่มีการโอนย้ายครูไปด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ในเบื้องต้นผู้อำนวยการวิทยาลัยที่เข้าร่วมประชุมก็เห็นด้วยและเชื่อว่าจะบรรเทาปัญหาการทะเลาะวิวาทลง

ต่อมา 25 ก.ย. ไทยรัฐออนไลน์รายงาน ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวหลังจากมีข่าวว่าสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีแผนการรับนักศึกษาในปีการศึกษา 2558 ใน 21 สถานศึกษากลุ่มเสี่ยงเด็กนักเรียนตีกัน ว่าจะเข้มงวด คัดกรองเด็กที่ตั้งใจเรียน มีความประพฤติดี ไม่เจาะหู ไม่มีรอยสักนั้น ดร.ชัยพฤกษ์ระบุว่า เรื่องการห้ามเด็กเจาะหู หรือมีรอยสักตามร่างกาย ไม่เป็นความจริง เพราะตนไม่เคยออกคำสั่ง หรือห้ามรับเด็กเหล่านี้เข้าเรียนแต่อย่างใด เพราะการรับนักเรียนนักศึกษาเป็นดุลยพินิจของสถานศึกษา โดยปกติสถานศึกษาจะพิจารณารับเด็กที่มีความสนใจ ตั้งใจเข้ามาเรียนสายอาชีพ และรับเด็กทุกคนที่มีความพร้อม

ส่งกลับหนุ่มเยอรมันขาบวมเอาเงินไปถลุงเที่ยวพัทยา

ที่มาภาพ: http://www.posttoday.com/
ที่มาภาพ: http://www.posttoday.com/

เมื่อ 21 ก.ย. สำนักข่าวหลายแห่งเผยแพร่เรื่องราวของหนุ่มเยอรมันขาบวมนั่งขอทานอยู่ที่ ถนนข้าวสาร ทำให้มีผู้เห็นใจและช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก

ล่าสุดเมื่อ 25 ก.ย. เว็บไซต์แนวหน้า รายงานจากกรณีนายเบนจามิน โฮลเซ (Banjamin Holse) นักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน วัย 29 ปี ซึ่งมีอาการขาบวมโตคล้ายเป็นโรคเท้าช้าง อ้างว่าถูกขโมยกระเป๋าสตางค์และเอกสารสำคัญ ทำให้ต้องมานั่งขอทานอยู่บริเวณถนนข้าวสาร จนกระทั่งสาวร้านนวดเกิดสงสาร จึงได้ประสานตำรวจท่องเที่ยวให้เข้าทำการช่วยเหลือ จนกลายเป็นข่าวโด่งดัง ตามที่นำเสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุดในแฟนเพจเฟซบุ๊ก “Cathay Mee” เปิดเผยว่า เมื่อช่วงกลางดึกเวลาประมาณ 02.00 น. ของวันนี้ ตำรวจท่องเที่ยวเมืองพัทยา ได้รวบตัวหนุ่มเยอรมันรายนี้ ซึ่งหลบหนีจากกรุงเทพฯ มานั่งขอทานอยู่บริเวณเมืองพัทยา จ.ชลบุรี ตั้งแต่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยนำเงินที่ได้จากการช่วยเหลือจากสมาคมฯ จำนวน 50,000 บาท มาเที่ยวเตร่อย่างสุขสำราญ โดยไม่ยอมกลับประเทศหลังจากสถานทูตให้การช่วยเหลือ

และจากการเข้าตรวจสอบไปยังเฟซบุ๊กของฝรั่งรายดังกล่าว พบว่าเพิ่งไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้ ส่งผลให้ชาวเน็ตที่ต่างเคยให้ความเห็นใจรุมประณามการกระทำดังกล่าวอย่างหนัก และเรียกร้องให้ตำรวจส่งกลับประเทศโดยด่วน

ขณะที่ในเฟซบุ๊กเปิดเผยว่า “นาย Benjamin ได้หลบหนีออกมาจากโรงแรมในวันที่สมาคมนัดไปทำพาสปอร์ต และไปขอทานอีกแถวย่านพัฒน์พงศ์ ล่าสุดนั่งรถมาเที่ยวถึงพัทยา ดื่มสุราจนเมาและเข้าไปเที่ยวในบาร์ คนพัทยาเห็นมากมาย ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา จึงเข้าจับกุมและกักตัวไว้ก่อน เนื่องจากก่อนหน้านี้นาย Benjamin อ้างกับคนพัทยาว่า คนไทยโง่ ให้เงินมาใช้ฟรีๆ ตั้ง 50,000 บาท เมื่อเที่ยวจนเงินหมด จะกลับไปขอใหม่ สุดท้ายตำรวจ สภ.เมืองพัทยาพิจารณาแล้วไม่สามารถตั้งข้อหาใดๆ ได้ เนื่องจากเงินนั้นเป็นเงินบริจาคที่ให้ด้วยจิตศรัทธาความสงสาร จึงปล่อยตัวนาย Benjamin ไป ซึ่งนาย Benjamin กล่าวว่าจะเอาเงินไปเปิดโรงแรมนอนและเที่ยวต่อในพัทยา

ข่าวลือเฟซบุ๊กจะเก็บค่าใช้บริการรายเดือน – เฟซบุ๊กแถลงเป็นแค่ข่าวมั่ว

เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กต่างตั้งคำถามถึงข่าวลือที่ว่าเฟซบุ๊กจะเก็บค่าใช้บริการหรือไม่ โดยเว็บไซต์ผู้จัดการ รายงานจากกรณีเฟซบุ๊ก (Facebook) ตกเป็นข่าวว่ากำลังมีแผนเก็บค่าบริการรายเดือน 2.99 เหรียญสหรัฐ (ราว 96 บาท) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ปรากฏว่าข่าวนี้คือข่าวลวง โดยเฉพาะในรายงานของสำนักเนชันแนลรีพอร์ต (National Report) ที่อ้างแถลงการณ์ปลอมจากปากมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) โดยระบุว่าเฟซบุ๊กจะเริ่มเก็บค่าบริการกับสมาชิก 2.99 เหรียญต่อเดือน เนื่องจากรายได้โฆษณาจากเฟซบุ๊กนั้นไม่สูงพอจะตอบโจทย์รายจ่ายต้นทุนค่าให้บริการที่เพิ่มขึ้น ทำให้เฟซบุ๊กตัดสินใจเก็บค่าบริการจากสมาชิกเป็นรายเดือน

ไม่นานหลังจากรายงานของ National Report ถูกเผยแพร่ไป เฟซบุ๊กก็ออกแถลงการณ์บนเพจของบริษัทว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง พร้อมยืนยันว่าบริการของเฟซบุ๊กเป็นบริการฟรี และจะยังคงเป็นบริการฟรีต่อเนื่องในอนาคต

แถลงการณ์ของเฟซบุ๊กสะท้อนว่ารายงานของ National Report นั้นไม่มีมูล โดยเฉพาะคำอ้างที่ระบุว่า แผนการเก็บค่าบริการรายเดือนของเฟซบุ๊กนั้นมีระบุในคำให้สัมภาษณ์ระหว่างสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น (CNN) และโฆษกเฟซบุ๊ก “พอล ฮอร์เนอร์ (Paul Horner)” ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง

ก่อนหน้าข่าวลวงของ National Report ชาวออนไลน์เคยตื่นเต้นกับข่าวลวงที่ระบุว่าเฟซบุ๊กจะเก็บค่าบริการมาก่อน โดยครั้งนั้นเฟซบุ๊กถูกป่วนโดยผู้ใช้รายหนึ่งที่โพสต์ข้อความชวนให้เข้าใจผิดว่า “I AM POOR FACEBOOK PLEASE WAVE MY MONTHLY FEE.” ซึ่งมีเจตนาบอกสังคมออนไลน์ว่าเฟซบุ๊กลงมือเก็บค่าบริการรายเดือนแล้ว จึงขอให้เฟซบุ๊กละเว้นค่าบริการให้กับคนยากจนอย่างผู้ใช้รายนี้

นายกฯ จะทุ่มโพเดี้ยมใส่ เมื่อนักข่าวถามว่าจะรอเป็นนายกฯ ที่มาจากการรัฐประหารอย่างเดียวหรือ

http://youtu.be/ZpGNCwU-HDQ

เมื่อ 23 ก.ย. มติชนออนไลน์ รายงาน ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)  ได้ตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนในหลายประเด็น

ตอนหนึ่งผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อคิดว่าทำดีแล้วอนาคตต่อไป  จะยังอยากเป็นนายกรัฐมนตรีอีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า คนเรามันมีชะตาชีวิตอยู่แล้ว มีชะตากรรม ชะตาบ้านเมืองมันมีอยู่แล้ว  ถ้าทุกอย่างมันดีขึ้นฟ้าดินก็จะเห็นเอง พระสยามเทวาธิราชท่านก็ดูอยู่ พระพรหมท่านก็ดูอยู่

เมื่อถามว่าหมอดูทำนายหรือไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีนานแค่ไหน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “อือ ไม่รู้อะ ก็แล้วแต่บางคนก็บอกว่าเป็นนายกฯ ให้น้อย บางคนก็บอกเป็นให้มากก็ไม่รู้ซิ แล้วแต่”

ผู้สื่อข่าวถามว่าในอนาคตข้างหน้าคิดบ้างหรือไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปฏิเสธทันทีว่า “ไม่เอาหรอก ไม่เอา” เมื่อถามย้ำว่า จะรอมาจากการรัฐประหารอย่างเดียวหรือ พล.อ.ประยุทธ์ทำท่าจะยกโพเดี้ยมที่ยืนแถลงข่าวอยู่ พร้อมกล่าวว่า “เดี๋ยวจะทุ่มด้วยไอ้นี่สักที” จากนั้นก็โบกมือให้กลุ่มผู้สื่อข่าวและเดินกลับขึ้นห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้าทันที

โดยภายหลังจากคำให้สัมภาษณ์นี้ถูกเผยแพร่ออกไปได้มีการนำคำนี้ไปใช้ในเชิงล้อเล่นกันอย่างแพร่หลาย

ไทมส์อัดตำรวจไทยสืบสวนสะเปะ – ประยุทธ์บอกอย่าเร่งรัดมาก

ทีมาภาพ : http://time.com/3420299/thailand-koh-tao-murder-hannah-witheridge-david-miller/
ทีมาภาพ : http://time.com/3420299/thailand-koh-tao-murder-hannah-witheridge-david-miller/

จากคดี เมื่อ 24 ก.ย. ไทยรัฐออนไลน์ รายงาน ไทมส์ระบุว่า การฆาตกรรม น.ส.ฮานนาห์ วิทเธอร์ริดจ์ อายุ 23 ปี และนายเดวิด มิลเลอร์ อายุ 24 ปี ที่เกาะเต่า เป็นที่จับตาไปทั่วโลก โดยพนักงานทำความสะอาดคนหนึ่งพบศพของชาวอังกฤษทั้งสองในสภาพเปลือยเปล่า อยู่ห่างกันราว 20 ม. นอกจากนี้ ยังพบจอบเปื้อนเลือดซึ่งได้รับการยืนยันในภายหลังว่าเป็นอาวุธที่ใช้สังหาร รวมทั้งกระบองไม้ อยู่ไม่ไกลจากจุดที่พบศพ

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (22 ก.ย.) พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธ์ุม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยต่อผู้สื่อข่าวว่า การพบอาวุธทั้งสองชิ้นทำให้พวกเขาเชื่อว่า คนร้ายมีอย่างน้อย 2 คน ขณะที่ข้อมูลจากแผนกนิติเวชศาสตร์ ระบุว่า น.ส.วิทเธอร์ริดจ์ เสียชีวิตจากบาดแผลหลายแห่งบริเวณศีรษะ ขณะที่นายมิลเลอร์เสียชีวิตจากการจมน้ำ และถึงแม้ว่าจะมีร่องรอยของการร่วมเพศ แต่เจ้าหน้าที่สืบสวนก็ไม่ยืนยันว่า น.ส.วิทเธอร์ริดจ์ ถูกข่มขืนหรือไม่

ในเบื้องต้นตำรวจไทยมุ่งเป้ากล่าวหาไปที่แรงงานต่างด้าวชาวพม่า ซึ่งนายพอล กวาเกลีย นักวิเคราะห์ความเสี่ยงในไทยชี้ความว่า เป็นเป้าหมายที่ตำรวจชื่นชอบ ขณะที่ตำรวจระดับสูงคนหนึ่งระบุว่า คนไทยไม่ก่อคดีแบบนี้ และเจ้าหน้าที่ก็เริ่มเหวี่ยงแหจับแรงงานชาวพม่ามาสอบปากคำและตรวจสอบดีเอ็นเอ และไม่นานหลังจากนั้น ก็มีการประกาศเพิ่มความเข้มงวดของกฎการจ้างแรงงานต่างด้าวบนเกาะเต่าอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ

แต่กระนั้น เมื่อไม่พบหลักฐานเชื่อมโยงการฆาตกรรมกับชาวพม่าคนใด เป้าหมายจึงย้ายไปที่ชาวต่างชาติ หรือก็คือชาวตะวันตก ที่เป็นเพื่อนของผู้เคราะห์ร้ายนั่นเอง และมุ่งความสนใจไปที่ คริสโตเฟอร์ อลัน แวร์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ผู้นอนห้องเดียวกับนายมิลเลอร์ โดยตำรวจแย้มว่า คดีนี้อาจเกิดจากความหึงหวง ซึ่งต่อมานายแวร์ถูกจับกุมที่สนามบินในกรุงเทพมหานคร พร้อมกับเจมส์ผู้เป็นน้องชาย อย่างไรก็ตาม เรื่องกลับกลายเป็นว่า ทั้งสองคนออกจากเกาะเต่าในคืนก่อนเกิดเหตุ จึงไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย และผลการตรวจดีเอ็นเอบนบุหรี่ที่พบในที่เกิดเหตุก็ไม่ตรงกันด้วย

ผู้ต้องสงสัยรายถัดไปกลายเป็นชายชาวไทย 2 คน ที่นายฌอน แมคอันนา ชาวสกอตแลนด์ อายุ 25 ปี เพื่อนของนายมิลเลอร์ อ้างว่าลวนลาม น.ส.วิทเธอร์ริดจ์ในคืนก่อนที่เธอจะถูกสังหาร ก่อนที่นายมิลเลอร์จะเข้าไปช่วย โดยแมคอันนาซึ่งมีชื่อเสียงบนเกาะเต่าในฐานะ “กีตาร์แมน” ถ่ายรูปชายไทยสองคนนี้เอาไว้ และโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ต ทำให้หลังจากนั้นเขาได้รับคำขู่ฆ่ามากมาย และต้องหลบหนีเพราะกลัวถูกเอาชีวิต อย่างไรก็ตาม ต่อมาตำรวจไทยเผยว่า ได้เชิญตัวคนไทยสองคนนี้มาสอบปากคำแล้ว ก่อนปล่อยตัวไปหลังทั้งคู่ไม่ยอมให้เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ

นายกวาเกลียบอกต่อนิตยสารไทมส์ว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจากสิ่งที่ทำให้ไขว้เขว ตำรวจไทยไม่เพียงได้รับความสนใจจากสื่อในประเทศเท่านั้น แต่รวมถึงสื่อต่างประเทศ และยังถูกกดดันจากการต้องออกแถลงการณ์เกี่ยวกับความคืบหน้าของคดีด้วย

หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการจับกุมคนร้ายฆ่า 2 ฝรั่งนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ โดยเฉพาะนิตยสารไทมส์ออกมาโจมตีถึงกระบวนการยุติธรรม พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สื่อก็อย่าไปช่วยเขาโจมตี เราก็รู้อยู่ว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายหนัก เพราะเป็นพื้นที่เกาะ และใช้เรือ ระหว่างวันมีคนสัญจรไปมา 3-4 พันคน ลูกจ้าง เรือทะเล ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตามทั้งหมด ซึ่งมันจะต้องรู้ให้ได้ เดี๋ยวจะต้องรู้ ถ้าเร่งรัดมากๆ จะผิดตัวและมีปัญหา ตอนนี้เราใช้ทั้งนิติวิทยาศาสตร์ จะเห็นได้ว่าจะจับแพะไม่ได้ เมื่อตรวจดีเอ็นเอแล้วไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ตอนนี้มีหลายคดีที่ยังจับผู้ร้ายไม่ได้ แต่คดีนี้เราพยายามกวดขันทุกวันทุกเช้าจะต้องรายงาน คดีอื่นตนไม่ได้ไปกวดขันเลย ตอนนี้เจ้าหน้าที่เต้นกันผางๆ หมด