ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ระหว่างวันที่ 16-23 สิงหาคม 2557
– คนไทยงามหน้าเมาแล้วขับ ชนเด็ก นร. ดับในญี่ปุ่น
– คนดังทั่วโลกพร้อมใจกันเปียก! รณรงค์ Ice Bucket Challenge แก่ผู้ป่วยโรค ALS
– 191 เสียงไม่มีใครไม่เห็นชอบ! ‘ประยุทธ์’ ก้าวขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 29 ของไทย
– แพทย์แผนไทยเปิดตัว ‘หญ้ารีแพร์’ สมุนไพรคืนความสาว
– ยังไม่มีคนไทยติดเชื้ออีโบลา – ยาซีแมปป์รักษาหมออเมริกันได้สำเร็จ
คนไทยงามหน้าเมาแล้วขับชนเด็ก นร. ดับในญี่ปุ่น
เมื่อ 18 ส.ค. ไทยรัฐออนไลน์ รายงานกรณีชาวไทย 3 คนถูกตำรวจญี่ปุ่นจับกุมที่จังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยข้อหาขับรถยนต์โดยประมาท หลังจากก่ออุบัติสุดสยอง ขับรถยนต์พุ่งชนคนขี่จักรยาน 2 รายซ้อนในจังหวัดชิบะ เป็นเหตุให้นักเรียนหญิง ม.ปลายคนหนึ่งเสียชีวิต และหนุ่มวัย 20 ได้รับบาดเจ็บ
สถานีโทรทัศน์เอเอ็นเอ็นรายงานว่า ผู้ต้องหาชาวไทยทั้ง 3 คน นั่งรถยนต์มาคันเดียวกัน โดยรถยนต์คันดังกล่าวได้ชนผู้ขี่จักรยาน 2 รายซ้อน ทำให้นักเรียนหญิง ม.ปลาย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที และจากการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ผู้ขับรถยนต์ในเบื้องต้น พบว่ามีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกินกว่าที่กฎหมายในญี่ปุ่นอนุญาตให้สามารถขับขี่รถยนต์ได้ ขณะเดียวกัน หลังเกิดอุบัติเหตุแล้ว ยังพบว่าชาวไทยซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่สากลอีกด้วย จึงทำให้ต้องถูกข้อหาไม่มีอนุญาตขับขี่สากลและขับรถยนต์โดยประมาท อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
จากอุบัติเหตุสะเทือนขวัญดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของคนไทย ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ในญี่ปุ่นอย่างกว้างขวาง และมีผู้แสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก เสนอแนะว่าญี่ปุ่นควรยกเลิกการให้นักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้าญี่ปุ่นโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้แล้ว จากนั้นเว็บไซต์ดราม่าแอดดิคดอทคอมรายงานกระแสข่าวโลกออนไลน์ที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ต่อมา 20 ส.ค. สำนักข่าวอาซาฮีรายงานข่าว ระบุว่า 3 คนไทยที่ก่อเหตุนั้น เป็นชาย 2 คน และหญิง 1 คน ทราบชื่อคนขับแล้ว คือ นายสุนันทา แสงนวล อายุ 51 ปี เป็นคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่ได้ประกอบอาชีพ ถูกตำรวจจับข้อหาเมาแล้วขับ กระทำการประมาทจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย รวมถึงขับรถโดยไม่มีใบขับขี่
ก่อนหน้านี้ นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณี 3 คนไทยขับรถชนนักเรียนญี่ปุ่น เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บสาหัส 1 รายว่า กระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวของนักเรียนญี่ปุ่น ผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น
ส่วนเรื่องของคดี กระทรวงการต่างประเทศได้ให้เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียวเข้าไปดูแล ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงของคดี แต่ทั้ง 3 คนไทยขอที่จะไม่เปิดเผยรายละเอียด รวมทั้งกฎหมายญี่ปุ่นก็เคารพสิทธิส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม สถานทูตไทยจะติดตามความคืบหน้าของคดีอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ทั้ง 3 คนไทยได้รับความเป็นธรรม
คนดังทั่วโลกพร้อมใจกันเปียก! รณรงค์ Ice Bucket Challenge ระดมเงินบริจาคให้ผู้ป่วยโรค ALS
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสการเอาน้ำเย็นราดตัวและท้าคนอื่นให้ทำต่อ เพื่อรณรงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรค ALS หรือ “โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง” ในโลกออนไลน์นั้นเป็นที่นิยมในหมู่คนดังในประเทศไทยมาก โดยเว็บไซต์เอ็มคอทรายงานว่ามีจุดเริ่มต้นจากเมื่อช่วงฤดูหนาวปี 2013-2014 เกิดมีกิจกรรมที่แพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์ในสหรัฐฯ ที่เรียกว่า “Cold Water Challenge” โดยมีการท้าทายให้บริจาคเงินให้กับการวิจัยด้านโรคมะเร็งหรือกระโดดลงไปในน้ำเย็น แต่มีการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความเป็นห่วงเรื่องอันตรายจากการกระโดดลงไปในน้ำเย็นโดยไม่มีอุปกรณ์หรือคนคอยช่วยเหลือ
สำหรับกิจกรรมท้าทายด้วยการราดศีรษะและตัวด้วยถังน้ำเย็นหรือน้ำแข็ง ซึ่งเรียกว่า Ice Bucket Challenge หรือบางครั้งก็เรียกว่า ALS Ice Bucket Challenge เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่แพร่ขยายไปอย่างรวดเร็วเมื่อ พีท เฟรตีส อดีตนักเบสบอลระดับมหาวิทยาลัยวัย 29 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นผู้จุดประกายการท้าทาย Ice Bucket Challenge เพื่อรณรงค์หาทุนและให้ประชาชนได้ตระหนักถึงโรคนี้ ซึ่งไม่มีทางรักษาหายได้ (ปัจจุบัน เขาเสียชีวิตแล้วจากอุบัติเหตุ)
สมาคมเอแอลเอส ALS Association เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของสหรัฐฯ ที่หาเงินทุนเพื่อทำการวิจัยและบริการคนไข้โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ALS ซึ่งย่อมาจาก Amyotrophic Lateral Sclerosis เอแอลเอสเป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ โรคเอแอลเอสมีที่มาของความผิดปกติที่บริเวณแกนสมอง และไขสันหลัง ทำให้ผู้ป่วยมีกล้ามเนื้อแขนขา และลำตัวอ่อนแรง กลืนลำบาก และพูดไม่ชัด
กติกาของ Ice Bucket Challenge คือ ต้องท้าทายบุคคล 3 คนว่า จะยอมเอาน้ำเย็นราดศีรษะตัวเองภายใน 24 ชั่วโมง หรือยอมบริจาคเงินให้กับ ALS Association หรือถ้ากล้าพอก็ทำทั้งสองอย่าง จากนั้น ผู้ที่รับคำท้าต้องกล่าวท้าทายบุคคลอื่นอีก 3 คน ก่อนที่จะเอาถังน้ำราดศีรษะตัวเองและถ่ายภาพวิดิโอนำออกเผยแพร่เป็นหลักฐานด้วย เรื่องจำนวนเงินบริจาคนี้มีกระแสแตกต่างกันไป บางกระแสบอกว่า หากผู้ถูกท้าราดศีรษะตัวเองก็จะบริจาคเงิน 10 ดอลลาร์ แต่หากไม่ยอมราดน้ำรดตัวเองต้องบริจาคเงิน 100 ดอลลาร์ แต่บางกระแสบอกว่า ไม่มีการระบุจำนวนเงินบริจาค ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ
กระแส Ice Bucket Challenge แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว มีคนดัง หลายคนเข้าร่วมด้วย ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ถูกท้าทายโดย เอเทล เคเนดี ภริยาม่ายของอดีตวุฒิสมาชิกโรเบิร์ต เอฟ เคเนดี แต่เขาปฏิเสธ โดยเลือกบริจาคเงิน 100 ดอลลาร์แทน นอกจากนั้น จัสติน บีเบอร์ นักร้องดัง เลบรอน เจมส์ นักบาสเกตบอลเอ็นบีเอ และอัล ยานโควิช นักดนตรีชาวอเมริกัน ก็ท้าทายประธานาธิบดีสหรัฐฯ เช่นกัน
บุคคลสำคัญของโลกหลายคนเข้าร่วมกิจกรรมนี้ เช่น บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีร่ำรวยที่สุดของโลก ซึงรับคำท้าพร้อมกับออกแบบทำอุปกรณ์สำหรับการราดน้ำตัวเองด้วย เจฟฟ์ เบนซอส ซีอีโอของอเมซอน ท้าทายดาราจากภาพยนตร์สตาร์เทร็ก อย่าง วิลเลียม แช็ตเนอร์, แพทริก สจวร์ต และ จอร์จ ทาเคอิ โอปราห์ วินฟรีย์, จัสติน บีเบอร์, บริทนีย์ สเปียร์, มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก, เลดี้ กาก้า, ชาร์ลี ชีน และ จอร์จ บุช
นอกจากนั้นยังมี มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก เครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้โด่งดัง เช่นเดียวกับ ทิม คุก ซีอีโอของบริษัทแอปเปิ้ล
ไทยรัฐออนไลน์รายงาน คนดังในประเทศไทย ได้แก่ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา และ 3 พิธีกรตื่นมาคุย รับคำท้าจาก ดุ๋ง พาที และขอท้าต่อไปยัง ตัน-อิชิตัน, จ๋า-ยศสินี, หญิง-รฐา, โดม ปกรณ์ ลัม
คุณตัน ภาสกรนที รับคำท้าจากวู้ดดี้ และขอท้าต่อไปยัง อากู๋ แกรมมี่, โน้ส อุดม, ชมพู่ อารยา, จ๋า ยศสินี รับคำท้าจากวู้ดดี้ และขอท้าต่อ สรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ และ กาละแมร์ พัชรศรี เบญจมาศ
อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) รับคำท้าจากตัน ภาสกรนที (ตัน อิชิตัน) และขอท้าต่อไปยัง คุณสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คุณบุษบา ดาวเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และต่อ จากฮอร์โมน
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รับคำท้าจาก จิตต์สุภา ฉินจิตต์สุภา และขอท้าต่อไปยัง หม่อมปลื้ม หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ คริสตี เคนนีย์ และ ปัญญา นิรันดร์กุล
เสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุล รับคำท้าจาก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และขอท้าต่อไปยัง ‘ต๊อบ เถ้าแก่น้อย’, ‘ปลื้มจิตร์’, ‘กฤษฎา ล่ำซำ’ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย และปลื้ม สุรบถ หลีกภัย รับคำท้าจากบี้ เดอะสกา และขอท้าต่อไปยัง มาดามมด, สรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขณะที่บัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทยได้แสดงความเห็นด้วยกับกิจกรรมนี้ แต่เห็นว่าการราดน้ำแข็งเป็นวัฒนธรรมแบบตะวันตก จึงขอปรับเป็นการใช้น้ำมนต์ 9 วัดแทน
ต่อมาในประเทศไทยจึงมีการตั้งกองทุนผู้ป่วย ALS มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา ผลักดันการช่วยเหลือผู้ป่วยกลุ่มนี้ในไทยโดยเฉพาะ หลังกระแสแคมเปญสาดน้ำแข็งระดมทุนในไทยขณะนี้ เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา
ติดตามการรณรงค์นี้ได้ที่ #icebucketchallenge และ #icebucketchallengeth สำหรับประเทศไทย
191 เสียงไม่มีใครไม่เห็นชอบ! ‘ประยุทธ์’ ก้าวขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 29 ของไทย
เมื่อ 18 ส.ค. เว็บไซต์คมชัดลึก รายงาน รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณรายจ่าย 2558 ในวาระที่ 1 มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. คนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม โดยมีสมาชิกลงชื่ออภิปรายจำนวน 17 คน ให้เวลาอภิปรายคนละ 10 นาที ซึ่งจะไม่มีการโอนเวลา หรือสลับลำดับการอภิปราย หากใครไม่อยู่ก็จะถือว่าสละสิทธิ์ โดยสมาชิกได้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง ต่างสนับสนุนและชื่นชมในหลักการ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ที่มีการน้อมนำพระราชดำรัชเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการตั้งงบประมาณ และมีการนำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 มาใช้ในการจัดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 อีกด้วย
จากนั้น พล.อ. ประยุทธ์ ก็ได้พูดชี้แจงด้วยเสียงอันดัง ขณะที่ สนช. ต่างก็อยู่ในความสงบ อย่างไรก็ตาม พล.อ. ประยุทธ์ได้กล่าวในระหว่างการขอบคุณในช่วงท้ายว่า “มีใครมีปัญหาอะไรหรือไม่” และเมื่อพูดใกล้จนก็ได้ถามอีกว่า “มีใครไม่เห็นชอบหรือไม่” โดยในห้องประชุมต่างยิ้มและมองหน้ากันไปมา
ล่าสุด 22 ส.ค. สนช. มีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 191 งดออกเสียง 3 ให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 แบบไร้คู่แข่งตามคาด หลังจากนี้ ปธ.สนช. เตรียมนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ต่อไป
แพทย์แผนไทยเปิดตัว ‘หญ้ารีแพร์’ สมุนไพรคืนความสาว
เมื่อ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา มีการเปิดเผยในรายการเจาะข่าวเด่น เกี่ยวกับกรณีหญ้าฮี๋ยุ่ม หรือ หญ้ารีแพร์ กลายเป็นพืชที่ได้รับความสนใจขึ้นมาอย่างมาก หลังได้มีการนำเสนอในฐานะหญ้าตัวเด่นในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ซึ่งจะจัดขึ้นที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในวันที่ 3-7 กันยายน 2557
โดย นายแพทย์ธวัชชัยกล่าวว่า ในปีนี้สนับสนุนเรื่องการดูแลตัวเองของผู้หญิงเป็นพิเศษ จึงเน้นไปที่พืชสมุนไพรสำหรับผู้หญิง โดยมีหญ้าฮี๋ยุ่มเป็นตัวชูโรง ด้วยสรรพคุณเป็นพืชสมุนไพรที่ภูมิปัญญาไทยเลือกใช้ในการดูแลหญิงหลังคลอด ด้วยการนำไปอาบ อบ และกิน ช่วยทำให้ผิวพรรณกลับมาเปล่งปลั่ง มดลูกเข้าอู่ และบาดแผลหายเร็วขึ้น
ในทางวิทยาศาสตร์พบว่าหญ้าฮี๋ยุ่ม ซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกับไผ่ มีสาร ‘ซิลิกา’ (Silica) อยู่โดยธรรมชาติ ซึ่งสารตัวนี้เป็นสารต้นกำเนิดของคอลลาเจนและน้ำไขข้อในร่างกาย หากขาดสารนี้จะทำให้มีลักษณะแก่ก่อนวัย ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่งเต่งตึง หญิงหลังคลอดที่ต้องการฟื้นตัวได้ไว ภูมิปัญญาชาวบ้านก็ได้นำหญ้าตัวนี้เข้ามาช่วย
ส่วนเรื่องชื่อที่เรียกว่าหญ้ารีแพร์นั้น เภสัชกรหญิงสุภาพรเผยถึงที่มาของชื่อว่า ชื่อเดิมของหญ้าฮี๋ยุ่มนั้น ชาวบ้านเรียกกันมานานแล้วตามสรรพคุณของมัน แต่เรียกออกสื่ออาจจะลำบากหน่อย จึงได้ตั้งชื่อเรียกขึ้นใหม่ว่าหญ้ารีแพร์นั่นเอง
ซึ่งหญ้ารีแพร์หรือหญ้าฮี๋ยุ่มนี้ ยังเป็นพืชที่เป็นเคล็ดลับของคนโบราณ ที่แม้จะมีลูกดกเป็นสิบคนแต่ก็ยังมีความสุขในชีวิตคู่ได้ ก็เพราะใช้หญ้าฮี๋ยุ่มเลยช่วยให้แม้ลูกมากแล้วช่องคลอดก็ยังคงกระชับ นอกจากนี้ในช่วง 30 กว่าปีที่แล้วก็มีการค้นพบสารพิเศษในไผ่ มีการสกัดออกมาเป็น ‘แบมบู ซิลิกา’ (bamboo silica) มีคุณสมบัติเพิ่มการสร้างคอนเนคทีฟ ทิชชู (connective tissue) เพิ่มความยืดหยุ่น เพิ่มน้ำเมือก ทำให้มีการหล่อลื่นได้ดีขึ้น เหมือนอย่างที่ชาวบ้านบอกว่าใช้หญ้าตัวนี้แล้วเปิดปุ๊บติดปั๊บ ไม่ต้องรอนานที่จะมีอะไรกัน
ส่วนงานวิจัยรับรองของหญ้าฮี๋ยุ่มในไทยตอนนี้ยังไม่มีอย่างเป็นทางการ แต่ทางกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ก็จะดำเนินการวิจัยให้เป็นแบบแผนต่อไปเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ซึ่งทางนายแพทย์ธวัชชัยเผยว่า เชื่อได้ว่ามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพพอสมควร เนื่องจากมีการใช้กันมาหลายร้อยปี ไม่มีอันตราย เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวบ้าน หมอชาวบ้าน ผู้ใช้แล้วก็ยืนยันว่าได้ผลดี ทางกรมฯ เองก็สนับสนุนให้ใช้ เปรียบเหมือนอาหารหรือผักพื้นบ้านที่ช่วยบำรุงกำลังและรักษาอาการหลังคลอดได้ด้วย ส่วนทางต่างประเทศนั้นก็มีงานวิจัยออกมาเกี่ยวกับสาร แบมบู ซิลิกา ว่าช่วยเรื่องให้เส้นเอ็น กระดูก และปอดแข็งแรง รวมถึงอวัยวะใดก็ตามที่ต้องการความยืดหยุ่นมีความแข็งแรงดี และช่วยเรื่องความเปล่งปลั่งของผิวพรรณด้วย
สามารถดูสรรพคุณทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์สมุนไพรอภัยภูเบศร
ยังไม่มีคนไทยติดเชื้ออีโบลา – ยาซีแมปป์รักษาหมออเมริกันได้สำเร็จ
หลังมีกระแสข่าวในทวิตเตอร์จากสำนักข่าวไทยว่าอาจจะพบผู้ติดเชื้ออีโบลาในไทย ล่าสุด เมื่อ 22 ส.ค. ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์รายงานความคืบหน้า กรณีที่สถาบันบำราศนราดูร รับผู้ต้องสอบสวนโรคอีโบลาไว้ในการดูแลตั้งแต่ช่วงเย็นวานที่ผ่านมา ว่าจากการเปิดเผยของ พญ.จริยา แสงสัจจา ผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร กล่าวว่า กรณีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากสถาบันฯ วานนี้ มีการนำเสนอข่าวว่าสถาบันอพยพคนไข้รายอื่น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ที่ดำเนินการวานนี้เป็นแต่เพียงการอนุญาตให้ผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้น สามารถช่วยเหลือตนเองได้ กลับบ้าน เพื่อลดภาระการดูแลของเจ้าหน้าที่พยาบาล
ส่วนการดูแลผู้ต้องสอบสวนโรคอีโบลาที่รับตัวมาวานนี้นั้น ขณะนี้ใช้เจ้าหน้าที่ดูแล 6 คนต่อ 1 รอบ รวมถึงมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดมายังห้องพักพยาบาลประจำชั้น (วอร์ด) เพื่อสังเกตอาการตลอดเวลาด้วย โดยเหตุที่ต้องใช้สถาบันฯ เป็นที่สอบสวนโรคนั้น เนื่องจากว่าสถาบันฯ มีความพร้อมเรื่องห้องพัก เครื่องมือ ที่ต้องใช้ในการดูแลอยู่แล้ว ซึ่งอาการผู้ต้องสอบสวนขณะนี้ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนช่วงเวลา 11.30 น. ตนเองจะเข้าประชุมร่วมกับปลัดกระทรวงสาธารณสุขด้วย เพื่อรายงานความคืบหน้าและรายละเอียดอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยก่อนเข้าร่วมประชุมถึงผลการตรวจสอบ สอบสวนโรคอีโบลาในรายที่เข้ามาพักที่สถาบันบำราศนราดูร วานนี้ว่า เบื้องต้นผลตรวจออกมาเป็นลบ แต่ก็จะต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมอีกครั้งเพื่อยินยันความถูกต้องต่อไป
ต่อมาสำนักข่าวต่างประเทศรายงาน คณะแพทย์ของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ‘เอโมรี’ จัดงานแถลงข่าวความคืบหน้าการรักษา 2 ผู้ติดเชื้ออีโบลาชาวอเมริกัน โดย นายแพทย์ บรูซ ริบเนอร์ ผู้อำนวยการแผนกโรคติดต่อ เผยว่า นายแพทย์เคนท์ แบรนต์ลีย์ วัย 33 ปี และผู้ป่วยอีกคนคือนาง แนนซี ไวท์โบล หมอสอนศาสนาอายุ 60 ปี สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เนื่องจากไม่พบความเสี่ยงต่อสาธารณะ
นางไวท์โบลได้ออกจากโรงพยาบาลไปแล้วเมื่อวันอังคาร (19 ส.ค.) ตามที่เปิดเผยในแถลงการณ์ขององค์กรการกุศล ‘ซิม ยูเอสเอ’ (SIM USA) ซึ่งนางไวท์โบลเป็นสมาชิก ขณะที่นายแพทย์แบรนต์ลีย์ และภรรยามาร่วมในการแถลงข่าวที่โรงพยาบาลเอโมรีด้วย โดยทั้งคู่มีสีหน้ายิ้มแย้ม
อย่างไรก็ตาม นายแบรนต์ลีย์ และนางไวท์โบล ได้รับการรักษาด้วยยาต้านเชื้อไวรัสอีโบลาซึ่งกำลังอยู่ในขั้นทดลองชื่อว่า ‘ซีแมปป์’ (ZMapp) โดยยาตัวนี้ไม่เคยถูกทดลองใช้ในมนุษย์มาก่อน และไม่ทราบแน่ชัดว่ายาตัวนี้มีส่วนทำให้ผู้ป่วยชาวอเมริกันทั้งสองคนหายจากไวรัสอีโบลาหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ยาซีแมปป์ก็ถูกส่งไปใช้กับบาทหลวงชาวสเปนที่ติดเชื้ออีโบลา แต่ขณะนี้เขาเสียชีวิตไปแล้ว