“เขาไม่สนใจหรอก เขาไม่ได้ล่มจม เพราะมันเป็นเงินของแผ่นดิน พวกนี้มาเดี๋ยวก็ไปแล้ว และสุดท้ายก็เป็นภาระ คือมันจะกลายเป็นของที่ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าขายก็ต้องขายราคาถูก”
คำสั่งปลด “พ.ต.ต.ศราวุฒิ สกุลมีฤทธิ์” ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) ออกจากตำแหน่ง กลายเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นหลังฝุ่นควันจากการเปิดศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จางลง
แม้เหตุที่มีการหยิบยกขึ้นมาตอบคำถามในการปลด ผอ.อคส.จะถูกระบุว่า มาจากกรณี “โครงการรับจำนำหอมแดง” แต่เป็นที่รับรู้กันทั้งวงนอก-วงในว่า แท้จริงแล้ว สาเหตุสำคัญคงหนีไม่พ้นการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลมากกว่า
เพราะความผิดปกติของโครงการที่เป็นจุดขายของรัฐบาลชุดนี้ถูกนำมาเปิดโปงอย่างต่อเนื่อง และหลายครั้งที่พยานหลักฐานต่างๆ สามารถเรียกเสียงฮือฮาจากสังคมถึงความชัดเจนของข้อมูล จนนำไปสู่ความกังขาต่อนโยบายสำคัญของรัฐบาล
“นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ หัวหอกคนสำคัญในการเปิดพรมที่รัฐบาลปิดทับเอาไว้ ชำแหละความไม่ชอบมาพากลของโครงการรับจำนำข้าวให้ “สำนักข่าวไทยพับลิก้า” ดูในช่วงบ่ายวันหนึ่งอย่างน่าสนใจ
ไทยพับลิก้า : วิธีการลักไก่ในการระบายข้าวมีแบบไหนบ้าง
วิธีการระบายข้าวของรัฐมี 5 วิธี คือ 1. จีทูจี (การค้าขายระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล) 2. เปิดประมูลแบบทั่วไปที่เคยทำมา 3. ขายผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า 4. ขายให้ส่วนราชการ เช่น ขายให้เรือนจำ หรือ โครงการข้าวถุง ธงฟ้าราคาถูก เพื่อมาช่วยประชาชน และ 5. การบริจาค ซึ่งถ้าทุกอย่างทำโปร่งใสก็โอเค
แต่รัฐบาลอ้างจีทูจีมาโดยตลอด แม้แต่ล่าสุด ปลัดกระทรวงพาณิชย์ยังอ้างว่าจะมีการขายจีทูจี 7 ล้านตัน เชื่อได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นจริง หลักของจีทูจีมีอยู่ 2 ข้อ 1. ต้องมีสัญญาซื้อขายระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล 2. การชำระเงินจะต้องเป็นเงินจากรัฐบาลประเทศผู้ซื้อ เพราะส่วนใหญ่อยู่ในรูปของการเปิดแอลซี (LC-Letter of Credit)
แต่วันนี้ ถ้าจะมาตรวจสอบ ข้อมูลมีเข้ามาเรื่อยๆ ว่าเงินที่รัฐบาลอ้างว่าเป็นจีทูจีในปัจจุบัน ยังเป็นเช็คในประเทศอยู่ ก็เท่ากับว่ามีการแอบขายให้กับบริษัทอื่นที่ไม่ใช่รัฐบาลต่างประเทศ หลักฐานที่เราเคยตามและเห็นว่าข้าวพวกนี้ เมื่อได้มาแล้วก็ไปเร่ขายให้กับโรงสี โรงสีก็เอาข้าวนี้มาเปลี่ยนกระสอบและเวียนเทียนกลับเข้ามาโครงการจำนำอีก
ไทยพับลิก้า : รัฐบาลบอกว่ามีตัวแทนบริษัทของไทยในการระบายข้าวจีทูจี
คือเขาอ้าง ในเอกสารที่เราได้รัฐบาลต่างประเทศให้บริษัทจีเอสเอสจี มาเป็นตัวแทนของรัฐบาล เขาทำได้แต่เขาไม่ได้โชว์เอกสารว่ารัฐบาลเตรียมส่งมอบให้บริษัทจีเอสเอสจีมาดำเนินธุรกรรมแทนรัฐบาล ที่หนักที่สุดคือ บ.จีเอสเอสจีมอบอำนาจให้ “ไอ้ปาล์ม” (นายรัฐนิธ โสติกุล ผู้ช่วย ส.ส. ในลำดับที่ 3 ของนางรพีพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ภรรยานายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง) มาดำเนินธุรกรรม
เขาก็ไม่โชว์เอกสารนี้ แต่ที่เจ็บที่สุดก็คือ เราเข้าไปในเว็บไซต์ เราเจอบริษัทนี้มีตัวตนจริง แต่กลายเป็นบริษัทนี้ขายพวกอุปกรณ์ที่ใช้ในครัวเรือน ขายพวกถ้วยกาแฟ ช้อน มีด ส้อม ขายอุปกรณ์กีฬา ซึ่งผมเซฟข้อมูลไว้ ตรงนี้เองก็ผิดปกติแล้ว และการขายตรงให้เด็กคนหนึ่งที่ชื่อ”ไอ้ปาล์ม” ถามว่าไอ้ปาล์มเป็นตัว เป็นรัฐบาลไหนล่ะ รัฐบาลไม่ได้มาชี้แจงอย่างตรงไปตรงมา
เท่าที่ผมตาม ไอ้ปาล์มคือนอมินี เพราะสุดท้ายไอ้ปาล์มก็มอบอำนาจให้ “ไอ้โจ” (นายนิมล รักดี มือขวา“เสี่ยเปี๋ยง” หรือ อภิชาติ จันทร์สกุลพร เจ้าของบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ที่ผูกขาดการซื้อข้าวจากโครงการรับจำนำข้าว ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) โดย “ไอ้โจ” เป็นตัวโยงถึง “เสี่ยเปี๋ยง” ซึ่งก็คือสยามอินดิก้า
สุดท้าย รัฐบาลต้องการขายของให้สยามอินดิก้า เพียงแต่เอานอมินีมาทำ แต่ข้อมูลที่เราได้รับไม่ใช่สยามอินดิก้าเพียงแห่งเดียว แต่มีบริษัทอื่นอีกหลายบริษัท เนื่องจากข้าวในลอตของรัฐบาลเยอะมาก ให้บริษัทเดียวเล่นไม่ไหว
ไทยพับลิก้า : ความคืบหน้าในการพิจารณาของคณะอนุกรรมการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในกรณีดังกล่าว
เราไปชี้แจงกับ ป.ป.ช. แล้ว ซึ่งเขาก็ซักไซ้เราพอสมควร แต่ผมจำได้ว่าจุดที่ ป.ป.ช. ซักไซ้ก็คือความเข้าใจเรื่องจีทูจีของเราว่าเราเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร อันที่สองถามว่าเราได้ยินใครพูดบ้าง ซึ่งเราก็บอกไปว่านอกจากคุณบุญทรง (เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์)แล้ว ยังมีคุณยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร)ด้วย ผมต้องซัดทอดคุณยิ่งลักษณ์ด้วย เพราะว่ามีคลิปที่คุณยิ่งลักษณ์พูดในลักษณะรับรู้ว่ามีการขายข้าวจีทูจี
นอกจากนี้ก็ถามเราเรื่อง บริษัทจีเอสเอสจี เราก็ถ่ายข้อมูล เอาสำเนาให้กับ ป.ป.ช. แล้ว และให้เราโยงตัวละครต่างๆ ให้ดู ซึ่งเราก็โยงเหมือนที่พูดในสภา นอกจากนี้ยังยื่นเอกสารเพิ่มเติมคือหนังสือชี้ข้อกล่าวหาที่ ป.ป.ช. ชี้มูล”ไอ้โจ”ในกรณีทุจริตจำนำข้าวปี 2546 – 2547 ที่ยังเป็นเพรสซิเดนท์อะกริ เท่ากับไอ้โจมีความผิด มีอีกคดีติดตัว
ป.ป.ช. ถามผมว่าผมมีความเข้าใจเรื่องการฟอกเงินเพียงใด เพราะผมชี้ให้ ป.ป.ช. เห็น 2 ทางนะ คือ เงินออก อีกทางหนึ่ง เอาเงินมาชำระให้กับทางรัฐบาล เขาบอกว่าถ้าเป็นจีทูจีจริงแล้ว มันจะต้องเป็นเงินที่มาจากรัฐบาลต่างประเทศและเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตด้วย
ที่สำคัญ การทำธุรกรรมที่ฝากตอนเช้าร้อยล้าน บ่ายหายไปเลยร้อยล้าน ถือเป็นการทำธุรกรรมทางการเงินที่ผิดปกติ มันก็เข้าข่ายต้องสงสัยการฟอกเงิน เพราะข้อมูลที่เรารับมาเป็นอย่างนี้ สุดท้ายแล้วไปเจอคนซื้อเช็คสั่งจ่ายกรมการค้าต่างประเทศชื่อไอ้ชิต เราก็มีหลักฐานเชื่อได้ว่าไอ้ชิตกลายเป็นคนของเสี่ยเปี๋ยงอีก ซึ่งเป็นคนจดทะเบียน บริษัทสยามอินดิก้า
เราเห็นคีย์แมนออกมาหมดเลย เพราะฉะนั้นมันก็ครบวงจร ข้าวพวกนี้เวลาออกไปจำนวนไม่มากเป็นข้าวที่อยู่ในประเทศ และโรงสีพวกนี้เวลาซื้อไปแล้วก็เอามาเวียนเทียน ส่งกลับเข้าโกดังของรัฐบาลเหมือนเดิม จากนี้ก็เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. เขาไป แต่เท่าที่ทราบเขาก็เร่งอยู่นะ
ไทยพับลิก้า : มีข้อสังเกตจากนักวิชาการว่า ราคาข้าวปีที่แล้วน่าจะแพงเพราะถูกดูดเข้าไปในโครงการรับจำนำหมดแล้ว แต่กลับไม่แพง
ถูกต้อง เพราะรัฐบาลมีนโยบายจำนำข้าวทุกเม็ด เพราะฉะนั้นทุกอย่างอยู่ในมือรัฐบาลหมด ข้าวที่เรากินนะอยู่ในมือรัฐบาล มันต้องแพงขึ้น ปรากฏว่าราคาข้าวมันขยับไม่เท่าไหร่
ไทยพับลิก้า : มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า จะเป็นข้าวบางส่วนที่ไม่ได้เข้าโครงการตามที่รัฐบาลได้อธิบาย
อันนั้นเป็นความล้มเหลวของโครงการจำนำนะ ในเมื่อรัฐบาลบอกว่าจำนำทุกเม็ด มันต้องไม่มีปรากฏการณ์ที่โรงสีไปซื้อเอง ในเมื่อโรงสีเต็มพื้นที่แล้วคุณรับจำนำทุกเม็ด เมื่อชาวนาได้ข้าวมาทั้งหมดต้องเข้าโครงการรับจำนำหมด แต่การที่มีโรงสีไปซื้อได้ เท่ากับว่ามันมีกระบวนการที่ผิดปกติทำให้ชาวนาจำนำไม่ได้ และจำนวนไม่น้อยนะ เพราะคนไทยกินข้าวสารปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 9 ล้านตัน แล้วเราดูส่งออกปีที่แล้ว 6.9 ล้านตัน ข้าวใหม่ๆ ตั้งเยอะแยะ ส่งออกได้ 6-7 ล้านตัน มันต้องเป็นข้าวในระบบ แสดงว่าระบบมันไม่ปิดจริง มันมีปัญหามันมีช่องโหว่
ไทยพับลิก้า : ปัญหาข้าวเน่าอาจมีผลมากยิ่งขึ้น
ผมคิดว่าอย่างนี้ เรื่องข้าวเน่าต้องแยกออกไป 2 ส่วน เน่าเพราะการจัดเก็บน้อยนะ เสื่อมปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอันนั้นเป็นไปได้ แต่จุดที่น่ากังวลคือเน่าเพราะเอาของเน่ามาใส่ และเอาของดีไปแอบขาย โดยเฉพาะภาคอีสานเป็นข้าวหอมมะลิ ปกติข้าวหอมมะลิต้องเอาไปส่งโกดังรัฐบาลเพราะเป็นข้าวที่ดี แต่ปรากฏว่าเอาข้าวดีไปขาย เพราะปีนี้ข้าวหอมมะลิราคาสูงเนื่องจากผลิตมันน้อย ราคาตลาดเกือบ 1,200 เหรียญสหรัฐ เขาก็เอาไปขาย แต่ส่งรัฐบาลเขาก็เอาของเสื่อมสภาพไปหาของถูกๆ เผลอๆเอาของเก่าจากโกดังที่รัฐบาลขายนั่นแหละ หรือไปหาของไม่ดีมาส่งแล้วจ่ายเงินใต้โต๊ะไป พวกนี้เป็นการเน่าที่เกิดจากการย้อมแมว เป็นการทุจริตที่จงใจเกิดขึ้นแต่แรก ไม่ใช่เน่าที่เกิดจากจัดเก็บ
ไทยพับลิก้า : ที่เน่าตั้งแต่วันแรกคาดว่าน่าจะมีจำนวนเท่าไหร่
ถ้าเราบอกว่าเน่าทั้งหมด เราประเมินลำบาก เราใช้คำว่าข้าวปนเปื้อนดีกว่า เพราะข้าวหอมะลิราคามันสูงมาก บางครั้งเอาข้าวหอมจังหวัด ข้าวหอมปทุม หรือเอาข้าวพันธุ์พิษณุโลกบางพันธุ์ที่เม็ดสวยๆ ไปผสม ทีนี้เขาเรียกว่าข้าวปนเปื้อน ผมเชื่อว่ามีถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ถามว่าทำไมพูดอย่างนี้ มันมีตรรกะอยู่
ปีที่ผ่านมารัฐบาลประกาศประมูลขายข้าวหอมมะลิ โครงการจำนำปี 54-55 ช่วงเดือนสิงหาคม กันยายน เฉพาะข้าวหอมมะลิ 5.8 แสนตัน แต่มีพ่อค้ามาประมูลซื้อแค่ 5.7 หมื่นตัน แต่สุดท้ายมีคนไม่มารับของอีก 2 หมื่นตัน เท่ากับว่าคนมารับของจริงประมาณ 4 หมื่นตัน จาก 5.8 แสนตัน ขายได้จริงแค่ 4 หมื่นตัน ประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ เพราะคนในวงการรู้เลยไม่กล้าซื้อ ต้องมีการเอาข้าวไร้คุณภาพหรือข้าวหอมธรรมดามาปนเปื้อน เขาถึงไม่มารับของ ของถึงขายไม่ค่อยได้
ปีนี้คนในวงการข้าวบอกว่าหนักกว่าปีที่แล้ว ปีที่แล้วเอาข้าวปนเปื้อนมาผสม แต่ปีนี้เอาข้าวเน่ามาส่ง จึงเกิดเหตุการณ์ที่เอาข้าวเน่ามาร้องเรา กล้ายืนยันนะว่าเราไม่สร้างหลักฐานเท็จมากล่าวหารัฐบาล ฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุด เราท้ารัฐบาลไปเปิดโกดังพร้อมกัน ผ่าโกดัง เอาเซอร์เวเยอร์มาตรฐานที่เซอเวย์ตอนลงเรือมาดู เซอร์เวเยอร์โครงการรับจำนำข้าวนี่เป็นเซอร์เวเยอร์หากิน ไม่ใช่เซอร์เวเยอร์มาตรฐาน
และเราจะต้องเอาหน่วยงานที่ตรวจสอบคุณภาพข้าวอย่างดีเอ็นเอข้าว ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วเราไปรื้อกันเลย ให้ผมสุ่มโกดัง สุ่มกองเจาะๆ แล้วทุกคนต้องยอมรับ อย่าไปยุ่งกับเจ้าหน้าที่เขา มาประกาศเลย ผลการตรวจสอบคุณภาพข้าวหมอมะลิไทยเป็นอย่างไรบ้าง อย่างนี้ถึงจะแฟร์ แล้วถ้าตัวเองทำด้วยความบริสุทธิ์ใจนะ รัฐบาลได้ฟอกตัวเอง แต่ผมหน้าแตกนะ ทำไมรัฐบาลไม่กล้ารับคำท้า ถ้าแน่จริงไปตรวจด้วยกัน
ไทยพับลิก้า : คิดว่ารัฐบาลจะจัดการข้าวหอมมะลิที่ปนเปื้อนอย่างไร
พวกนี้แย่มาก เขาไม่สนใจหรอก เขาไม่ได้ล่มจม เพราะมันเป็นเงินของแผ่นดิน และพวกนี้มาเดี๋ยวก็ไปแล้ว และสุดท้ายก็เป็นภาระ คือมันจะกลายเป็นของที่ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าขายก็ต้องขายราคาถูก
ไทยพับลิก้า : จะส่งผลต่อระดับคุณภาพของข้าวหรือไม่
แน่นอน ข้าวหอมมะลิถือเป็นข้าวที่พรีเมียมที่ดีที่สุดในโลก
ไทยพับลิก้า : กรมศุลกากรชี้แจงในกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรว่าไม่มีข้อมูลการส่งออกข้าวของรัฐบาล
(พยักหน้ารับ) มีแต่รายชื่อเอกชน ฉะนั้น ที่รัฐบาลพูดเรื่องจีทูจีมันไม่จริง เพราะปกติแล้วผมไปตรวจเอกสารส่งออก ตรงหัวเอกสารจะระบุว่าเป็นข้าวเอกชนหรือข้าวรัฐบาล กรมศุลกากรเองก็จะแยกว่าข้าวเอกชนเท่าไหร่ ข้าวรัฐบาลเท่าไหร่ ทางกรมศุลฯ เองก็น้ำท่วมปาก แต่พอประเมินแล้วว่ามีแต่ภาคเอกชน ถ้าเป็นข้าวรัฐ กรมศุลฯ ก็ต้องรายงานว่าเป็นข้าวรัฐ เพราะโค้ดต่างกัน
ไทยพับลิก้า : จะเดินอย่างไรต่อเพื่อไม่ให้เรื่องนี้หายไป
พูดตรงๆ ว่าเราเป็นฝ่ายการเมืองที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ กับองคาพยพอื่นก็ต้องช่วยกันตรวจสอบด้วย ผมว่าสื่อทำหน้าที่น้อยไป จำได้ว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ที่รัฐมนตรีตอบในสภาไม่ได้ว่าทำไมจีทูจี ไม่มีตัวเลข ผมว่าถ้าเขาไม่ชี้แจงมันก็ต้องให้เขาหยุดปฏิบัติหน้าที่แล้ว อะไรที่เราเอามาแฉในสภาแล้วรัฐบาลต้องตอบนะ ถ้ารัฐบาลไม่ตอบสื่อต้องจี้ต้องถามแล้ว
ไปๆ มาๆ วิธีแก้เกี้ยวรัฐบาลบอกว่าจะสอบย้อนหลัง 3 ปี ซึ่ง 3 ปีที่แล้วมันสอบอยากนะ แต่เหตุการณ์ปัจจุบันบอกจะรอต่ออีก 3 เดือน จงใจให้คนลืม เราเชื่อว่าอันนี้ไม่ได้ประโยชน์กับประเทศชาติจริง เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต ชาวนาไม่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผมจะสู้เรื่องนี้อย่างเต็มที่และกระบวนการต่างๆ มันเป็นช่องโหว่มาก
ไทยพับลิก้า : การจับคู่กับผู้ส่งออกถือเป็นความผิดปกติหรือไม่
เข้าใจว่ารัฐบาลมีปัญหาในการขายข้าว ปีนี้ตั้งเป้าไว้ ณ สิ้นเดือนธันวาคมว่าจะได้เงิน 8.5 หมื่นล้าน แต่ได้มาประมาณ 5.8 หมื่นล้าน ณ มกราคม ได้ 6 หมื่นเศษๆ ได้ต่ำกว่าเป้าเยอะ คือสุดท้ายรัฐบาลก็จนปัญญา และคิดว่าเขาต้องการจะเอาใจผู้ส่งออก เพราะปีที่ผ่านมาผู้ส่งออกก็ฟัดรัฐบาลเยอะ เลยถือโอกาสให้จับคู่กัน ให้ซื้อหน้าโรงสีเลย ซึ่งมันไม่มีกฎหมายรองรับในการระบายรูปแบบนี้
ปกติการระบายข้าวจะต้องเป็นการเปิดประมูล แต่คุณมาให้จับคู่กันและตกลงราคาเป็นรายๆ ไป มันก็เป็นช่องทางกินกันใต้โต๊ะของคนเจรจาได้ อย่าลืมว่าราคาต้นทุนของรัฐบาลประมาณ 3.6 หมื่นต่อตัน หลังจากสีเป็นข้าวสารแล้ว แต่ราคาตลาด 3.3 หมื่นต่อตัน และคุณตกลงแค่ 2.80 -2.85 หมื่นบาทต่อตัน มันเหมือนกับเรียกมาเคาะทีละราย มันไม่โปร่งใส ทำไมไม่เปิดประมูลให้เขาเคาะราคาสู้กัน
ไทยพับลิก้า : แบบนี้ผลประโยชน์จะตกอยู่ที่ใครมากที่สุด
ตกทั้งผู้ส่งออกและผู้เจรจา ซึ่งอาจจะเจรจากับฝ่ายการเมืองหรือเปล่านี่ผมไม่แน่ใจ ถ้าไปตกลงกัน 2.8 หมื่นต่อตัน คุณจ่ายให้ผม 100 นะ ก็ได้ เพราะราคาตลาดมัน 3.3 หมื่นกว่า แต่ตามหลักแล้วถ้าคุณว่าโครงการคุณแน่คุณจะยกระดับราคาข้าว เป้าหมายอย่างหนึ่งในราคาจำนำคือต้องการจะชี้นำราคาตลาดโลก คุณก็ควรจะต้องเอาราคาต้นทุนของคุณเป็นตัวตั้งในการหยิบราคากับผู้ส่งออก อันนี้เป้าหมายที่ตั้งไว้ คุณยอมแพ้เลยหรือ
ไทยพับลิก้า : อ้างเรื่องต้นทุนของรัฐที่จะลดน้อยลง
อันนี้จิ๊บจ๊อยมาก จริงอยู่รัฐบาลอาจจะไม่ต้องยุ่งเอาข้าวมาเก็บในโกดัง แต่ถ้าเทียบกับครอบใหญ่ๆแล้วมันจิ๊บจ๊อยมาก แต่วิธีการทำมันไม่มีกฎหมายอะไรมารองรับ ถามว่ากระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมันเข้าข้อไหน วิธีการจับคู่มันไม่เคยมี
ไทยพับลิก้า : มีความหวังกับการแก้ไขปัญหาการจำนำข้าวมากน้อยแค่ไหน
ผมไม่เชื่อ และยิ่งเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยด้วย เขาก็ต้องดันเต็มที่ แต่สุดท้ายเขาก็จะต้องจมด้วยตัวเนื้อของตัวเอง เพราะวันนี้ ธ.ก.ส. ก็เห็นอยู่แล้ว รัฐบาลใช้เงิน 405,000 ล้าน รอบแรกข้าวนาปีจะสิ้นสุดประมาณสิ้นเดือนมีนาคมนี้ แต่รัฐบาลก็เพี้ยนๆ ปีที่แล้วนาปีรัฐบาลเอาสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ เขาประกันเงินกู้ให้ 1.5 แสนล้านบาท ที่เหลือให้เป็นเงินจัดการในการขายข้าว และ ธ.ก.ส. ก็ควักเนื้อตัวเองเอาเงินสภาพคล่องตัวเอง อันนี้พอตู๊ๆ ไปได้
แต่พอมารอบนาปรัง ที่จะเริ่ม 1 เมษายน มีเงินสภาพคล่อง ธ.ก.ส. 9 หมื่นล้าน กลายเป็นว่าจะให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายไปก่อน แล้วจะให้เขาควักมาอีก 6 หมื่น ก็สะท้อนว่าโครงการนับวันจะมีปัญหามากขึ้นๆ และจุดที่น่าสนใจคือตัวเลขเนื่องจากข้าวขายไม่ได้ ของจากโรงสีมันก็ไม่มีที่เก็บ เชื่อไหมว่าตอนนี้ ณ ปัจจุบันนี้ ตัวเลขข้าวที่ค้างต่อประมาณ 23 ล้านกระสอบเป็นของนาปี 21 ล้าน 4 แสนกระสอบ เป็นของนาปรังปี 2555 ประมาณ 1.7 ล้านกระสอบ ที่ยังหาที่เก็บไม่ได้ ที่ยังเป็นข้าวค้างส่งอยู่ และยังไม่นับรวมข้าวที่ยังไม่ได้สั่งสีนะ อันนี้มาจากนโนบายการประกาศราคาสูง ขายไม่ได้เป็นลูกโซ่ ของไม่ออกจากโกดัง
ไทยพับลิก้า : เกิดปัญหาข้าวล้น
มันอยู่ที่เงิน สายป่าน ถ้าสายป่านยังมีอยู่ มันก็ไปได้จะเรื่อยๆ ประเทศชาติเสียหาย ที่บอกว่าเรามีโกดังเก็บเยอะ เก็บได้ 30 ล้านตัน ถ้าผมพูดแรงๆ บ้าหรือเปล่า ประเทศอู่ข้าวอู่น้ำ จะมาอ้างเก็บข้าว 30 ล้านตัน จะมาอ้างเพื่อความมั่นคงทางอาหาร ถ้าเราเป็นดูไบต้องเก็บนะ แต่เราอู่ข้าวอู่น้ำ 4 เดือนก็ผลิตใหม่ มหาศาล เราไม่ต้องเก็บ เผลอๆ ไม่ต้องมีสต็อคสำรองยังได้เลย ประเทศอู่ข้าวอู่น้ำอย่างเรา
ปฏิบัติการตามล่าหาข้าวเน่า
“ช่วงแรกผมเบลอนะ เวลาพูดเรื่องการทุจริตรับจำนำข้าว แค่พูดเรื่องความชื้นก็งงแล้ว” หมอวรงค์ยอมรับกับเราถึงความยากของข้อมูลในเรื่องนี้
แต่อาศัยความที่มีดีกรีเป็น “ติวเตอร์” เก่า ประกอบกับการมี “แหล่งข่าว” ที่คอยบอกข้อมูลเฉพาะด้านให้ ในที่สุด เขาจึงทำความเข้าใจกับตัวเองได้ไม่ลำบากนัก
“มีคนให้ข้อมูลเรา ต้องชม ข้าราชการดีๆ มีเยอะ เขาเอาข้อมูลมาให้เรา โรงสีดีๆ ก็เยอะ โรงสีบางแห่งที่อยู่ในโครงการเขาจะโทรมาบอกเราตลอดเลยว่าเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง ทุกเรื่องเรารู้หมดนะตอนนี้ เมื่อเราได้ข้อมูลนี้ เพียงแต่ว่าเราต้องสร้างสมมุติฐานเองว่าอะไร แล้วเราต้องไปหาต่อ แล้วค่อยแบ่งคนช่วยเราไปหา”
ในบางเหตุการณ์ “แหล่งข่าว” ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลได้ขอร้องให้การรับเอกสารเป็นไปอย่าง “ลับที่สุด” เนื่องจากกลัวความไม่ปลอดภัย
“วิธีการก็จะมีแปลกๆ เช่น เวลาที่ผมจะไปรับข้อมูลจากเขา เขาจะถามยี่ห้อ สี และทะเบียนรถ และบอกให้ผมเปิดหน้ากระจกรถ ชะลอตรงจุดที่นัดกัน และเขาจะโยนข้อมูลมาในรถผมเอง ในขณะที่ผมไม่ต้องจอดรถ ซึ่งบางทีผมว่ามันพิรุธกว่าจอดรถรับของอีกนะ” หมอวรงค์เล่าพร้อมหัวเราะ
เมื่อได้เบาะแสมา “หมอวรงค์” เชื่อว่า สิ่งที่จะทำให้รัฐบาลดิ้นไม่หลุดคือการแสดงหลักฐานที่ชัดเจน เขาจึงส่ง “ลูกน้อง” ลงพื้นที่เพื่อบันทึกภาพและเสียงแสดงกระบวนการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งคลิปที่ได้รับการตอบรับที่สุดคือคลิปล้อมกองข้าวและคลิปขนข้าวข้ามชายแดน
“หมอวรงค์” เล่าว่า กว่าจะได้คลิปที่เห็นกันอย่างวันนี้ แต่ละตอนมีที่มาที่ไปที่ไม่ธรรมดา ทั้งการส่งลูกน้องให้ไปสมัครเป็นเด็กท้ายรถขนข้าว เพื่อดูกลวิธีการยัดข้าวเน่าไว้ตรงกลางขณะที่รอบๆ จะเป็นกระสอบข้าวดี เพื่อตบตาหากมีการตรวจคุณภาพของข้าว
เมื่อเดินเข้าหาความลับที่ไม่มีใครต้องการจะเปิดเผย การเผชิญกับความเสี่ยงก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เว้นแม้แต่ลูกน้องของเขาที่เกือบถูกทหารกัมพูชาจับตัวไปในระหว่างการบันทึกภาพตรงด่านชายแดนไทย-กัมพูชา!
“ตอนนั้นส่งลูกน้องลงพื้นที่ เอากล้องกระดุมและกล้องนาฬิกาไปบันทึกภาพ เราวางแผนกันไว้ล่วงหน้า ส่งลูกน้องที่พูดภาษาเขมรได้ไป และจ้างคนกัมพูชาให้บันทึกภาพในฝั่งกัมพูชาด้วย แต่สายที่เราจ้างเข้าไปไม่เดินทางกลับออกมาเสียทีและไม่สามารถติดต่อได้”
“ลูกน้องที่ผมส่งไปเป็นห่วง จึงจ้างมอเตอร์ไซค์ให้พาไปส่งตรงชายแดนเพื่อตามหาสายของเรา แต่ระหว่างทางดันไปถ่ายรูปด่านเข้า จนทหารกัมพูชากักตัวไว้และตั้งข้อกล่าวหาว่าโจรกรรมข้อมูล ตอนนั้นเขาเรียกรถบรรทุกมาเพื่อที่จะเอาตัวลูกน้องผมเช้าไปดำเนินคดีในนั้น”
แต่ด้วยไหวพริบเฉพาะตัวทำให้ลูกน้องของหมอวรงค์รอดมาได้อย่างหวุดหวิด
“ลูกน้องผมให้เขายึดเงินสดที่มีอยู่ประมาณ 4-5 พันบาทไปทั้งหมด” หมอวรงค์เล่า
ความลึกลับของทีมงานตามล่ากระบวนการลักลอบขนข้าวเข้าไทยเพื่อสวมสิทธิการรับจำนำ ยังสร้างความสงสัยให้กับคนในพื้นที่จนทำให้มีคนแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงความไม่ชอบมาพากลของทีมงานนี้ แต่ในขณะนั้นข้อมูลในมือที่ได้มามีจำนวนมากพอที่จะทำให้ “หมอวรงค์” สั่งถอนกำลังออกจากพื้นที่แล้ว
การหาข้อมูลที่ถึงลูกถูกคนของทีมงานเช่นนี้ “หมอวรงค์” เปรียบเทียบอย่างขำขันว่าไม่ต่างไปจากการทำงานของเอฟบีไอ
ระหว่างการสนทนา “หมอวรงค์” ขอยุติการสนทนาไว้ช่วงครู่เพื่อรับสายที่โทรเข้าเครื่อง 1 ใน 2 เครื่องที่วางอยู่ข้างตัว โดยใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะกลับเข้าสู่การพูดคุยตามปกติ
“เราทำงานกันเหมือนอยู่ในหนังเลย อย่างโทรศัพท์ที่โทรหาผมเมื่อกี้ ก็โทรมารายงานข้อมูลเรื่องข้าว โทรศัพท์ผมจะมี 2 เครื่อง เครื่องหนึ่งไว้รับสายนักข่าวและคนในพื้นที่ ส่วนอีกเครื่องเอาไว้คุยเรื่องข้าวโดยเฉพาะ และเครื่องนี้จะเปลี่ยนซิมโทรศัพท์ตลอดเวลาเพื่อป้องกันการดักฟัง”
ส.ส.พิษณุโลกยอมรับว่า ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี แม้แต่ข้อมูลพวกนี้ที่เขาต้องควักทั้งเงินส่วนตัวและลงแรงถึงจะได้มา รวมไปถึงการจ้างบริษัทนักสืบเอกชนในการช่วยตามว่าใครเป็นใครในบริษัทสยามอินดิก้า
“เวลาได้ข้อมูลมาแต่ละทีมันดีใจน่ะ บางทีเรารอจิ๊กซอว์ตัวนี้ตัวเดียว นอนคิดทั้งคืนเลย คิดไม่ออก แต่อยู่ดีๆ ดันไปเจอโดยบังเอิญก็มี อย่างกรณีที่เสี่ยเปี๋ยงเป็นใครก็เป็นเรื่องบังเอิญ ตอนนั้นมีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ฮ่องกง มีคนจากโรงสีโทรมาบอกว่าเห็นเสี่ยเปี๋ยงเดินตามหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ มันโป๊ะเชะมาก”
แม้วันนี้ความตั้งใจที่จะผลักรัฐบาลชุดนี้ “สู่หลักประหาร” ยังไม่สำเร็จตามเป้าที่เคยวางเอาไว้ แต่เริ่มเกิดอานิสงจากสิ่งที่เขาทำ โดยเฉพาะการตรวจสอบคุณภาพข้าวที่มีความเข้มงวดมากขึ้น
“หมอวรงค์” เชื่อว่า การตื่นตัวของรัฐบาลในเรื่องนี้จะเป็นไปเพียงระยะสั้นเท่านั้น ส่วนระยะยาวยังคงจะมีปัญหาอยู่ ที่สำคัญเขายังพบข้อมูลใหม่ที่เชื่อว่าจะสามารถเรียกเสียงฮือฮาจากสังคมได้มากกว่าเรื่องจีทูจี
และเขาได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
“โปรดติดตามตอนต่อไป!”