ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์–รถติดทั่วกรุงเพราะรถคันแรกจริงหรือ? และ ประชาชนโอด ค่าแรง 300 แต่ของแพง!!

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์–รถติดทั่วกรุงเพราะรถคันแรกจริงหรือ? และ ประชาชนโอด ค่าแรง 300 แต่ของแพง!!

19 มกราคม 2013


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 13–19 มกราคม 2556

เรื่องแรก สืบเนื่องจากการประกาศรวมตัวกันของชาวโลกออนไลน์ โดยใช้ชื่อกลุ่มว่า “กลุ่มศรัทธาพลังความดี” ซึ่งเป็นกลุ่มคนทางเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “รณรงค์แบนช่อง 3 กรณีถอดละครเหนือเมฆ 2 สนองคำสั่งนักการเมือง” จากกรณีถอดละครเหนือเมฆ 2 ออกอย่างกะทันหัน อีกทั้งไม่มีคำอธิบายใดที่ชัดเจนให้กับประชาชน โดยคนกลุ่มนี้ได้รวมตัวกันกว่า 100 คน สวมเสื้อและหน้ากากสีขาวมาประชุมพร้อมกันที่หน้าตึกมาลีนนท์ด้วยความสงบเรียบร้อย ในวันอาทิตย์ที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา

โดยเจ้าของนามแฝงในโซเชียลมีเดียที่มีชื่อว่า “แอดมินจ่าสมิง” ซึ่งเป็นชายวัยประมาณ 40 ปี ได้อ่านแถลงการณ์ถึงการเข้าร่วมชุมนุมในครั้งนี้ ซึ่งมีข้อความระบุว่า กิจกรรมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าสิทธิและเสรีภาพของสื่อกำลังถูกลิดรอน และการออกมาชุมนุมกันครั้งนี้ไม่ได้โจมตีช่อง 3 โดยตรง แต่อยากให้ทางช่อง 3 ชี้แจงถึงสาเหตุที่แบนละครเรื่องนี้ให้ประชาชนเข้าใจด้วยความโปร่งใส ซึ่งมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ

"กลุ่มศรัทธาพลังความดี" ขณะมารวมตัวกันหน้า ช่อง 3  ที่มาภาพ: http://webboard.serithai.nettopic
“กลุ่มศรัทธาพลังความดี” ขณะมารวมตัวกันหน้า ช่อง 3 ที่มาภาพ: http://webboard.serithai.nettopic

1. เพื่อเปิดประเด็น “อำนาจมืดบางอย่างกำลังคุกคาม และลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน” ซึ่งเป็นการกระทำที่ “เข้าข่ายผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล และสื่อมวลชนมาตรา 45, 46, 47”
2. เพื่อเปิดประเด็น “การขาดจริยธรรมและธรรมาภิบาลของช่อง 3 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ได้แก่ การชี้แจงของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เข้าข่ายปกปิดบิดเบือนข้อเท็จจริง ขาดความโปร่งใสต่อสาธารณชน โดยขอเรียกร้องให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, กลต. และสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประกาศปรับลดระดับเรื่องธรรมาภิบาลของช่อง 3 (BEC) สู่ระดับต่ำสุด จนกว่าเหตุการณ์เรื่องนี้จะเกิดความโปร่งใสต่อสาธารณชน อีกทั้งยังเรียกร้องให้บริษัทต่างๆ ที่ได้ซื้อเวลาในการโฆษณาผ่านทางช่อง 3 ร่วมกันสร้างธรรมาภิบาลต่อสังคม ด้วยการถอนโฆษณา หรือหยุดชำระค่าโฆษณาเป็นการชั่วคราว และถ้าภายใน 1 สัปดาห์ต่อจากนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด จะเริ่มทำการรณรงค์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ด้วยมาตรการต่อต้านทางสังคม โดยการประกาศงดชมรายการข่าว และละครทางช่อง 3 รวมถึงลดการบริโภคสินค้าและผลิตภัณฑ์ ที่โฆษณาผ่านทางช่อง 3 อีกด้วย
3. ขอให้กำลังใจทีมงาน “เหนือเมฆ 2” ขณะเดียวกัน ก็ต้องการให้ช่อง 3 นำละครกลับมาฉายจนกว่าจะจบ

อย่างไรก็ตาม หลังจากผู้ชุมนุมอ่านแถลงการณ์เป็นที่เรียบร้อย นายบริสุทธิ์ บูรณะสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ช่อง 3 ได้เป็นตัวแทนในการรับแถลงการณ์ พร้อมทั้งกล่าวยืนยันถึงสาเหตุในการแบนละครว่า มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม และขัดต่อมาตรา 37 แม้ผู้ชุมนุมและนักวิชาการที่เคยแสดงความคิดเห็นต่างเคยออกมาพิจารณากันแล้วว่าไม่ผิดแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีการยืนยันต่ออีกว่า จะไม่มีการนำละครเหนือเมฆ 2 กลับมาฉายอีกครั้งอย่างแน่นอน

ทางด้านนายฉัตรชัย เปล่งพานิช นักแสดงชื่อดังและผู้จัดละครเรื่องเหนือเมฆ 2 และนางสินจัย เปล่งพานิช ภรรยาและนักแสดงในเรื่อง หลังจากที่ไม่ได้ออกมาอธิบายอะไรภายหลังจากละครถูกแบนเลย ล่าสุดได้เข้าชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร โดยตามรายงานข่าวได้ระบุว่า ทั้ง 2 นก ได้มีการแจ้งว่า บทละครเรื่องเหนือเมฆ 2 ทุกตอนได้ส่งให้ทางช่อง 3 ตรวจสอบทั้งหมดก่อนออกอากาศแล้ว อีกทั้งยังยอมรับว่าในส่วนของ 3 ตอนสุดท้าย มีการปรับเปลี่ยนบทเพื่อเพิ่มความสนุก และได้ส่งบทที่ปรับเปลี่ยนให้ทางช่อง 3 พิจารณาเรียบร้อยก่อนแล้วเช่นกัน และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกสั่งระงับได้อีก

ส่วน นก สินจัย ได้มีการยืนยันกับสื่อว่า เนื้อหาของละครไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อกระทบหรือพาดพิงใครทั้งนั้น เป็นเพียงเรื่องสมมุติขึ้นตามบทละครเท่านั้น หรือแม้กระทั่ง หมาก ปริญ สุภารัตน์ พระเอกของเรื่อง ก็ยังให้สัมภาษณ์ว่ายังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน

“ทำไม ไม่อธิบายให้ชัดเจนว่า เนื้อหาละคร ไม่เหมาะสม เพราะอะไร ตรงไหน ยังไง ประชาชนจะเข้าใจมากกว่านะ”

“เรื่องนี้ คงจะเป็นเหมือนที่ ดร.เสรี วงษ์มณฑา ท่านว่าไว้ คงจะมีคนพูดถึงอีกไม่เกิน 1 เดือน แล้วก็จะเงียบหายไปกับสายลมและแสงแดด เศร้าจัง เมืองไทย”

” ‘ยุคเผด็จการ’ จะแสดงความคิดเห็นอะไรออกมาตรง ๆ ไม่ได้ ก็จะแสดงออกในทางละคร นิยาย เพลง แต่นี่ ‘ยุคประชาธิปไตย’ แสดงออกทางละครยังไม่ได้เลย มันยังไงกันแน่ การเมือง เป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตน สำหรับผลประโยชน์ของประชาชน มันก็เป็นแค่ข้ออ้าง”

“ป่วยการที่จะประท้วงครับ คนแบนเขามีธงมาแล้ว ผมคุยกับคนที่มีส่วนแบนเหนือเมฆ ถามเขาว่าหักดิบอย่างนี้ไม่กลัวกระแสต่อต้านหรือ เขาตอบว่ารู้ล่วงหน้าอยู่แล้วเรื่องกระแส แต่เขาต้องการให้นายใหญ่ซึ้งใจว่าเขาจงรักภักดีและพร้อมลุยไฟเพื่อนาย ถึงจะไม่สั่งมาตรงๆ ก็ตามสัญญาเช่าสัญญาณ ไม่ว่าช่องไหนสถานีไหน เปิดช่องให้รัฐบาลซึ่งเป็นเจ้าของสัญญาณยกเลิกได้ไม่ยาก โดนคนด่าดีกว่าถูกตัดทางทำมาหากิน คนแบนเขาเชื่อของเขาอย่างนี้ครับ”

“ได้ยินนายกปู บอกไม่รู้เรื่องอะไร นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลก็ออกมาบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่ทำไมผู้จัดละครเขาเป็นฝ่ายเสียหาย ต้องมาเป็นผู้ชี้แจง คนสั่งระงับสิต้องเป็นผู้ชี้แจง ก็น่าเป็นผู้บริหารช่อง3 คนสั่งการทำไมไม่กล้าออกมาสู้หน้าสังคมล่ะ”

“คนกลางอย่างผมคิดว่าเราประชาชนสมควรที่จะออกมาทวงถามข้อสงสัยอย่างนี้ให้มากๆ นะครับ การแสดงออกอย่างมีอารยะธรรม แบบนี้ซิครับ ถึงจะดูดี เป็นการใช้ประชาธิปไตยได้อย่างถูกต้อง ถูกทางแล้วครับ สู้ๆ”

“สรุปแล้วช่อง 3เขาแบนเองใช่ไหม?? “ขอให้ความดีชนะความชั่ว” “ขอคุณพระศรีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายรักษาคนดีปกป้องคนดีให้ชนะคนชั่วและความชั่วร้ายทั้งหลาย” และสักวันนึงเราก็จะรู้เองว่าใครที่ดีและใครที่ไม่ดี ระวังอย่าหลงเชื่อคนชั่วและตกเป็นเหยื่อของคนชั่วให้เราเกลียดชังคนดีๆ ”

เรื่องที่สอง เสียงบ่นที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มมีนโยบายโครงการ “รถคันแรก” พร้อมกับปัญหาหนักที่ตามมา คือ การจราจรติดขัด นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

โดยล่าสุดมีตัวเลขจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ว่า ปัจจุบันมีจำนวนรถที่ใช้บริการทางด่วนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2-3 หมื่นคันต่อวัน และในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ มีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านคันต่อวัน อีกทั้งตามรายงานข่าวยังมีข้อเสนอแนะจากผู้ว่าการฯ ถึงวิธีเร่งแก้ไขรถติดหน้าด่านด้วยการเพิ่มช่องเก็บเงินค่าผ่านทางอัตโนมัติ pass อีก 50 ช่องจากที่มีอยู่เดิม โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท รวมถึงการเร่งสร้างจุดขึ้น-ลงบนทางด่วนเพิ่มอีก 10 แห่ง ภายในปี 2557 มีการคาดว่าจะใช้เงินก่อสร้างเฉลี่ยอีกจุดละ 70-1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับปริมาณรถใหม่ที่เข้ามาเพิ่มเติมอีกกว่า 1.3 ล้านคัน จนทำให้สถิติรถบนท้องถนนพุ่งถึงกว่า 8 ล้านคัน

ข้อมูลอ้างอิงตามรายงานข่าวสถิติของกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ระบุว่า ปริมาณรถจดทะเบียนสะสม ณ เดือน พฤศจิกายน 2555 มีทั้งสิ้น 7,461,487 คัน เพิ่มขึ้น 612,274 คัน เมื่อรวมกับเดือนธันวาคม และคาดว่าจะมีรถจดทะเบียนอีก 50,000 คัน จำนวนนี้เป็นโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2555 มีผู้ขอใช้สิทธิ์ 142,580 คัน จากทั่วประเทศ จำนวน 941,995 คัน

ภาพประกอบเรื่องราว ที่มาภาพ: http://news.impaqmsn.comarticles_hn.aspxid=507160&ch=hn.jpg
ภาพประกอบเรื่องราว ที่มาภาพ: http://news.impaqmsn.comarticles_hn.aspxid=507160&ch=hn.jpg

ทางออกของการรองรับปริมาณรถยนต์ที่มากขึ้นคือ การเพิ่มช่องทางให้รถยนต์สามารถวิ่งได้มากขึ้น ซึ่งต่างก็ต้องใช้งบประมาณอย่างมหาศาล อีกทั้งผลพวงของการปรับขึ้นค่าผ่านทางด่วนอีก 5 บาทในปีนี้ ตามสัญญาสัมปทานระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีอีซีแอล ที่จะครบกำหนดในเดือนกันยายน 2556 และต้องมีการปรับขึ้นทุก 5 ปี ซึ่งก็อาจส่งผลให้การจราจรบนถนนติดขัดเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะประชาชนอาจจะเลือกใช้ทางด่วนน้อยลง

อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลชุดนี้จะไม่ออกมายอมรับ 100% ว่า นโยบาย “รถคันแรก” จะทำให้การจราจรในเมืองกรุงเป็นอัมพาต แต่ก็ได้มีการอธิบายในส่วนของภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลในปี 2556 ถึงการแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยข่าวที่ชาวโซเชียลมีเดียให้ความสนใจกันมาก คือ การที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่า สาเหตุการจราจรที่ติดขัด ไม่ได้มาจากนโยบายรถคันแรกทั้งหมด แต่เพราะปัจจัยอื่นอีกมากมาย อาทิ การสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่, การปรับผิวจราจร และการปิดถนนเพื่อก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่กระจายไปตามถนนหลัก 8 สาย ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 ปี กว่าสภาพการจราจรจะเข้าสู่ภาวะปกติ ได้แก่
1. ถนนพระรามที่ 4 มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (ช่วงแยกหัวลำโพง-แยกมหานคร)
2. ถนนตากสิน มีก่อสร้างอุโมงค์ลอดทางแยกมไหสวรรย์
3. ถนนเพชรเกษม มีก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (ช่วงท่าพระ-บางแค)
4. ถนนราชพฤกษ์ มีก่อสร้างรถไฟฟ้าบีทีเอส (วงเวียนใหญ่-บางหว้า)
5. ถนนจรัญสนิทวงศ์ มีก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-ท่าพระ) อุโมงค์ทางลอดแยกบรมราชชนนี และสามแยกไฟฉาย
6. ถนนประชาชื่น ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ช่วงสะพานสูง-แยกประชาชื่น)
7. ถนนบรมราชชนนี มีขยายผิวจราจรช่วงวงแหวนรอบนอก-พุทธมณฑลสาย 2
8. ถนนรัตนาธิเบศร์-งามวงศ์วาน มีสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ช่วงแคราย-สะพานพระนั่งเกล้า)

“รัฐบาลชุดนี้ทำงานได้ตามนโยบาย รถคันแรก/เงินเดือน ป.ตรีหมื่นห้า/ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท กว่าจะได้หืดขึ้นคอ ดูดีๆ ยังได้กันไม่ทั่วประเทศเลย แต่ของทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นราคาหมดแล้ว บางคนมีรถ บางคนเงินเดือนขึ้น แต่กินข้าวราคาแพงขึ้น ของทุกอย่างแพงหมด ค่าทางด่วน ค่าน้ำมัน ค่ากิน มีอะไรคุ้มบ้างมั๊ย ครับท่านนายก”

“รัฐบาลเก่งจริง ทำรถติดหนักกว่าเดิม เพราะนโยบายรถคันแรก แล้วก็ยังจะขึ้นค่าทางด่วนอีก ทางด่วนก็ไม่รู้ มีไว้ทำอะไร รู้แต่ขึ้นไป รถก็ติดลอยฟ้า แถม easy pass จะซื้อทีก็ยาก เดี๋ยวบอกเครื่องปรินท์เสียบ้าง (ด่านศรีรัช) เดี๋ยวบอกระบบล่มบ้าง (ด่านบางนา) ไม่รู้คิดได้ยังไงจะขึ้นค่าบริการ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย ป้ายบอกทางก็ไม่ฉาบปรอทเหมือนป้ายต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร ไว้อาลัยให้รัฐบาลชัดนี้จริงๆ”

“น่าจะขึ้นค่าทางด่วนเป็นเที่ยวละ 200 บาท ไปเลย ถนนบนทางด่วนจะได้โล่งๆ ขับสบายๆ คุ้มค่าเงินหน่อย รวยกันนัก ออกกันแทบทุกคน”

“หลังจาก แจกภาษี รถคันละแสน 5555 พอมีรถเยอะ ถนนก็จะเริ่มติด พอถนนด้านล่างติด คนก็แห่ไปขึ้นทางด่วน (ปล. จริงๆทางด่วนก็เริ่มติดละนะ) ทีนี้ล่ะ เพิ่มอีก 5 บาท แถมรถก็เยอะขึ้นอีก กำไรเห็น ได้หลายต่อ รถเยอะขึ้น คนใช้ทางด่วนเยอะขึ้น แต่การปรับปรุงของทางด่วนยังเท่าเดิม แล้วมันจะขาดทุนตรงไหนมิทราบ”

“รถเมล์ยังเท่าเดิมนะค่ะ ยานดาวเทียมและยานอวกาศ ก็ยังไม่ประกาศปรับราคานะค่ะ”

“ให้นโยบายรถคันแรก พอรถติดก็มารณรงค์ให้ใช้รถสาธารณะ แต่ก็ไม่มีการปรับปรุงระบบรถสาธารณะ รถเมล์บริการไม่ดี สุขอนามัยก็แย่มาก ขึ้นไปแทบจะแตะต้องอะไรบนรถเมล์ไม่ได้เลย คันไปหมด บ้านเมืองที่เขาเจริญแล้ว คนเขาใช้รถสาธารณะกันอย่างง่าย สะดวกสบายใจ และรถก็ไม่ติดเป็นอัมพาตขนาดนี้ด้วย”

เรื่องที่สาม เป็นอีกหนึ่งนโยบายของรัฐบาลที่มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านโยบายนี้มีผลทำให้ชนะการเลือกตั้ง กับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป ค่าแรงขั้นต่ำของคนไทยทั้งประเทศก็ยังไม่ถึง 300 บาท แม้จะมีการประกาศปรับไปแล้วครั้งแรกในวันที่ 1 เมษายน 2555 ว่าให้ 7 จังหวัด อันได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม และภูเก็ต มีการปรับค่าแรง แต่จริงๆ แล้วก็ไม่สามารถทำได้ทั้งหมด

และอีกครั้งเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลประกาศอย่างเป็นทางการ เรื่องการบังคับใช้นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ส่วนที่เหลืออีก 70 จังหวัด สร้างความดีใจให้กับผู้ใช้แรงงานกันถ้วนทั่วในวินาทีแรก แต่แล้วความดีใจก็อาจต้องมลายหายไป เมื่อสิ่งที่ตามมาอาจสร้างปัญหาปากท้องได้มากกว่าค่าแรงเดิมๆ เสียอีก เพราะหลายกระแสในสังคมออนไลน์มีการพูดถึงผลกระทบจากนโยบายนี้กันอย่างมาก ทั้งผลกระทบจากการที่แรงงานต่างด้าวจะพากันเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลให้แรงงานไทยอาจตกงานจำนวนมาก อีกทั้งราคาสินค้าที่แพงขึ้น ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน และค่าทางด่วนที่จะปรับขึ้นตามมาอีกด้วย

โดยหลายสำนักข่าวมีการอ้างอิงถึงผลวิจัยของทีดีอาร์ไอที่ว่า การขึ้นค่าแรง 300 บาท ทำให้จีดีพีลดลง 1.7% และผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือเกษตรกร ที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น 21.71-29.99% การก่อสร้างเพิ่มต้นทุน 7.01-10.98% ทั้งนี้ยังไม่นับค่าแรงงานที่เพิ่มอีก 39%

นางสาวมัลลิกา บุญมีตระกูล  รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์  ขณะนำเอกสารเรื่องค่าแรงมาแถลง ที่มาภาพ: http://www.democrat.or.ththnews-activitynewsdetail.phpELEMENT_ID=13988&SECTION_ID=29
นางสาวมัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนำเอกสารเรื่องค่าแรงมาแถลง ที่มาภาพ: http://www.democrat.or.ththnews-activitynewsdetail.phpELEMENT_ID=13988&SECTION_ID=29

เรื่องนี้ยังมีหลายฝ่ายที่พยายามจะชี้แจงให้เห็นผลกระทบที่เกิดอย่างแท้จริง ล่าสุด นางสาวมัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้มีการออกมาแถลงพร้อมกับนำเอกสารจากสำนักบริหารกิจการการค้าภูมิภาคของการค้าภายในจังหวัดแห่งหนึ่ง ที่สรุปรายงานการจ้างแรงงานพนักงานร้านค้าถูกใจของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อส่งหน่วยงานต้นสังกัดของเดือนตุลาคม 2555 โดยมีค่าแรงเพียงวันละ 200 บาท ซึ่งเห็นได้ชัดว่า แม้สังกัดที่อยู่ในส่วนการทำงานของรัฐบาลเองก็ยังไม่สามารถทำได้

“ผมก็เป็นคนนึงที่ขายแรงงาน (เหนื่อยสมอง) มานั่งทบทวนค่าแรง 300 บาทของท่านฯ ที่ขึ้นมา ก็ทำให้สงสัยทำไมร้านอาหารต้องขึ้นราคาทั้งๆ ที่แต่ก่อนขึ้นค่าแรง อาหารจานละ 30 บาท ปริมาณพออิ่ม แต่เมื่อปรับค่าแรง ราคาอาหารถึงแพงขึ้นจานละ 5 บาท หรือ 10 บาท ปริมาณลดลง ทั้งที่วัตถุดิบไม่ได้มีราคาสูงกว่าหรือเป็นเพราะว่าร้านอาหารต้องจ้างคนงานที่ค่าแรง 300 บาท มันเป็นผลกระทบแบบลูกโซ่ไม่จบไม่สิ้น แต่ก็อีกนั้นแหล่ะพวกท่านฯ ที่เขียนกฎหมายรับเงินเดือนจากเงินภาษีของผู้ใช้แรงงานอยู่แล้วนี่ครับ ท่านฯ เพิ่มอะไรท่านฯก็ได้ปรับเพิ่มด้วย เพราะพวกท่านฯเงินเดือนสูงเกือบหลักแสนทุกท่านฯ ท่านฯคงไม่คิดอะไรหรอกเพราะค่าขึ้น 5-10 บาท ไม่กระทบพวกท่านอยู่แล้ว แต่คนที่ใช้แรงงานต้องกินข้าวราคาแพงตามค่าแรง มันเป็นเรื่องไม่ถูกต้องครับ ท่านดูแลราคาอาหารการกินของพวกเค้าด้วยซิครับ”

“หลังจากรัฐบาลประกาศขึ้นค่าแรง นายจ้างก็ปรับขึ้นให้ทันที ทุกคนในโรงงานดีใจมาก เพราะคิดว่าได้มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ตามมา คือราคาข้าวของที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันต่างปรับราคาขึ้นตามไปด้วย อย่างอาหารตามสั่ง เคยขายจานละ 30 บาท ก็ขึ้นมาที่ 35-40 บาทแล้ว”

“รายได้เพิ่มขึ้น เวลาไปซื้อของกินของใช้ ทุกอย่างก็แพงขึ้นตามไปด้วย ต้องประหยัดหนักกว่าเดิมอีก”

“งานหลายอย่างลูกจ้างคนไทยไม่ทำแล้วนะคะ ต้องจ้างต่างด้าว บางทีทำงานดีกว่า อดทนกว่า ไม่เรื่องเยอะ ไม่ลากลับบ้านที่ไม่รู้จะกลับมาทำงานวันไหน ลูกจ้างคนไทย ธุระเยอะ ขี้เกียจ จะทำแต่งานสบาย ตกเย็นก็เลี้ยงฉลองอะไรไม่รู้ทุกวัน พอเมาก็ทะเลาะกัน เจ้านาย ต้องเสียหายหลายเรื่องเลยค่ะ”

“คนงานที่ได้ผลประโยชน์จากค่าแรง 300 คือ คนที่รายได้ไม่ถึง ซึ่งส่วนใหญ่คือ คนที่ ทำงานไม่ดี คนที่หยุดงานบ่อย ฝีมือไม่ถึง ก็จะกลายเป็นว่า คนที่ทำงานดีมีฝีมือ กับ คนที่ขี้เกียจ งานไม่ดี ได้ค่าแรงเท่ากัน”

“น่าสงสารคนที่เคยมีงานทำแต่ต้องมาตกงาน เพราะผู้ประกอบการต้องปิดบริษัทจังเลย ทำไมไม่พัฒนาบ้านเมืองในเรื่องอื่นๆ ที่มีเป็นร้อยเรื่อง แต่เรื่องขึ้นค่าแรงทำไมไม่ศึกษาเรื่องผลกระทบให้ดีก่อนก็ไม่รู้”

เรื่องที่สี่ สร้างความฮือฮา เมื่ออยู่ๆ หน้าเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรมโดนมือดีแฮ็กเข้าไป จนทำให้เกิดลิงค์ที่เกี่ยวกับเว็บไซต์พนันฟุตบอล เว็บโป๊ และละครเหนือเมฆ 2 ที่มีการโพสต์ข้อความว่า “เอาเหนือเมฆ 2 กูคืนมา” และ “HACKED by THE BAD PIGGIES TEAM” จนทางศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศต้องปิดระบบไปชั่วคราว รวมถึงแก้ไขปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ของกระทรวง แต่หลังจากที่มีการปิดปรับปรุงหน้าเว็บไปชั่วคราว และมีการเปิดใหม่ในวันถัดมา เมื่อคลิกไปที่หน้าเว็บกลับยังปรากฏข้อความว่า “It works! This is the default web page for this server. The web server software is running but no content has been added, yet.”

โดยเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้มีการโพสต์แสดงความคิดเห็นไว้ในเฟซบุ๊ก “ชูวิทย์ I’m No.5” โดยมีข้อความตรงใจจนชาวโซเชียลมีเดียให้ความสนใจ คือ “เมื่อผมตรวจดูเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรมตามการร้องเรียนของแฟนเพจ ปรากฏว่าเมื่อเปิดเข้าไปพบลิงค์เว็บไซต์รับแทงบอลปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม ทุกวันนี้ การพนันบอลออนไลน์แพร่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง นี่มันหนักถึงขนาดว่าเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรมมีลิงค์แทงบอลออนไลน์ด้วยหรือ? มันถึงขนาดนี้ได้อย่างไร? มันเสียชื่อไปทั่วโลกว่ากระทรวงวัฒนธรรมไทยมีลิงค์รับแทงบอล ไม่เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบปล่อยปละละเลยถึงขนาดนี้ นี่ไม่ใช่แค่กระทรวงวัฒนธรรมที่เสียหาย แต่เป็นประเทศไทย ลิงค์รับแทงบอลมีถึง 2 ลิงค์ 2 เว็บไซต์ .. ถ้าไม่เชื่อ ลองเข้าไปดูในเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม ตามลิงค์นี้ http://www.m-culture.go.th/

ผมเบื่อเรื่องบ่อนการพนันซึ่งขณะนี้แพร่กระจายอย่างไม่หยุดยั้งเพราะการที่ไม่ปราบปรามอย่างจริงจัง ชาวบ้านโทรมาร้องเรียนผมไม่เว้นแต่ละวัน ที่ภูเก็ตเปิดกันเหมือนขายขนมครก ทั้งอิทธิพลของแกงค์มาเฟียรัสเซีย ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศไม่กล้าไป นอกจากนั้นยังมีที่ ระยอง อยุธยา สมุทรปราการ และเขตปริมณฑล การขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งของอบายมุข แม้กระทั่งในเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม แสดงให้เห็นว่าอบายมุขมันบาดลึก แพร่กระจายไปอย่างไม่มีทางหยุดยั้ง หรือรัฐบาลไม่มีน้ำยาปราบ เพราะแม้แต่เว็บไซต์ของรัฐเองยังมีการโปรโมทเว็บไซต์รับพนันบอล หรือว่าเพราะให้พวกเมาไวน์ 8 ขวดมาปราบ ถึงแก้ปัญหาไม่ได้เสียที”

ที่มาภาพ: http://www.thairath.co.thcontenttech320605
ที่มาภาพ: http://www.thairath.co.thcontenttech320605

อย่างไรก็ตามเคยมีเหตุการณ์ที่แฮ็กเกอร์ลอบเข้าเว็บไซต์สำคัญระดับชาติอย่างเว็บไซต์กระทรวงยุติธรรมของประเทศสหรัฐอเมริกามาแล้ว โดยผู้ทำการแฮ็กเป็นเด็กนักศึกษา มีเหตุผลในเรื่องของอุดมการณ์ที่เชื่อว่าหน่วยงานราชการของรัฐควรมีความโปร่งใส และให้ข้อมูลที่เปิดเผยต่อประชาชน

การกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 6 ที่ว่า ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“จอคอละครระดับอัจฉริยะเข้าให้แล้ว แม้ กมธ. เรียกคุณสองนกไปชี้แจง เพราะฝ่ายรัฐบาลไม่ยอมจบ ยังมีใครต่อใครหาว่าคนอื่นไม่ยอมจบ ใครกันแน่ที่ไม่ยอมจบ ยังจะหาเรื่องเขาต่อ อยากทำอะไรทำไป คิดว่ามีอำนาจ จะรังแกคนตัวเล็กกว่ายังไงก็ได้เหรอครับ”

“ละครเขาเรตติ้งดีจริง คนแบนมันโง่จริงๆ จากคนที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยคิดว่า มันจะตรงกับชีวิตจริงของใคร นิ่งเสียก็ได้ เดียวมันก็จบ”

“แค่ระบบรักษาความปลอดภัยระดับเกมบอยมากๆ เลย แต่อย่างว่าแหละคะ สมัยนี้มีแต่คนเก่งๆ ทั่วบ้านทั่วเมือง ทุกอย่างแก้ไขได้ ใจเย็นๆ”

“บ่งบอกถึง สติปัญญา ของคนดูแลเว็บไซต์ว่ายังไม่มีความสามารถพอ หลายๆหน่วยงานราชการก็เป็นประมาณนี้ อะไรก็จ้างเอกชนมาดูแลให้ แล้วอย่างนี้ จะเรียกว่าเป็นเว็บไซต์ระดับประเทศได้ไง ในเมื่อยังไม่สามารถดูแลเว็บไซต์ตัวเองได้เลย”

“เพราะกระทรวงวัฒนธรรม ไม่สนับสนุนละครสร้างสรรค์วัฒนธรรมที่ดี และให้แง่คิด ก็เลยต้องเจออะไรแบบนี้เลย”

“ก็ดูเอาละกันครับ ขนาดระบบรักษาความปลอดภัย ยังแย่ขนาดนี้ แฮ็กเกอร์ ก็โจมตีสบายสิครับ ต้องไปหาโปรแกรม ป้องกันแฮค ดีๆ มาใช้หน่อยนะครับท่าน”

“หาตัวไม่ได้หรอก ถ้าทำได้ระดับนี้ไม่ปล่อยให้จับได้ง่ายๆ หรอก เปลี่ยนเป็น IP inter เปลี่ยนนิดหน่อย แล้วซ่อน IP ก็หาตัวไม่ได้แล้ว แค่นี้ก็บ่งบอกแล้วว่ากระทรวงระบบล้าหลัง ทางสหรัฐฯ กว่าจะเจาะเข้าได้ เขามี firewall เป็นล้าน”

เรื่องที่ห้า เนื่องด้วยเป็นสัปดาห์ที่มีวันสำคัญของไทยคือ “วันครูแห่งชาติ” จึงทำให้โฆษณาของเซเว่น อีเลฟเว่น ที่นำเสนอเรื่องเกี่ยวกับครู ในภาพยนตร์โฆษณาชุด “ครูอาชีวะดับ สังเวยวันครู” เป็นที่โด่งดังจากการเผยแพร่ทางโทรทัศน์จนมีการแชร์ต่อกันมากในเฟซบุ๊ก เพราะด้วยความซึ้งกินใจของเนื้อหาในภาพยนตร์โฆษณา อีกทั้งยังเป็นการนึกถึงบุญคุณครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา จนทำให้หลายคนถึงกับน้ำตาแห่งความซาบซึ้งไหลอาบแก้มกันเลยทีเดียว

โดยเนื้อหาในภาพยนตร์โฆษณา เป็นการกล่าวถึงเรื่องราวของครูสมยศ ครูโรงเรียนอาชีวะ ที่นักเรียนขึ้นชื่อในเรื่องตีกัน ซึ่งคุณครูสมยศจะเป็นผู้ที่คอยดูแลความปลอดภัยของเด็กระหว่างเดินทางกลับบ้าน หรือเมื่อนักเรียนไปตามสถานที่ต่างๆ อยู่เสมอ และยังได้มีคำกล่าวของครูสมยศว่า “การเป็นครูอาชีวะ ต้องใช้ชีวิตอยู่ถึง 3 ที่ โรงเรียน โรงพัก และก็โรงพยาบาล” ซึ่งเนื้อหาในภาพยนตร์โฆษณาก็สร้างความซาบซึ้งใจด้วยการจากไปของครูสมยศ จากการปกป้องลูกศิษย์ที่เขารัก

ที่มาภาพ: http://webboard.edtguide.comtopicsClip
ที่มาภาพ: http://webboard.edtguide.comtopicsClip

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=36Jw1uBm47c Link โฆษณา “เชิดชูพระคุณครู…ไม่มีวันเกษียณ” จากเซเว่น อีเลฟเว่น

“โฆษณานี้ได้บ่งบอกถึง 1. พระคุณของครู 2. สภาพสังคมที่ยังแก้ไม่ได้กับการทะเลาะกันของนักเรียนต่างสถาบัน 3. การเปรียบเทียบ ของไม้ 2 ท่อน ที่สะท้อนให้เห็นว่าคนที่ใช้ความรู้จากครูผู้สอนจะบินต่ำหรือสูง ก็อยู่ที่ตัวของคุณ ดังนั้นดูแล้วเป็นวิทยาทาน ในการรับชม”

“เรื่องราวในโฆษณาเป็นการเล่าเรื่องใน 2 บริบท คือเรื่องของครูสมยศตอนสอนกับช่วงเกษียณ ทีนี้เรื่องของไอ้อ้วน ผมว่าผมเห็นตั้งแต่ช่วงแรกๆ อย่างตอนติดคุกแล้วครูไปประกันตัว ดังนั้นประเด็นไอ้อ้วนมาจากไหนก็ตัดประเด็นไป ทีนี้มันมาพลาดตรงที่ตอนปั่นไม้นี่แหละไอ้อ้วนดันกลับมาปั่นไม้ได้ทั้งๆ ที่ตายไปแล้ว มันอาจจะเป็นความพลาดในการเล่าเรื่องซึ่งถ้าไอ้อ้วนตายไปแล้วมันไม่ควรกลับมาอีก แต่การเล่าภาพอดีตแล้วมีไอ้อ้วนกลับมาถือเป็นการเล่าเรื่องอดีตแบบปกติ”

“ชีวิตครู อย่างนี้จริงๆ ค่ะ ครูอาชีวะ สอนเด็กไม่ใช่แค่ในห้องเรียน กว่าจะขัด กว่าจะเหลา กว่าจะเสี้ยมให้ผ่านพ้นแต่ละคนแต่ละรุ่น เชื่อเหอะ ไม่มีใครรักลูกคนอื่น เท่าครูหรอก เคยมีเด็กพูดคำนึง ถ้าไม่มีครู ก็คงไม่มีพวกเราในวันนี้ หลุดหล่นเหลือ จากมือครูไป เจ็บ ตาย ใครว่าครูไม่เสียใจ มีเป็นร้อยเป็นพันที่ครูต้องปั้นแต่งไม่มีที่สิ้นสุด”

“มีแต่คนชื่นชมครู แต่มีใครอยากมีอาชีพครูบ้าง ประเทศเราครุบาอาจารย์ เงินเดือนน้อยกว่าอ้าย พวกจ้างสอนตาม โรงเรียนกวดวิชาอีกว่ะ ประเทศ มันจะเจริญได้ยังไง ถ้าครูยังเงินเดือนต่ำ ก็จะได้ ครูไม่เก่งมาสอนเด็ก ก็จะได้เด็กคุณภาพต่ำ ตีรันฟันแทง ฆ่ากันกลางถนนอย่างที่เห็นในสังคมไทนั่นแหละ ประเทศ จะเจริญ ข้าราชการ และ ครู ต้องเงินเดือนสูงกว่าทุกอาชีพ ถึงจะปราบคอรัปชั่น และสร้างคนมีคุณภาพในสังคมได้”

“บางคนเอาแต่ว่าเด็กแต่ไม่เคยที่จะช่วยปลูกฝังค่านิยมหรือเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กเลย ส่วนใหญ่เด็กเค้าก็ทำตามผู้ใหญ่ทั้งนั้นแหล่ะ”

“ถ้าเป็นครูสมัยก่อนก็อย่างโฆษณาแหละครับ ไม่ต้องอาชีวะหรอกครับ ครูประถม มัธยม อนุบาล ก็เหมือนกันหมดคือเป็นครูจริง ๆ คุณลองคิดดูเวลาเรียนแล้วเสียงดัง พอมีคนตะโกนมาว่าครูมา ๆ เท่านั้นแหละ กลับนั่งที่เรียบร้อย เสียงในห้องเงียบเหมือนป่าช้าเลย ไม่มีเงินกินข้าวเที่ยงครูก็พาไปกิน พ่อแม่ลืมมารับก็พาไปส่งบ้าน ขาดโรงเรียนก็ไปตามถึงบ้าน ไม่สบายก็ไปเยี่ยม เรียนไม่เก่งก็จับเรียนพิเศษตอนเที่ยง ครูสมัยก่อนจึงเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สอง ต่างกับครูปัจจุบัน ที่มีแต่เรื่องฉาว ๆ ออกมาเป็นระยะ ๆ จรรยาบรรณของครูในปัจจุบันมีน้อยมากเมื่อเทียบกับครูสมัยก่อน (แต่ไม่ได้หมายถึงครูทุกคนนะครับ)”