โรดแมป คสช. แก้ปัญหา”ชาติ”
ลือทั่ว คสช. สั่ง ปิดเฟซบุ๊ก
สื่อนอกเผย 12 รายชื่อ กิ๊ก โอบามา
ข่าวฉาวพฤติกรรมสงฆ์ยังมีต่อเนื่อง
ดราม่าวงการบันเทิง โก๊ะตี๋
ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 25 – 31 พฤษภาคม 2557
ประเด็นฮอตเรื่องแรกโรดแมปการทำงานและการจัดการปัญหาหลัง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจการปกครองคือการจ่ายเงินโครงการรับจำนำข้าวให้ชาวนา ที่ชาวนาต่างทยอยได้รับเงินคืนด้วยความปลื้มใจ และการสั่งห้ามเจ้าหนี้นอกระบบข่มขู่ทวงเงินชาวนา, เร่งจัดทำงบประมาณปี 2558, ช่วยเหลือเอสเอ็มอี, ดำเนินการผู้หมิ่นสถาบัน รวมทั้งการดำเนินเรื่องตั้งคณะรัฐมนตรีและหานายกฯ คนกลาง เพื่อการหาทางออกให้ประเทศ และ “คืนความสุขให้คนในชาติ” 3 ขั้นตอน
1. ดำเนินการปรองดองให้เร็วสุด เริ่มจากการจัดตั้งศูนย์การปรองดองสมานฉันท์ เพื่อลดความขัดแย้ง สร้างบรรยากาศนำไปสู่การปฏิรูปเต็มรูปแบบในขั้นตอนต่อไป
2. การใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งฝ่ายกฎหมายกำลังดำเนินการจัดทำ โดยจะให้มีการตั้ง สภานิติบัญญัติ สรรหานายกฯ ตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อบริหารราชการ และร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมกับการตั้งสภาปฏิรูปเพื่อปฏิรูปแก้ไขเรื่องต่างๆ ทุกด้านที่ทุกฝ่ายต้องการและเป็นที่ยอมรับ คาดว่าจะใช้เวลา 1 ปี แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความร่วมมือทุกฝ่าย หากปฏิรูปเสร็จปรองดองสมานฉันท์ ประชาชนสามัคคีกัน ก้าวสู่ขั้นตอนต่อไป
3. การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ที่ทุกคนทุกฝ่ายพอใจ กฎหมายมีความทันสมัยทุกด้าน รวมทั้งกฎระเบียบกติกาต่างๆ ที่แก้ไขเพื่อให้ได้คนดีสุจริตมาปกครองบ้านเมืองด้วยหลักธรรมาภิบาล ทั้งนี้ หัวหน้า คสช. ย้ำทิ้งท้ายว่า คสช. ไม่ต้องการก้าวเข้าสู่อำนาจ หรือเข้าสู่อำนาจในทางที่ผิดเพื่อประโยชน์ใดๆ เลย เพียงแต่ขอเวลาให้แก้ไขปัญหาให้ได้โดยเร็ว จากนั้นทหารจะกลับไปทำภารกิจของเราต่อไป
แต่ในระหว่างนี้ประเทศไทยยังคงอยู่ในช่วงของการประกาศเคอร์ฟิว ห้ามชุมนุมทางการเมือง หรือมั่วสุมเกิน 5 คน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหา โดยที่ทาง คสช. ก็ได้มีการปรับระยะเวลาการห้ามอยู่นอกเคหะสถานจากเวลา 22.00 – 05.00 น. เป็นเวลา 24.00 – 04.00 น. ซึ่งก็มีความคาดหวังกันว่า สถานการณ์จะกลับมากสู่สภาวะปกติโดยไว้ และประชาชนจะได้ใช้ชีวิตตามปกติ
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่กลุ่มต่อต้านรัฐประหารรวมตัวกันออกมาบริเวณพื้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในวันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2557 จนทำให้ทาง คสช. ต้องมีการตั้งรับเนื่องจากการชุมนุมต่อต้านรัฐประหารนั้นขัดกับประกาศของ คสช. ส่งผลให้ในวันดังกล่าวมีกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาชุมนุม ทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก จากการประกาศปิดการจราจรรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในถนนดินแดง, ถนนพญาไท, ถนนราชวิถี, ถนนพหลโยธิน ซึ่งชาวโซเชียลต่างก็แชร์ข้อความ การหลีกเลี่ยงเส้นทางกันทั้งทางเฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ และไลน์ กันเป็นจำนวนมาก
“ทำไมรัฐประหารแล้วถึงมีเงินจ่ายชาวนา แต่รัฐบาลทำงานยังไง ทำไมถึงเลื่อนแล้วเลื่อนอีก”
“รัฐบาลที่แล้ว อำนาจอยู่ที่ กกต. ถ้า กกต. ไม่อนุมัติ คือจบ รัฐบาลใหม่ อำนาจอยู่ที่ คสช. ถ้า คสช. อนุมัติ คือจบ เข้าใจตรงกันนะ”
“ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมครับพี่ กีดขวางการจลาจร ต้องปิดไปเลยแบบนี้แหละครับ”
“รัฐบาลมีข้อจำกัดด้านกฎหมาย รัฐประหารไม่มีข้อจำกัดด้านกฎหมายสมารถสั่งการได้เลย”
“สั้นๆ คือ รัฐบาลทหาร มีอำนาจรัฐ ไม่เหมือน รัฐบาลรักษาการณ์ “ระหว่าง” รอการเลือกตั้ง ที่ กกต ต้องตรวจสอบ”
“อย่างน้อยรัฐประหารก็ตอบโจทย์ชาวนาได้ จากที่รอคอยมานานอย่างไม่มีหวังวันนี้ชาวนาได้เงินคืนดีใจกับชาวนาด้วย”
ประเด็นฮอตเรื่องที่สอง เรียกว่าเป็นประเด็นที่หลายคนยังคงตั้งคำถาม สำหรับปรากฏการณ์ที่คนไทยไม่สามารถเข้าเฟซบุ๊กพร้อมๆ กันเป็นจำนวนมากได้ในช่วง 16.00 – 16.30 น. ของวันที่ 28 พฤษภาคม 2557 ซึ่งก่อนหน้าในทวีตเตอร์ได้มีการทวีตข้อความว่า “ปลัดกระทรวง ICT ได้รับคำสั่งจาก คสช. ให้ปิด Facebook ชั่วคราวเนื่องจากมีการใช้สร้างกระแส” จากสำนักข่าวดังต่างๆ
ยังไม่ทันสิ้นเสียงก่นด่าจากประชาชน ทาง คสช. ได้ออกแถลงชี้แจงกรณีเฟซบุ๊กใช้การไม่ได้นั้นเป็นเพราะ Gateway อันเป็นตัวเชื่อมโยงเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกันเกิดปัญหา ทาง คสช. มิได้มีคำสั่งให้ปิดเฟซบุ๊กแต่อย่างใด ฉับพลันทันใดข่าวล่ามาไวที่ทางสำนักข่าวดังต่างๆ ได้นำมาโพสก็หายวับไปในพริบตาเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดของประชาชน ปรากฏเป็นข่าวชี้แจงของทาง คสช.
แต่คนยังไม่เลิกสงสัย เพราะโปรแกรมเมอร์ เหล่าผู้เชี่ยวชาญคอมพ์พิวเตอร์ต่างออกมาให้ความเห็นว่า ไม่มีทางที่ Gateway ล่มแล้วเฟซบุ๊กจะเข้าไม่ได้เพียงเว็บเดียว เว็บอื่นๆ ต้องโดนด้วย และเหล่านักสืบบนโลกออนไลน์ก็เริ่มทำงาน สำนักข่าวบางสำนักยังคงออกมายืนยันในข้อมูลของตนเองหลังจากถูกกล่าวหาว่าปล่อยข่าวมั่ว ไม่เว้นกระทั่งสื่อต่างประเทศ
มีการขุดคุ้ยหาข้อมูลเพื่อมายืนยันว่าการที่เฟสบุ๊กเข้าไม่ได้ในครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับ Gateway เลย แต่ต้องมีใครจัดการกีดกันการใช้งานแน่ๆ หลายคนก็หาหลักฐานมายันว่าหน้าจอสมาร์ทโฟน คอมพ์พิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของตนมันขึ้นเป็นคำสั่งปิดจาก “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” จริงๆ นะ
ภายหลังที่ระบบของเฟซบุ๊กกลับมาใช้งานได้ตามปกติได้มีการเผยแพร่ข้อมูลให้ความรู้ต่างๆ ในการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กในสถานการณ์ที่มีการกีดกันระบบ ความรู้ในการสร้างความปลอดภัยในการท่องโลกออนไลน์
และแม้จะมีการแถลงซ้ำยืนยันว่าทาง คสช. ไม่ได้เป็นผู้สั่งปิดเฟซบุ๊ก มีการนำหลักฐานมายืนยันว่าช่วงเวลาดังกล่าวระบบมันมีปัญหาจริงๆ ก็ไม่ได้ช่วยให้อีกหลายคนหายข้องใจ ยังคงมีการตั้งคำถามในประเด็นนี้เรื่อยมา กลายเป็นข้อถกเถียงในโลกออนไลน์
และจากสถานการณ์นี้เอง ได้สร้างความเข้าใจเรื่องเครือข่ายอินเตอร์เน็ตให้แก่คนไทย ทำให้หลายคนได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีในการป้องกัน และรักษาสิทธิของตนเอง ไปโดยปริยาย
“เรื่องแบบนี้ วางยาไม่ได้หรอกครับ ต้องสั่งบล็อกที่ ICT เท่านั้น ถ้าจะวางยา ต้อง ICT วางเอง แต่ใครจะกล้า”
“วันนี้ ทดสอบ ระบบ วันหน้าอาจไม่แน่ นะครับ อิอิ”
“ดูจากรูปการแล้ว คงทดสอบแรงต่อต้านสินะ ว่าถ้าปิดไปจะมีผลตอบรับยังไง ดูจากแรงต้านที่ออกมา คงไม่กล้าปิดล่ะ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ”
“อย่าคิดกันไปเองซิครับ ประชาชน ก็กลับมาใช้งานได้ตามปกติดีนี้ครับ”
“ปิดให้หมดเลยครับท่านผู้นำ ผมสนับสนุน ไหนๆ ก็อยู่ในระบอบเผด็จการแล้ว ใช้อำนาจให้เต็มที่”
“มันมีด้วยหรอครับ facebook thailand ที่ว่า ขอชื่อไปตรวจสอบหน่อยได้ไหมครับ”
“เป็นไปได้ว่าทดสอบถึงกระแสตอบรับ ถ้ากระแสตอบรับสรรเสริญมหาศาล อาจจะใช้วิธีการขอให้เฟสบุ๊คระงับ ID เอา ไม่ก็ส่งทหารไปจับ (ตามIP Address) ไม่เห็นด้วยที่จะปิดทั้งเว็ป แต่เห็นด้วยที่จะระงับ ID หรือตามจับเป็นรายบุคคล เพราะในเฟส มีบางเพจบางบุคคล หมิ่นเบื้องสูง”
ประเด็นฮอตเรื่องที่สาม กรณีกลุ่มเจ้าอาวาสวัดดังในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำพูนจำนวน 5 รูป พร้อมด้วยพระลูกวัด มีพฤติกรรมในเชิงอนาจารกับเด็กชายอายุไม่เกิน 15 ปี ตามรายงานข่าวการให้สัมภาษณ์ของเด็กชายเอ (นามสมมติ) อายุ 14 ปี ที่หลบหนีออกมา ให้ข้อมูลว่าเริ่มต้นจากที่ถูกพระดำหลอกลวงให้ไปพักที่โฮมสเตย์แห่งหนึ่งในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ และมีเพื่อนๆ ที่ถูกหลอกไปด้วย โดยบอกว่าจะให้เงินกินขนม เด็กๆ จึงหลงเชื่อ จากนั้นก็ถูกทำกระทำชำเรา ก่อนจะมีพระสงฆ์รูปอื่น แวะเวียนมาที่บ้านพักโดยค่าให้บริการต่อครั้งประมาณ 300-500 บาท ทั้งยังมีการพาเด็กชายไปส่งเพื่อให้บริการทางเพศกับพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ ในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำพูน อีกด้วยซึ่งก็มีพระสงฆ์ระดับเจ้าอาวาสร่วมใช้บริการดังกล่าว โดยกลุ่มเจ้าอาวาสดังกล่าวได้ถูกทำการสึกกับเจ้าคณะตำบลและเจ้าคณะอำเภอ พร้อมนำตัวส่งดำเนินคดีร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี สำหรับเด็กชายที่ถูกหลอกลวงไปกระทำชำเรา ได้ถูกช่วยเหลือและอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์แล้ว
นอกจากเรื่องข้างต้น ในโลกโซเชียลยังมีเรื่องราวที่พระลูกวัดในจังหวัดอ่างทองพระภาณุวัฒน์ ลิ้มพัทยา ที่ตั้งตัวเป็นแอดมินเว็บบอร์ดอัพสะเกิร์ตไทยดอตคอม เว็บลามกอนาจารที่มีการเผยแพร่ภาพสอดถ่ายใต้กระโปรงหญิงสาว โดยมีผู้การขบวนการอีกหนึ่งคน ได้แก่ นายสันติภาพ สิงสาด ซึ่งทั้งสองได้มีการจ้างคนนำกล้องไปติดตามห้องน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสาธารณะ จนมีภาพและคลิปของผู้เสียหายเป็นจำนวนมา จึงทำให้เรื่องดังกล่าวมีผู้ร้องเรียนที่เป็นนักศึกษา และพนักงานบริษัทหลายราย รวมทั้งหญิงสาวที่หน้าตาคล้ายนางเอกดัง ก็เข้าร่วมแจ้งความด้วย
อย่างไรก็ตามรายงานข่าวเล่าว่า จากการบุกตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้พบ พระภาณุวัฒน์ กำลังโทรศัพท์ขู่กรรโชกทรัพย์เหยื่อที่เป็นหญิงสาวอยู่ภายในกุฏิ พร้อมพบหลักฐานเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ฮาร์ดดิสก์ กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์จำนวนมาก และคลิปวิดีโอการแอบถ่ายใต้กระโปรงหญิงสาวกว่า 1,000 คลิป
“เพราะพระสมัยนี้เป็นแบบนี้ ผมจึงไม่เคยที่จะให้เงินพระ รวมทั้งกฐินที่มาขอที่บริษัทฯ เลยสักครั้ง นอกจากคนรู้จักจริงๆ (เพราะจำใจ) และงานที่บ้านเท่านั้น แต่ถ้าเป็นคนบ้าผมเดิมเอาขอไปให้แบบไม่ต้องมาขอเลย”
“เข้ายุคมืดของพระพุทธศาสนาในเมืองไทยแล้ว”
“คนเกิดมาเลว ทำคำสอนที่ดีของพระพุทธเจ้าแปดเปื้อน สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ไม่เอามาใช้ แต่กลับใช้ผ้าเหลืองทำเรื่องไม่ดี เมื่อไหร่จะหมดไปจากโลกเสียทีก็ไม่รู้”
“คุณพระทำเลวขนาดนี้ ทำไมต้องปิดหน้าหรอก ไม่เข้าใจมองในมุมของการกระทำผิดอายุเกินแล้ว แถมจะได้เป็นการป้องกันให้ทราบว่าบุคคลเหล่านี้ไม่ดี น่าจะไม่ปิดหน้าตานะครับ”
“ทำบุญกับวัดใช่จะได้บุญทุกครั้งไป ต้องพิจารณาให้ดีว่าพระดี ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยหรือไม่ อย่าเพียงทำบุญเพราะความดังของพระ ของวัด ของขลัง อาจไม่ได้บุญ กลับส่งเสริมให้มีพระปลอมมากขึ้น ได้บาปโดยไม่รู้ตัว เพียงระลึกรู้ลมหายใจของตัวอย่างมีสติ เพียงเท่านี้ก็ได้บุญมากหลาย ง่าย ๆ ต้องลองดูนะ พูดดี คิดดี ทำดี ก็ได้บุญ ได้เกื้อกูลคนทำดี ก็ได้บุญ ได้กตัญญูพ่อแม่ ก็ได้บุญ ได้ฟังเทศ ปฏิบัติธรรม กับพระสงฆ์ผู้ซึ่งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ได้บุญ”
“เรื่องแบบนี้นะเป็นเรื่องน่าอายอยู่แล้วคนปกติก็ต้องอับอายแต่นี่คุณคุณทำได้อย่างไรถ้าบวชแล้วปฏิบัติตนไม่ได้ตามพระธรรมวินัยละก็ควรจะสึกซะทุกคนอายุก็แก่ๆ ทุกคน”
“ศาสนาเสื่อมเพราะคนเหล่านี้แหละ ในเมื่อกิเลสยังมีจะบวชทำไม ให้เป็นมารศาสนา เสื่อมเสีย ชาวพุทธจะหมดศรัทธานะ”
ประเด็นฮอตเรื่องที่สี่เมื่อ สื่อต่างชาติอย่างหนังสือแท็บลอยด์รายสัปดาห์ เนชันแนล เอ็นไควเรอร์ ของสหรัฐอเมริกา มีการออกข่าวอ้างถึงข้อมูลลับเพื่อเตรียมการฟ้องหย่าของ นางมิเชล โอบามา สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ที่เก็บข้อมูลพฤติกรรมเรื่องผู้หญิงของสามี ผู้นำสหรัฐอเมริกาประธานาธิบดี บารัก โอบามา ที่มีรายชื่อถึง 12 คน จากการใช้ทีมนักสืบเอกชนเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูล
โดยรายชื่อหญิงสาวตามที่ปรากฏหนึ่งในนั้นมีชื่อของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของไทยอยู่ด้วย อย่างไรก็ตามเนื้อหาดังกล่าวที่มีการนำเสนอไม่ได้มีหลักฐาน มีแต่เพียงข้อมูลจากแหล่งข่าวเท่านั้น แต่ก็สร้างกระแสให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยในเมืองไทยพูดถึง พร้อมแชร์ภาพเมื่อครั้งที่อดีตนายกหญิงและประธานาธิบดี ร่วมถ่ายภาพร่วมกันเมื่อครั้งโอบามาเยือนประเทศไทยอีกด้วย
“มิเชล จะฟ้องหย่าโอบาม่าจริงเหรอคะ ใครรู้ข่าวบ้างพอดีเห็นข่าวจากเฟสบุ๊ค แต่ไม่แน่ใจเพราะ ข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวโคมลอยเยอะเหลือเกิน เห็นรูปกิ๊กโอบามายาวเป็นหางว่าว แล้วไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ผู้ชายไม่เจ้าชู้ไม่มีจริงๆ ”
“มันจะจริงเหรอครับ สตรีหมายเลขหนึ่งเค้าจะยอมหย่าเพื่อทิ้งสิ่งเหล่านี้หรือ ขนาดตอน คลินตั้น เค้ายังไม่หย่ากันในระหว่างดำรงตำแหน่งเลยนี่นา เอ๊ะ!! หรือว่าผมตกข่าว”
“ก็แค่ข่าวลือ ออกหนังสือ Gossip ฉบับเดียวเองอย่าแตกตื่นไป”
“ข่าวนี้น่าจะจริง!!! เพราะก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวจากทำเนียบขาวว่า มือที่มองไม่เห็น สั่งโฆษกทำเนียบขาว ออกแถลงการณ์ ตำหนิการรัฐประหารและควบคุมตัวอดีตนายกหญิงสาวสวยไทย ผู้ส่งสายตาหวานให้กับผู้นำสหรัฐอเมริกา จนเป็นข่าวไปทั่วโลก เหมือนคราวที่โอบาม่ามาเยือนไทย”
“จะเชื่อเรื่องแบบนี้ต้องใช้วิจารณญาณนะ ตัดสินไปมีแต่เสียกับเสีย”
“อาโก หนองจอก น่าจะมีรูปกับสาว มากกว่าโอบามาอีก ไม่เห็นเมียอาโก ออกมาตีโพยตีพายเลย อีกอย่าง ถ้าแค่ถ่ายรูปกับสาว แล้วกลายเป็นกิ๊กกัน ผู้ชายหลายคน น่าจะถูกเมียเลิกไปแล้ว ทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งหยิกแก้ม มีครบ”
ประเด็นฮอตเรื่องที่ห้า เรื่องดราม่าสะเทือนความรู้สึก ตลกชื่อดังมากความสามารถ สำหรับ โก๊ะตี๋ อารามบอย หรือ เจริญพร อ่อนละม้าย ที่มักจะมีภาพแสดงความรักต่อผู้เป็นแม่ ออกมาให้เห็นตามเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมอยู่เสมอ ซึ่งก็ทั้งข้อความที่บอกรัก ภาพการหอมแก้มและการแสดงความเคารพด้วยการกราบเท้า ล้างเท้าให้แม่ให้เห็นเป็นประจำ โดยการแสดงออกดังกล่าวมีทั้งผู้ชื่นชมและโจมตีว่าสร้างภาพ
ทำให้โก๊ะตี๋ถึงกับร้องไห้ออกมากลางวงนักข่าวที่เข้ามาสัมภาษณ์ว่า การที่ตนแสดงความรักต่อแม่ให้เห็นอยู่ทุกวัน เนื่องจากแม่มีอาการโรคประสาท จากสาเหตุที่ถูกโจรเอาปืนตีหัวจนสมองได้รับการกระทบกระเทือน ซึ่งแพทย์แนะนำว่าต้องรักษาด้วยความรัก และการเอาใจใส่อย่างดีอยู่เสมอ ตนจึงแสดงรักแม่ให้เห็นอยู่ทุกวันตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดหลังพาแม่ไปพบหมอ แม่ก็มีอาการดีขึ้นจนอาจไม่ต้องให้ยากดประสาทอีก และสำหรับใครที่มองว่าตนสร้างภาพ ถ้าไม่ชอบก็อย่ามายุ่ง ตนอยู่วงการมา เป็นคนตรง เป็นคนบ้านนอก ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ เกลียดขี้หน้าก็ไม่ต้องมาดู ไม่ได้สร้างภาพให้ใครมาดู ให้ใครต้องมาคิดว่าเป็นลูกยอดกตัญญู
“ไม่สร้างภาพ แต่ภาพที่ออกมาสู่สาธารณะ แต่งเต็ม ถ้าทำแล้วรับการวิจารณ์จากสาธารณะชนไม่ได้ ก็ไม่ต้องเอาเรื่องส่วนตัวออกสู่สังคมเปิดจะได้ไม่ต้องมาแอ็คชั่น ร้องไห้ออกสื่อ”
“ไม่ได้สร้างภาพ แล้วทำไมต้องมาแถลงตอนเปิดตัวรายการด้วย”
“ทำความดีเป็นลูกกตัญญูทำไปนะครับ ไม่ต้องฟังเสียงใคร ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่หายไวๆ นะครับ”
“สร้างภาพแต่ทำจริง อย่าได้แคร์ค่ะ เห็นคุณปฏิบัติกับแม่แบบนี้มาตลอด ส่วนพวกที่ดีแต่พูดแต่ไม่เคยดูแล แม่ที่ต่างจังหวัดโทรมาขอพันนึง ทั้งบ่นทั้งด่าจะเป็นชุด มีเงินเที่ยวเธค กินเหล้าแต่ไม่มีปัญญาส่งให้ครอบครัวนู่น น่าสมเพช (เห็นมาเยอะคนแบบนี้)”
“มันเป็นการแสดงออก และการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ครอบครับ แม่โก๊ะตี๋เค้าดูมีความสุข โก๊ะตี้เองเค้าก็ดูมีความสุขมากกว่า เป็นการสร้างภาพที่ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อใคร แต่ถ้าการบอกรักแม่ตัวเอง มันดูเป็นเรื่องสร้างภาพสำหรับพวกมัน ก็คงแปลว่าพวกมันไม่เคยสร้างภาพกันเลย ให้พูดตรงๆ ก็คือไอสารเลวพวกนี้ มันไม่เคยบอกรักแม่ของพวกมัน นั่นเอง”