เหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ “คนเสื้อแดง” ที่จบลงด้วย “การกระชับพื้นที่” หรือ “การเข้าสลายการชุมนุม” ด้วยกำลัง “ทหาร” ที่ได้ระดมมาทุกสารทิศ จากคำสั่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รัฐบาล และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) …
ถึงแม้จะเข้าคลี่คลายสถานการณ์ได้ แต่ก็จบลงด้วยการสังเวยชีวิตประชาชน 98 ศพ ที่กลายเป็นคดีความมาถึงปัจจุบัน ว่า “เสียชีวิต” จากฝีมือใคร ?
โดยเฉพาะ บรรดา “แม่ทัพ-นายกอง” ที่ต้องพาเหรดเข้าออกโรงพักเพื่อให้ปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ในข้อมูลเหตุการณ์กระชับพื้นที่ ณ วันนั้น ว่าอยู่ตรงจุดใด ปฏิบัติหน้าที่อย่างไร มีการปะทะอย่างไร มีชายชุดดำหรือไม่ …?
ถึงแม้จะมีคำสั่งคุ้มครองการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ รับประกันการเข้าคุก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ “นายทหาร” จากกองทัพภาคที่ 1 ที่ร่วมปฏิบัติการกระชับพื้นที่นั้นสบายใจเลย ยิ่งมองไปข้างหน้าแล้วยิ่งกังวลว่า ท้ายที่สุดแล้วอาจกลายเป็นผู้ร้าย ถูกข้อหาฆ่าผู้บริสุทธิ์ จนต้องเข้าไปนอนในคุก
แม้ตามหน้าเสื่อ การเดินเกมไล่บี้ “คดี 98 ศพ” ไม่ได้ต้องการเล่นงาน “ทหาร” โดยเฉพาะ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ., “บิ๊กหนุ่ย” พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ. ในฐานะ “ขุนพลมือเปื้อนเลือด” ผู้วางแผนยุทธการและสั่งการยุทธการกระชับพื้นที่
รวมถึง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผาจินดา อดีต ผบ.ทบ. ที่ตอนนั้นมีตำแหน่ง “หัวหน้ารับผิดชอบจะเป็นผู้สั่งการในการใช้กำลังของ ศอฉ.” หรือ “แม่ทัพ–นายกอง”
เพียงแต่ต้องการสาวไปถึง “อภิสิทธิ์” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ผอ.ศอฉ. ในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบ เป็นผู้ออกคำสั่งสูงสุดเท่านั้น ….
ว่ากันว่า มีการเคลียร์ใจกันระหว่าง “กองทัพ” กับ “ฝ่ายการเมือง” จะไม่เอาเรื่องใดๆ โดยจะกัน “ทหาร” ให้เป็นพยาน เพราะตอนนั้น ทหารเพียงแต่ทำตามคำสั่งเท่านั้น !
โดยเฉพาะตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นนั่ง “สตรีหมายเลข 1” จากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย กว่า 1 ปีที่ผ่านมา “ทหาร” ได้เข้าช่วยงานรัฐบาลหลายอย่างด้วยกัน โดยเฉพาะสถานการณ์ “น้ำท่วมปี 54” ที่ “กองทัพ” ต้องเป็นมือเป็นเท้า คอยช่วยเหลือรัฐบาลทำงานแก้ไขปัญหา และเข้าคลี่คลายสถานการณ์อยู่ตลอด
จนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง “ฝ่ายการเมือง” กับ “กองทัพ” มีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “นายกฯ ปู” กับ “พล.อ.ประยุทธ์” และ “ผู้นำเหล่าทัพ” ทำให้สมาน “รอยร้าว” ในอดีตนั้นจางหาย ทำให้หลายฝ่ายมองว่า “การเมือง” คงไม่ตามเช็คบิล “ทหาร” ในเรื่อง “คดี 98 ศพ” และความขัดแย้งในอดีตที่ผ่านมา…แต่งานนี้ “การเมือง” จะเล่นบท “ตีสองหน้า” แยกกันเดินร่วมกันตีหรือไม่ เนื่องจาก “คนเสื้อแดง” และ “ญาติผู้เสียชีวิต” เร่งเดินหน้าติดตาม “คดี 98 ศพ” ไล่ล่าบรรดา “นายทหารมือเปื้อนเลือด” เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีให้ได้
ทำให้ “กองทัพ” กังวลเรื่องนี้อยู่ไม่ใช่น้อย
ยิ่งช่วงหลังมี “เอกสารลับ ศอฉ.” ทยอยหลุดตามโลกออนไลน์ โดยเฉพาะประเด็นที่ ศอฉ. มีการสั่งการให้ใช้ “พลแม่นปืน” หรือ “สไนเปอร์” กับผู้ชุมนุม ซึ่งถือว่าเป็น “อาวุธที่ร้ายแรง”
“กองทัพบกไม่เคยใช้ “สไนเปอร์” เราเรียกเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติว่า “พลแม่นปืน” ระวังป้องกัน หากเราพบบุคคลผู้ที่มีอาวุธสงครามปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม แล้วกำลังจะใช้อาวุธทำร้ายประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ถึงชีวิตหรือบาดเจ็บ และเราไม่สามารถป้องกันด้วยวิธีอื่นได้ พลแม่นปืนระวังป้องกันเขามีหน้าที่ต้องดำเนินการตามภารกิจ แต่ไม่ใช่หมายความว่าเราจะไปยิงทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์หรือกลุ่มผู้ชุมนุม” เสธ.ไก่อู พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ทบ. ในฐานะโฆษก ศอฉ. ชี้แจง
แต่ทาง “นายทหาร” ระดับคุมยุทธการ เปิดเผยว่า ศอฉ. มีคำสั่งให้เตรียมใช้ “สไนเปอร์” จริง เนื่องจากสถานการณ์ตอนนั้นเกิดการชุลมุนและมี “ชายชุดดำ” ใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ แต่ก็เป็นแค่คำสั่งให้ “แสตนบาย” เท่านั้น ไม่มีคำสั่งให้ “สไนเปอร์” ปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง อย่างที่มีการวิพากษ์วิจารณ์…
ขณะที่ฟากฝั่งมือสอบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ที่ถูกตราหน้าว่า “เปลี่ยนสี–ย้ายขั้ว” กลับเร่งสอบสวนเพื่อไข “คดี 98 ศพ” โดยยอมรับ “ชายชุดดำ” ว่ามีอยู่ในเหตุการณ์จริง แต่จากการตายของ 36 ศพ ในส่วนของดีเอสไอ พบว่ามี 25 ศพ เกิดจาก “เจ้าหน้าที่รัฐ” ไม่เกี่ยวกับ “ชายชุดดำ” !
โดยเฉพาะคดี “พัน คำกอง” คนขับรถแท็กซี่ “ ศาลอาญา” พิจารณาว่า การตายเกิดจากการถูกลูกกระสุนปืนขนาด .223 (5.56 มม.) จากอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงครามที่เจ้าพนักงานทหารกำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบปิดล้อมพื้นที่ควบคุมตามคำสั่งของ ศอฉ.
กลายเป็น “ของร้อน” ที่ “กองทัพ” ต้องต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อยืนยันถึง “ความบริสุทธิ์” ส่วนบทสรุปจะออกมาอย่างไร…โปรดติดตามด้วยใจระทึก!
ทางดีเอสไอ ยังรอการเข้าให้ข้อมูลของนายทหารระดับปฏิบัติการ “ผบ.กองพล” – “ผู้การกรม” ซึ่ง ณ วันนี้ยังไม่เดินทางมาตามคำเชิญของ “ดีเอสไอ”
รวมถึงการเชิญ “พล.อ.อนุพงษ์” มาให้ข้อมูล เนื่องจากตอนนั้น “มีคำสั่งนายกฯ ที่พิเศษ 93/2553 ข้อ 2 ที่แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ารับผิดชอบตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และรับผิดชอบในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม และระงับยับยั้งการกระทำความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวญกฎหมายอาญาในเขตท้องที่ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงด้วยว่า ต้องการให้ ผบ.ทบ. มาดูแลสถานการณ์เพื่อที่จะทำให้การทำงานกระชับ มีประสิทธิภาพมากขึ้นกับสถานการณ์”
แต่ทาง “พล.อ.อนุพงษ์” ก็ยังไม่ได้เดินทางไปให้ข้อมูล โดยได้แจ้ง DSI ว่ายังไม่สะดวก เนื่องจากติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ
ถึงแม้พรรคประชาธิปัตย์จะตกอยู่ในสถานการณ์ “ตั้งรับ” แต่คงไม่ยอมอยู่เฉยถูกมัดมือมัดเท้าผลักให้เป็นฝ่าย “ผู้ร้าย” อย่างแน่นอน
โดยเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2555 ที่ผ่านมา บริเวณสวนลุมพินี พรรคประชาธิปัตย์ได้เดินสายเปิดเวที จัดนิทรรศการ “เดินหน้าผ่าความจริง ใครบงการมัจจุราชชุดดำรับจ้างฆ่าประเทศไทย” ควบคู่กับการเปิดเวทีผ่าความจริงภาคพิเศษ โดยขนแกนนำพรรคและสมาชิกพรรคเข้างานนี้เต็มที่ พร้อมมี นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเสื้อหลากสี แนวร่วมการเมืองที่ตรงกันร่วมงานนี้
งานนี้เพื่อเปิดศึกชนกับ “เพื่อไทย” และ “คนเสื้อแดง” แบบดับเครื่องชนเต็มตัว เพื่อตามล่า “ชายชุดดำ”
อย่างไรก็ดี การใช้กำลังทหารกระชับพื้นที่ “คนเสื้อแดง” ในตอนนั้น คงจะปฏิเสธไม่ได้เต็มปากว่า ทหารไม่มีส่วนต่อผู้เสียชีวิต 98 ศพ ถึงแม้คดียังไม่ตัดสินว่า ใครผิด–ใครถูก ใครฆ่าคนเหล่านั้น “ทหาร” หรือ “ชายชุดดำ” ?
แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “ทหาร” ไม่มีเอี่ยวเลย เพราะเหตุการณ์ขอพื้นที่คืนบริเวณสี่แยกคอกวัว–โรงเรียนสตรีวิทยา ในวันที่ 10 เม.ย. 2553 และตามด้วยยุทธการกระชับพื้นที่ในวันที่ 19 พ.ค.2553
“ทหาร” ได้ใช้กระสุนจริง! เพื่อเข้าควบคุมสถานการณ์ จนเกิดการปะทะกันหลายจุด โดยเฉพาะจุด “วัดปทุมฯ” บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 6 ศพ ที่ยังคงโต้เถียงกันว่า “ทหาร” ยิงใส่วัดจนทำให้ประชาชนเสียชีวิต หรือถูกชายชุดดำยิง ?
หรือแม้แต่ข้อสงสัยว่า คนเหล่านี้เสียชีวิตจากที่อื่นแต่ถูกนำมาไว้ที่วัดปทุมฯ เพื่อใส่ร้าย “ทหาร”
ดังนั้น ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ต้องสู้กันในศาลด้วยประจักษ์พยาน ข้อมูล เพื่อพิสูจน์หาความจริง โดยศึกนี้ต้องสู้กันอีกหลายยก ด้วยเดิมพันที่ว่า “แพ้ไม่ได้”
ใครที่แพ้ จะกลายเป็น “ผู้ร้าย” ต้องเข้าคุกในข้อหา “ฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์” โดยปริยาย…
มีรายงานข่าวว่า ช่วงปลายเดือน ก.ย.2555 ที่ผ่านมา “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม พี่ใหญ่ของ 3 ป. ได้พา “พล.อ.อนุพงษ์” ขึ้นเหนือเดินสายทำบุญสักการะ “เกจิดัง” เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
เพราะพักหลัง “พล.อ.อนุพงษ์” มีสีหน้าและแววตาไม่ค่อยสู้ดีนัก หน้าตาหมองคล้ำเหมือนคนอมทุกข์ อาจเพราะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “เหตุการณ์สลายแดงปี 53” ที่ทำให้มีประชาชนเสียชีวิต และคงหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ จนถูก “ญาติผู้เสียชีวิต” ตามสาปแช่ง! อยู่หลายครั้ง
โดยทั้ง 2 ป. แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” ได้เดินทางขึ้นภูเขาเพื่อไปยังวัดพระพุทธบาทสี่รอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ รอพบ “ครูบาศรีวิชัย” เกจิดังแห่งเมืองล้านนา
แต่ทั้ง “พล.อ.ประวิตร-พล.อ.อนุพงษ์” ก็ต้องไปนั่งรออยู่นาน เพราะในช่วงเข้าพรรษา “ครูบาศรีวิชัย” จะไม่ออกมารับกิจนิมนต์ โดยจะอยู่สวดมนต์และบำเพ็ญกิจของสงฆ์ภายในกุฏิเท่านั้น
แต่ด้วยความตั้งใจของ “สองพี่น้อง” ที่ต้องการจะพบ “ครูบาศรีวิชัย” เพื่อสักการะให้ได้ แม้จะรออยู่นานก็ตาม จนในที่สุด “ลูกศิษย์ครูบาฯ” ต้องไปตามให้ “เกจิดัง” ออกมาพบดังที่ “พล.อ.ประวิตร–พล.อ.อนุพงษ์” ตั้งใจ เพื่อให้ท่านช่วยพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และสะเดาเคราะห์ ปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออกไป..
ดังคำที่ว่า ในยามที่คนเราจิตใจไม่สงบ มีทุกข์ในสิ่งที่ได้กระทำ การหันหน้าเข้าวัดพึ่งพา “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” เพื่อยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่งทางใจยังคงใช้ได้เสมอ ไม่ว่าจะมียศ บรรดาศักดิ์ หรือชนชั้นใด…