ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กป้อม”เผยสอบเส้นทางหนี”ยิ่งลักษณ์”คืบ ปัดแจงรายละเอียด – ครม.อนุมัติงบกลาง 804 ล้าน อุดหนุนเด็กแรกเกิดเพิ่ม

“บิ๊กป้อม”เผยสอบเส้นทางหนี”ยิ่งลักษณ์”คืบ ปัดแจงรายละเอียด – ครม.อนุมัติงบกลาง 804 ล้าน อุดหนุนเด็กแรกเกิดเพิ่ม

5 กันยายน 2017


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานแทน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ติดภารกิจร่วมประชุม BRICS Summit ครั้งที่ 9 ระหว่างวันที่ 4-5 กันยายน 2560 ณ เมืองเซี่ยเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน

สอบเส้นทางหนี”ยิ่งลักษณ์”คืบหน้า-“บิ๊กป้อม”ปัดแจงรายละเอียด

พล.อ. ประวิตร กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบเส้นทางหลบหนีออกนอกประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า ขณะนี้มีแนวโน้มความชัดเจน แต่ยังบอกรายละเอียดไม่ได้ เพราะกล้องวงจรปิดไม่ได้ต่อเนื่องกันตลอดเส้นทาง บางช่วงก็ไม่มีกล้อง ซึ่งตอนนี้กำลังตรวจเช็คกล้องวงจรปิดเช่นเดียวกับกรณีการตามตัวนายวัฒนา ภุมเรศ มือระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งมีทีมงานดำเนินการอยู่แล้วแต่คงไม่ถึงร้อยคน หากเจ้าหน้าที่ดำเนินการเสร็จแล้ว ตนจะมาชี้แจงทั้งหมด ส่วนการตรวจสอบขณะนี้คืบหน้ากี่เปอร์เซ็นต์นั้นไม่สามารถบอกได้ แต่มีความคืบหน้าจะไปกำหนดกรอบเวลาไม่ได้

เมื่อถามว่าสามารถแก้ข้อครหาที่ว่าเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจหรือกะพริบตาข้างหนึ่งให้ได้หรือไม่ พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ยืนยันไม่มีเรื่องกะพริบตาข้างหนึ่ง กะพริบสองข้างยังไม่ได้เลย ส่วนความคืบหน้าการประสานข้อมูลจากต่างประเทศนั้น มีการสอบถามไปแล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบจากทั้ง 190 กว่าประเทศ สำหรับเส้นทางที่ชัดเจนและสถานที่อยู่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในตอนนี้นั้นตนยังบอกไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ตนจะเดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อประชุมร่วม ครม.ไทย-กัมพูชา ในวันที่ 7 กันยายน 2560 ส่วนจะประสานให้ทางทหารกัมพูชาตรวจสอบเส้นทางหรือไม่นั้น ขอตรวจสอบในส่วนของเราก่อน

มั่นใจรื้อคดีสลายการชุมนุมปี 53 ไม่กระทบทหาร – ถามกลับ “ให้รื้ออีกทำไม”

พล.อ. ประวิตร กล่าวถึงกรณีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เรียกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รื้อคดีการสลายการชุมนุมปี 2553 มาพิจารณาใหม่ว่า ถึงวันนี้ไม่มีอะไรที่มีผลกระทบต่อหน่วยงานด้านความมั่นคง ทุกอย่างก็ว่ากันไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนที่กลุ่ม นปช. อยากให้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่นั้น จะให้รื้อขึ้นมาอีกทำไม เจ้าหน้าที่ทำแทบตาย

เมื่อถามว่า ทหารจะเดือดร้อนหรือไม่ หากมีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาจริง พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า “คงไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ทำตามกฎหมาย”

ยัน รบ. ยังไม่กำหนดวันเลือกตั้ง

พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาเปิดเผยถึงกรอบเวลาการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนสิงหาคม 2561 นั้นเป็นเพียงการคาดการณ์ของ กกต. ขณะนี้ยังไม่ทราบว่ากฎหมายลูกจะแล้วเสร็จเมื่อใด และที่ผ่านมารัฐบาลก็ไม่เคยกำหนดว่าจะต้องเลือกตั้งวันไหน เดือนไหน เพราะทุกอย่างต้องอยู่ที่กฎหมายลูกว่าแล้วเสร็จเมื่อไหร่ ยืนยันว่าทุกอย่างรัฐบาลยังดำเนินการตามโรดแมปที่วางไว้ แต่การเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นในปีหน้าหรือไม่นั้นตนไม่รู้

“รัฐบาลไม่ได้ตั้งตุ๊กตา รัฐบาลตั้งไทม์ไลน์แค่นั้นเอง ไม่ได้ตั้งว่าต้องออกเดือนไหน” พล.อ. ประวิตร กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าจะไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ให้ไปถามคนที่พูด เพราะขณะนี้กฎหมายลูกยังไม่เสร็จ

จับตาวิกฤตินิวเคลียร์เกาหลีเหนือต่อ – ชี้ชาวเบงกาลีไม่อพยพมาไทย

พล.อ. ประวิตร กล่าวถึงสถานการณ์วิกฤตินิวเคลียร์เกาหลีเหนือว่า คงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป ส่วนกรณีความรุนแรงที่เพิ่มสูงขึ้นในรัฐยะไข่ ทางตอนเหนือของเมียนมาระหว่างชาวโรฮีนจากับทางการเมียนมานั้น ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมาขอให้เรียกชาวโรฮีนจาว่าเบงกาลี ซึ่งเป็นเหตุผลของเขา อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ากลุ่มอพยพจะไม่เดินทางมาไทยแน่นอน เพราะผู้อพยพเดินทางไปบังกลาเทศทั้งหมด

มติ ครม. มีดังนี้

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

ผ่านข้อตกลงยกภาษีซ้ำซ้อนไทย-กัมพูชา ส่งเสริมการลงทุน

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีที่เก็บจากเงินได้ โดยใช้กับผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยหรือประเทศกัมพูชา หรือทั้งสองประเทศ จำนวนมากกว่า 183 วัน ให้เสียภาษีฐานเงินได้เพียงประเทศเดียว ตัวอย่างเช่น เอกชนที่มีบริษัทแม่ในประเทศไทยและมีบริษัทลูกในกัมพูชา หากต้องเสียภาษีในประเทศไทย 20 ล้านบาทและเสียภาษีในประเทศกัมพูชา 10 ล้านบาท บริษัทดังกล่าวสามารถนำจำนวนภาษีที่เสียในกัมพูชามาหักที่ประเทศไทยได้ 10 ล้านบาท ทำให้เหลือภาษีที่ต้องเสียทั้งหมด 20 ล้านบาทจากทั้งหมดที่ต้องเสีย หากไม่มีข้อตกลง 30 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่าจะสามารถหักได้ไม่เกินจำนวนภาษีที่เสียจริงในประเทศที่เลือกหักภาษี ทั้งนี้ หากได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะให้สามารถหักภาษีได้เต็มจำนวนก่อนได้รับสิทธิประโยชน์เช่นกัน ตัวอย่างเช่น บริษัทได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในกัมพูชา 9 ล้านบาท เหลือภาษีเพียง 1 ล้านบาท บริษัทสามารถกลับไปหักภาษีที่ไทยได้เต็มจำนวน 10 ล้านบาท เพื่อช่วยส่งเสริมการลงทุนอย่างเต็มที่ระหว่างกัน

นอกจากนี้ ให้ยกเว้นเฉพาะภาษีเงินได้สำหรับการขนส่งทางอากาศยานระหว่างประเทศ สำหรับภาษีเงินได้จากการขนส่งทางเรือและทางบก (รวมรถไฟ) ให้จัดเก็บภาษีตามกฎหมายภายในของแต่ละประเทศโดยลดภาษีให้กึ่งหนึ่ง ขณะที่การเก็บภาษีจากทรัพย์สินประเภทอื่น กรณีเงินปันผล ดอกเบี้ย ค่าสิทธิ และค่าธรรมเนียมการบริการทางเทคนิค จะมีการจำกัดอัตราภาษีในประเทศผู้จ่ายเงินได้ โดยไม่ให้เก็บเกินกว่าอัตราภาษีตามที่ความตกลงกำหนดไว้ กรณีค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์และผลได้จากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ ของสถานประกอบการถาวรและหุ้นที่มีทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ให้ประเทศที่ทรัพย์สินนั้นตั้งอยู่ยังคงมีสิทธิเก็บภาษีได้

จัดงบกลาง 804 ล้านบาท อุดหนุนเด็กแรกเกิดเพิ่มเติม

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติให้กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2560 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 804.7052 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด-3 ปี รายละ 600 บาท เนื่องจากเดิม ครม. ได้อนุมัติรายการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดในปีงบประมาณ 2560 จำนวน 1,113.12 ล้านบาท

โดยมีงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีคงเหลืออยู่จำนวน 4.3 ล้านบาทและเงินส่งคืนจำนวน 1.21 ล้านบาท เนื่องจากไม่สามารถติดต่อผู้รับเงินได้ รวมเป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้น 1,118.6592 ล้านบาท ต่อมาได้ดำเนินการเบิกจ่ายเงินให้กับผู้มาลงทะเบียนและมีสิทธิ์รับเงิน ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 จำนวน 221,981 คน เป็นเงิน 1,117.6174 บาท คงเหลือจำนวนเพียง 1.042 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเบิกจ่ายให้กับผู้มีสิทธิ์รับเงินอุดหนุนจนถึงเดือนกันยายน 2560 ซึ่งคาดว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิอีก 351,000 คน จึงต้องของบประมาณเพิ่มเติมดังกล่าว

พาณิชย์ฝากแจงดึง 10,000 ร้าน ร่วมโครงการบัตรคนจน

นายณัฐพรกล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ฝากมาชี้แจงว่า สำหรับร้านค้าในโครงการประชารัฐสวัสดิการหรือการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ซึ่ง ครม. อนุมัติในสัปดาห์ที่ผ่านมา เบื้องต้นคาดว่าจะมีจำนวน 10,000 กว่าราย โดยจะให้มีตำบลละ 1 แห่ง พร้อมกันนี้จะจัดทำรายการสินค้าให้ใช้จ่ายเฉพาะสินค้าจำเป็นเท่านั้น ไม่รวมสินค้าอย่างเหล้าหรือบุหรี่ โดยร้านค้าที่ร่วมโครงการจะต้องมีการจดบัญชีการซื้อขายไว้ตรวจสอบ

“เมติ”พานักธุรกิจญี่ปุ่น 600 ราย เยือนไทยสัปดาห์หน้า

นายณัฐพรกล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าตั้งแต่วันจันทร์-วันพุธ ในโอกาสครบรอบ 130 ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น หรือเมติ จะพานักธุรกิจญี่ปุ่นกว่า 600 ราย ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจเอสเอ็มอีจากจังหวัดต่างๆ มาหาโอกาสลงทุนร่วมกันกับนักธุรกิจไทย (Business Matching) รวมทั้งลงพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ด้วย

จัดงบกลาง 106 ล้าน สร้างพิพิธภัณฑ์พระราม 9

นายณัฐพรกล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2560 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 106.17 ล้านบาท สำหรับโครงการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า ให้องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ (อพวช.) โดยโครงการก่อสร้างดังกล่าวมีระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี (ปีงบประมาณ 2555-2560) วงเงินรวม 1,890 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้างอาคารและค่าควบคุมงาน 747.6 ล้านบาท และค่าก่อสร้างชิ้นงานนิทรรศการพร้อมติดตั้งและค่าควบคุมงาน 1,142.4 ล้านบาท

“ที่ผ่านมาโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าได้รับอนุมัติงบเหลื่อมปี 2556-2561 แต่เนื่องจากการก่อสร้างมีการดำเนินการเร็วกว่ากำหนดจึงต้องมีการกันงบประมาณเพื่อจ่ายผู้รับเหมาก่อสร้างในปี 2560 จึงมีการอนุมัติงบประมาณในปีนี้เพิ่มขึ้น 106.17 ล้านบาท โดยผ่านทาง อพวช. เป็นผู้รับผิดชอบ” นายณัฐพรกล่าว

อนึ่ง โครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์พระรามเก้ามีขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สร้างความเข้าใจหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปแก้ปัญหาหรือพระราชทานแก่พสกนิกรในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเป็นแบบอย่างของการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศของประชาชน

เห็นชอบ ขรก.-ลูกจ้างรัฐ ลาบวชถวายเป็นพระราชกุศลฯ-ไม่ถือเป็นวันลา

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยไม่ถือเป็นวันลาและได้รับเงินเดือนปกติ ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอ โดยเตรียมการจนถึงวันลาสิกขา ระหว่างวันที่ 16-30 ตุลาคม 2560 รวมเป็นเวลา 15 วัน

มีเป้าหมายประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศลฯ ที่ส่วนราชการและภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกับคณะสงฆ์จัดขึ้น จังหวัดละ 89 คน รวม 6,853 คน สถานที่ดำเนินการ ณ วัดที่เป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมบำเพ็ญพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งจังหวัด พศ.จังหวัด ร่วมกับคณะสงฆ์ จัดขึ้นตามมติมหาเถรสมาคม

โดยที่การใช้สิทธิการข้างต้นให้สิทธิผู้ที่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการมาแล้ว สามารถลาอุปสมบทเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก ขณะที่ผู้ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ ก็ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต (สิทธิลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มราชการ ตามระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2555)

“ผู้ลาอุปสมบทจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐหรือเอกชน ร่วมกับคณะสงฆ์จัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจน และมีการจัดอบรมตามหลักสูตรสำหรับผู้บวชระยะสั้นที่คณะสงฆ์กำหนด ภายในระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน 15 วัน หากอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการตามที่กำหนด จะไม่ได้รับสิทธิในการลาตามมติคณะรัฐมนตรี” พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าว

เผยจีนไม่เชิญนายกร่วม “Belt and Road” เพราะเกรงใจ

นายกอบศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีที่รัฐบาลจีนไม่ได้ส่งคำเชิญ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมระดับสูง เวทีข้อริเริ่มเส้นทางสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 (High-Level Dialogue Belt and Road Forum for International Cooperation) ที่กรุงปักกิ่ง ในวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2560 แต่มีการเชิญผู้นำประเทศจากอีก 19 ประเทศ เนื่องจากได้เชิญให้นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุม BRICS Summit ครั้งที่ 9 แทน

“ได้มีการชี้แจงอยู่เสมอว่า ทางประเทศจีนมีความตั้งใจที่จะเชิญนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุม BRICS Summit ระหว่างวันที่ 4-5 กันยายน 2560 นี้ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รับเชิญจากจีนให้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ที่เหลือก็จะมีอียิปต์ เคนยา ทาจิกิสถาน เป็นต้น แต่ไทยเป็นประเทศที่ทางจีนมีความตั้งใจไว้แต่ต้นว่าจะเชิญนายกรัฐมนตรีเข้าร่วม ถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญสำหรับเขา และไม่อยากจะรบกวนนายกรัฐมนตรีหลายครั้ง ซึ่งในการประชุม Belt and Road ก็มีรัฐมนตรีของไทยเข้าร่วม 6 ท่าน ซึ่งการไปร่วมประชุมในครั้งนี้จะมีการเซ็นสัญญา 2 สัญญาโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ที่ ครม.เคยให้ความเห็นชอบไปก่อนหน้านี้” นายกอบศักดิ์กล่าว

ตั้ง “มานัส” นั่ง ผอ.ผศ. แทน พ.ต.ท. พงศ์พร

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงดังนี้

  • โอนย้าย นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แทน พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ที่ถูก ครม. โอนย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก่อนหน้านี้
  • แต่งตั้ง นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน
  • แต่งตั้ง ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีก 8 ตำแหน่ง ได้แก่ 1) นายสมชัย มาเสถียร ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็น รองปลัดกระทรวง 2) นางสาวสุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็น รองปลัดกระทรวง 3) นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เป็น รองปลัดกระทรวง 4) นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ รองปลัดกระทรวง เป็น อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ 5) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เป็น อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 6) นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงเป็นอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม 7) นายสากล ฐินะกุล อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวง 8) นายเสริมยศ สมมั่น รองปลัดกระทรวง เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป

ครม. เห็นชอบหลักการขึ้นเงินเดือนครู-ยกเลิกขึ้นเงินเดือน 2 ขั้น

รายงานข่าวระบุว่า ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
โดยสาระสำคัญของร่างกฎ ก.ค.ศ. ได้แก่
1. กำหนดให้ยกเลิกกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2550
2. กำหนดวงเงินงบประมาณและการบริหารวงเงินงบประมาณสำหรับการเลื่อนเงินเดือนในแต่ละรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการมีดังนี้
  • กำหนดให้ส่วนราชการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพในสังกัด ครั้งที่ 1 (1 เมษายน) และครั้งที่ 2 (1 ตุลาคม) ภายในวงเงินร้อยละ 3 ของเงินเดือนที่จ่ายให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ณ วันที่ 1 มีนาคม และ 1 กันยายน ตามลำดับ
  • กำหนดให้ส่วนราชการบริหารวงเงินในการเลื่อนเงินเดือนในภาพรวมของส่วนราชการหรือเขตพื้นที่การศึกษา
3. กำหนดการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เลื่อนตามผลงาน คือ ผู้ได้รับเงินเดือนในอัตราเดียวกัน มีผลงานเท่ากัน ควรได้รับเงินเดือนเป็นมูลค่าที่เท่ากัน และผู้ได้รับเงินเดือนในต่างอันดับกัน หรือมีผลงานต่างกัน ควรได้รับการเลื่อนเงินเดือนเป็นมูลค่าที่ต่างกัน
4. กำหนดกรอบวงเงินในการเลื่อนเงินเดือนรายบุคคลไม่เกินร้อยละ 6 ของฐานในการคำนวณและช่วงเงินเดือนสำหรับการเลื่อนเงินเดือนในแต่ละอันดับของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และยกเลิกโควตา 2 ขั้น ร้อยละ 15 ของจำนวนคน
5. กำหนดให้ส่วนราชการหรือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเลื่อนเงินเดือนในอัตราร้อยละที่แตกต่างกันตามคะแนนการประเมินผลการปฏิบัติงาน ภายในกรอบวงเงินรวมร้อยละ 3 และกรอบวงเงินรายบุคคลร้อยละ 6 ในแต่ละรอบการประเมิน โดยจะใช้วิธีการเฉลี่ยให้ข้าราชการแต่ละคนได้รับการเลื่อนเงินเดือนในอัตราที่เท่ากันไม่ได้
6. กำหนดการจ่ายค่าตอบแทนตามผลงาน ดังนี้
  • กำหนดให้เลื่อนเงินเดือนเป็นร้อยละของฐานในการคำนวณที่กำหนดไว้ตามช่วงเงินเดือนในแต่ละอันดับเงินเดือน
  • กำหนดให้เลื่อนเงินเดือนข้าราชการแต่ละคนเป็นร้อยละเท่าใดจะต้องสอดคล้องกับคะแนนผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการผู้นั้น
  • กำหนดให้ผู้ใดได้รับเงินเดือนขั้นสูงของอันดับเงินเดือนที่ดำรงอยู่ ให้ผู้นั้นได้รับค่าตอบแทนพิเศษโดยเงินค่าตอบแทนพิเศษคิดเป็นร้อยละของฐานในการคำนวณที่กำหนดไว้ตามช่วงเงินเดือนและไม่นำมารวมเป็นเงินเดือนพื้นฐาน
7. ให้ยกเลิกหลักการรอการเลื่อนขั้นเงินเดือนกรณีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาถูกฟ้องคดีอาญาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการและศาลได้ประทับรับฟ้องไว้แล้ว หรือถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
8. กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และกรณีอื่นๆ ดังนี้
  •  กำหนดให้ผู้จะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนต้องมีเวลาปฏิบัติราชการไม่น้อยกว่า 4 เดือนในแต่ละรอบการประเมิน
  • กำหนดให้เลื่อนเงินเดือนให้แก่ผู้ได้รับอนุญาตให้ลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศหรือได้รับอนุญาตให้ลาไปฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพเนื่องจากราชการเป็นเหตุ เมื่อผู้นั้นกลับมาปฏิบัติหน้าที่ราชการให้สั่งเลื่อนเงินเดือนได้ไม่เกินร้อยละสามของฐานเงินเดือนข้าราชการผู้นั้น ในแต่ละรอบการประเมิน
  • กรณีข้าราชการเสียชีวิตในระหว่างรอบการประเมิน และปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 4 เดือน ให้ได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนตามผลการปฏิบัติงาน