ในโอกาสครบรอบ 15 ปี วิกฤติ 2540 ซึ่งถูกบันทึกเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์วิกฤติเศรษฐกิจการเงินโลก ที่มีผลกระทบรุนแรงและสร้างความเสียหายมหาศาลให้กับประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของวิกฤติ แต่ 15 ปีผ่านมา ผู้ที่เกี่ยวข้องกับวิกฤติครั้งนั้น ทั้งผู้ก่อวิกฤติ ผู้แก้วิกฤติ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ มีการปรับตัว และได้เรียนรู้อะไรจากวิกฤติครั้งนี้บ้าง และประเทศไทยซึ่งฝ่ามรสุมวิกฤติครั้งนั้นมาได้จนถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่อย่างไร เพื่อตอบโจทย์คำถามดังกล่าว สำนักข่าวไทยพับลิก้าได้รวบรวมบทสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องมานำเสนอในซีรีส์ “15 ปี วิกฤติ 2540 ประเทศไทยอยู่ตรงไหน”
ซีรีส์ 15 วิกฤติ 2540 สัมภาษณ์พิเศษ นายอมเรศ ศิลาอ่อน อดีตประธานองค์การเพื่อปฏิรูประบบสถาบันการเงิน ( ปรส.) อีกหนึ่งคนที่มีบทบาทสำคัญในการสะสางปัญหาหนี้เสียของระบบสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ 2540 แต่ผลจากการกระทำกลับตกเป็น “จำเลย” สังคม ข้อหาทำให้ชาติเสียหายกว่า 6 แสนล้านบาท และถูกข้อครหาว่าทำให้กิจการหลายๆ บริษัทล้มละลาย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร มีรายละเอียดจากการ “ถาม-ตอบ” ของบทสัมภาษณ์พิเศษดังนี้
….
แม้อดีตประธาน ปรส. จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในหลายเรื่องเกี่ยวกับการทำงานที่ ปรส. แต่เขามั่นใจว่า “ไม่เคยทำผิด” และ “ไม่เคยทำอะไรที่ละอาย” พร้อมฝากบทเรียนที่ได้รับจาก ปรส. ส่วนจะเป็นเรื่องใดบ้าง มีรายละเอียดดังนี้
ไทยพับลิก้า : ถ้าถอดบทเรียนที่ดี บทเรียนที่ไม่ควรจะทำ หรือว่าอาจเป็นข้อผิดพลาดตอนนั้น มีอะไรบ้าง
ก็ไม่มีอะไรที่มันจะต้องให้ดีกว่านั้นได้นะ เพราะจริงๆ แล้วคุณธารินทร์ (นิมมานเหมินท์ รมต.คลัง) ก็เป็นคนที่รอบคอบ ตอนที่ตั้งกรรมการ ปรส. ทางคลังมีสิทธิที่จะส่งคนเข้ามาคนหนึ่ง แทนที่จะเอาคนของคลังเข้ามา ท่านไปเอาคุณจุลสิงห์ (วสันตสิงห์) ซึ่งเป็นอัยการพิเศษในขณะนั้นเข้ามาเป็นผู้แทนกระทรวงการคลัง เพื่อที่จะให้มาดูแลเรื่องกฎหมาย แล้วก็ในระหว่างที่คุณจุลสิงห์อยู่เราก็ทำ ผมรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายเลย เขาทำได้ดีมาก
“แล้วก็มีคนจากสำนักอัยการในขณะนั้นมาช่วย ฝ่ายกฎหมายเราเยอะเลยตอนนั้น เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะผิดกฎหมายน้อยมากตอนนั้น”
แต่หลังจากนั้น ทั้งๆ ที่ในที่สุดคุณจุลสิงห์ก็เป็นอัยการสูงสุด ระบบยุติธรรมของเราก็ยังไม่สามารถป้องกันไม่ให้คนดีถูกรังแกได้
“มันไม่ได้อยู่ที่ ปรส.หรอก มันอยู่ที่ระบบยุติธรรมทั้งหมด มันอยู่ที่ค่านิยมของสังคม ว่าเราจะรักษาคนดีไว้หรือเปล่า จะเอาไว้ทำยาบ้างไหม หรือจะฆ่ามันให้ตายหมด”
ไทยพับลิก้า : ตอนที่โดนข้อครหาเยอะๆ คุณอมเรศทำยังไงคะ ก่อนที่จะมาไปศึกษาพระอภิธรรม
อันแรกก็ต้องหาทนายดีๆ ก่อน (หัวเราะ) ทางด้านโลกเราก็ต้องแก้ไป ทางด้านโลก ในด้านธรรมะเราก็ต้องแยกกันไปคนละอย่างกัน
ไทยพับลิก้า : ข้อครหาว่าขายชาติ อันนั้นถือว่ารุนแรงสุดไหม
คนที่ไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อชาติ พูดอะไรก็ได้ ถ้าคนไปว่าคนดีว่า “ขายชาติ” คุณนั่นแหละขายชาติ เพราะคุณกำลังทำลายระบบความเป็นธรรมในสังคม คุณทำให้คนสับสนว่าใครเป็นคนดี ใครคือคนเลว ใช่ไหม แล้วโกหกคนทั้งชาติ “บาป”หรือเปล่า
“ก็ปล่อยให้เขารับกรรมไป เขาจะว่าอะไรก็ปล่อยเขาว่าไป โกหกคนคนเดียวยังบาป คุณโกหกคน 60 ล้านคนบาปแค่ไหน”
ไทยพับลิก้า: คุณอมเรศมองว่าได้ทำในสิ่งที่ต้องทำแล้ว ใช่ไหม
คือมันเป็นเรื่องของชะตาชีวิต เป็นเรื่องของกรรม เราเกิดมาอย่างนี้ มีความสามารถอย่างนี้ ทำงานได้มาแค่นี้ ได้เป็นรัฐมนตรีต่างๆ นานา อันนี้ก็เป็นกรรมดีที่เราสร้างมา ทั้งๆ ที่มันก็ไม่มีเหตุอะไรที่น่าจะให้ผมเป็นรัฐมนตรี ก็ได้เป็นและมีโอกาสทำงานให้บ้านเมือง และเมื่อบ้านเมืองเกิดวิกฤติก็ทำให้อีก
ส่วนคนเขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เขาจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ไอ้นั้นก็เป็นสิทธิของเขานะครับ ถ้าเผื่อเราทำความดีแล้วเขาไม่เห็นความดีอันนั้นก็เป็นกรรมของเรา ก็ต้องยอมรับ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วเราสามารถที่จะแก้ปัญหาให้บ้านเมืองได้ มันไม่มีทางเลือก เราต้องทำ จะป้องกันตัวยังไงอีกเรื่องหนึ่งนะ จะต้องช่วยบ้านเมืองต่อไปก็ต้องหาทนายดีๆ
ไทยพับลิก้า : สุดท้ายอยากให้คุณอมเรศฝากเป็นข้อเตือนใจ ถ้าเผื่อเจอจะต้องวิกฤติอีก ต้องทำอะไรกันยังไง
สำหรับคนที่เป็นผู้นำสังคม ก็ต้องเตือนไว้ว่า “เลือกให้ดี” เพราะว่าเมื่อเป็นผู้นำแล้ว เกิดมามีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำได้แล้ว จะนำบ้านเมืองไปในทางที่ถูกก็ได้ไปในทางที่ผิดก็ได้ จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่ทำบาปก็ได้ จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่ทำบุญก็ได้ เราเป็นคนเลือก เรามีสิทธิเลือกนะครับ ตาสีตาสาเขาไม่มีสิทธิเลือก คนที่เป็นผู้นำสังคมเท่านั้นแหละมีสิทธิเลือก แล้วก็ต้องคิดให้ดี เลือกให้ดีนะ
“ผมก็ยังคิดว่าผมโชคดีที่ทำงานมา 30-40-50 ปี ไม่เคยต้องทำอะไรผิด ไม่เคยต้องทำอะไรที่ละอาย แล้วก็ทำมาโดยที่มีชีวิตที่อยู่ได้อย่างสบายโดยที่ไม่ต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่นเขา ถ้าเผื่อใครก็ตามที่เป็นผู้นำสังคมแล้วมีคุณภาพชีวิตอย่างผมก็น่าพอใจแล้ว”
หมายเหตุ : ซีรีส์ 15 ปี วิกฤติ 2540 สนับสนุนโดย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)