ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ – ทายาทกระทิงแดงพุ่งชนตำรวจ และ วัดธรรมกายขอออกโฉนด “เกาะดอนสวรรค์”

ประเด็นฮอตในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ – ทายาทกระทิงแดงพุ่งชนตำรวจ และ วัดธรรมกายขอออกโฉนด “เกาะดอนสวรรค์”

8 กันยายน 2012


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 2 – 8 ก.ย. 2555

เรื่องแรก ประจำสัปดาห์นี้ เมาท์กันสนั่นตั้งแต่เป็นข่าว กับคดีที่มีผู้ขับรถเฟอร์รารีคันหรู ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ บริเวณหน้าปากซอยทองหล่อ 49 ซึ่งเจ้าของรถเฟอร์รารีทิ้งร่องรอยไว้ เป็นคราบน้ำมันรถที่หยดเป็นทางยาวไปจนถึงทางเข้าซอยทองหล่อ 53 เข้าไปในซอยประมาณ 10 เมตร และยังคงมีคราบน้ำมันที่เลี้ยวเข้าไปในบ้านเลขที่ 9 ซึ่งปรากฏว่าเป็นบ้านของนายเฉลิม อยู่วิทยา ลูกชายนายเฉลียว อยู่วิทยา ผู้บุกเบิกกระทิงแดง แบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังชื่อก้องโลก

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนพบว่าผู้ขับรถเฟอร์รารีคันงามชนร่าง ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้บังคับหมู่งานป้องกันและปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิตคือ นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส อายุ 27 ปี ลูกชายคนที่ 3 ของนายเฉลิม อยู่วิทยา โดยการเข้าจับกุมตัวในครั้งนี้ ใช้เวลานานกว่าจะเข้าถึงตัวผู้ต้องหาได้ แม้จะมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีการอ้างตัว จากนายสุเวศ หอมอุบล อายุ 45 ปี ซึ่งเป็นพ่อบ้านดูแลรถ ว่าเป็นผู้ที่ขับรถคันเกิดเหตุ ทำให้มีการสั่งให้ดำเนินคดี ในข้อหาให้การเท็จกับเจ้าพนักงานเพิ่ม

ทั้งเรื่องนี้ยังอาจมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีส่วนรู้เห็น ในการพยายามเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาด้วย เพราะ พ.ต.ท.ปัณณ์ภณ นามเมือง สวป.สน.ทองหล่อ มีพฤติกรรมพยายามจะนำตัวนายสุเวศมาส่งพนักงานสอบสวน ทั้งที่หลักฐานบ่งชี้ว่านายสุเวศไม่ใช่คนขับรถตัวจริง ไม่ว่าจะร่องรอยบาดแผลตามร่างกายที่ได้รับการกระแทกจากการขับรถชน หรือการเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมุดบันทึกการเข้าออกบ้านหลังดังกล่าวที่ รปภ. บันทึกเอาไว้ ระบุว่านายวรยุทธเป็นคนขับรถออกจากบ้าน ซึ่งโทษของ พ.ต.ท.ปัณณ์ภณในครั้งนี้ถึงขั้นให้ออกจากราชการไว้ก่อน

คดีลูกชายเฉลิม อยู่วิทยา ที่มาภาพ: http://www.matichon.co.th/online/
ที่มาภาพ: http://www.matichon.co.th/online/

ทั้งนี้ ผลการตรวจเลือดของนายวรยุทธยังปรากฏระดับแอลกอฮอล์อยู่ที่ 63 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่าระดับที่กฎหมายกำหนด คือ ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ต้องโดนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมคือเมาแล้วขับอีกกระทงหนึ่งด้วย ซึ่งนายวรยุทธเองก็ยอมรับว่าตนเป็นผู้ขับรถชน แต่ไม่ได้บอกในรายละเอียดของความเร็วรถ และไม่มีเจตนาหลบหนี เพียงแต่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งภายหลังการสอบสวน นายวรยุทธก็ได้รับการประกันตัวออกมาในอีกไม่กี่ชั่วโมง ด้วยวงเงิน 500,000 บาท

ทางด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้ออกมากล่าวและย้ำถึงเรื่องนี้ว่า “ว่าชีวิตคนมีความหมาย ไม่ใช่เฉพาะตำรวจ” และ “ยุคนี้ไม่มีสะดุดที่นามสกุล ใครผิดก็ต้องผิด คนรวยเป็นเทวดาหรือ คนรวยทำผิดไม่ได้หรือ”

ทั้งนี้ภายในงานพิธีรดน้ำศพ ด.ต.วิเชียร ที่วัดธาตุทอง นายเฉลิม อยู่วิทยา บิดาของนายวรยุทธ ได้เดินมาเคารพศพ พร้อมยกมือไหว้ขอโทษภรรยาและญาติๆ ของ ด.ต.วิเชียร พร้อมกล่าว ขอโทษจากใจสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมจะช่วยเหลือและรับผิดชอบทุกอย่าง และยินดีเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายทุกประการ โดยขณะนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการส่งข้อมูลของรถเฟอร์รารีไปถอดรหัสจากฐานข้อมูลที่ประเทศอิตาลี เพื่อตรวจวัดค่าความเร็ว โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์

ในเรื่องนี้ แม้นายวรยุทธยังไม่ได้ถูกนำตัวขึ้นศาล แต่ดูเหมือนว่าประชาชนบนโลกไซเบอร์ต่างพากันเชื่อว่า คงไม่มีบทลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม เช่นเดียวกับคดีที่นามสกุลคนดังที่ผ่านมาอย่าง น.ส.แพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่มีคำพิพากษารอลงอาญา โทษฐานขับรถด้วยความประมาทและไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 9 ศพ ในปี 2553 และห้ามขับรถจนกว่าอายุ 25 ปี หรือแม้กระทั่งกรณีของนายดวงเฉลิม อยู่บำรุง ลูกชาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็ได้รับการชำระคดีในปี 2547 โทษฐานยิงตำรวจชั้นผู้น้อยรายหนึ่งเสียชีวิตในสถานบันเทิง เพราะเหตุผลที่ว่าหลักฐานไม่เพียงพอ และถึงแม้ในตอนนั้นนายดวงเฉลิมจะถูกปลดออกจากราชการฐานละทิ้งหน้าที่ เพราะหลบหนีการจับกุมไปประเทศมาเลเซีย แต่อีกไม่กี่ปีต่อมาก็มีการคืนยศให้ตามเดิม

“ว่าแล้ว นี่แหละประเทศไทย ถ้าลูกหลานทำผิดก็ปกป้องกันสุดฤทธิ์สุดเดช ลูกหลานก็ได้ใจ เลยพากันทำผิดเรื่องที่ผิดจนเป็นนิสัยถาวร คนมีเงิน บทลงโทษทางกฎหมายมีไว้สำหรับพวกคนจนคนเงินน้อยเท่านั้น”

“คนตายอย่างทรมานด้วยความประมาทของคนรวย จะเรียกร้องความเป็นธรรมได้แค่ไหน ตำรวจอนาคตสดใสต้องมาตายเช่นนี้ นายใหญ่จะจัดการอย่างไร อำนาจเงินมันทำให้คดีพลิกหรือไม่ จะคอยดู”

“ผู้ทำผิดรับสารภาพ ยินดีชดใช้ทางแพ่งทุกอย่าง นั่นแสดงว่า ถ้าศาลตัดสินโทษทางอาญา เขาก็จะได้รับโทษเพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนโทษทางแพ่งขึ้นอยู่กับฝ่ายเสียหายว่าจะเรียกเท่าไหร่ เราอ้างถึงความไม่เท่าเทียม มองด้วยความเป็นธรรม มันไม่เท่าเทียมตรงไหนกันหละ อยากให้ลูกคนรวยติดคุกเพื่อเราได้สะใจใช่ไหม เห็นทีต้องแก้กฎหมายแล้วหละครับ การประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยหลักการโทษโทษมันก็ย่อมน้อยกว่าเจตนาฆ่าอยู่แล้ว คนขับติดคุกผู้ตายก็ไม่ได้ฟื้นขึ้นมา ทางที่แก้ปัญหาหรือเยียวยา คือต้องจ่ายค่าเสียหายให้เหมาะสมกับทางญาติน่าจะดีกว่า ถ้าเป็นไปได้เรียกให้สูง ๆ ไปเลย”

“ผมรู้ว่าทุกคนคงจะคิดเห็นเป็นเสียงเดียวกันในเรื่องนี้ แต่ลองมองเป็นกลางนะครับ ตอนนี้คนขับเค้าก็ออกมารับผิดทุกอย่างแล้ว อีกทั้งเหตุการณ์แบบนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดหรอกครับ ทุกครอบครัวก็ต้องปกป้องคนที่ตัวเองรักเป็นธรรมดา เราอย่าไปซ้ำเติมและพูดกันในประเด็นต่างๆ เลยครับ เพราะผมว่ามันกระทบกับหลายฝ่าย ทั้งผู้เสียหาย ผู้กระทำผิด แต่ยังไงก็ต้องเห็นใจ ด.ต.ที่เสียชีวิตไปด้วยนะครับ ขอให้กำลังใจกับครอบครัวเขาด้วย”

“คำขวัญของกระทิงแดงวันนี้ ‘ตำรวจมีไว้ พุ่งชน’ ”

เรื่องที่สอง เกิดเป็นกระแส เมื่อมีการส่งข้อความต่อกันในเว็บไซต์ต่างๆ ถึงประเด็นที่มีการอ้างว่า วัดพระธรรมกาย มีการขอออกโฉนดที่ธรณีสงฆ์ ณ เกาะดอนสวรรค์ กลางบึงหนองหาร จ.สกลนคร โดยในข้อความกล่าวไว้ว่า

“เกาะดอนสวรรค์ที่เป็นสมบัติของพี่น้องชาวสกลนครมาช้านาน แต่วันนี้ “วัดพระธรรมกาย” ได้ยื่นขอขึ้นทะเบียนวัดดอนสวรรค์ เป็นวัดร้าง พร้อมทั้งขอออกโฉนดจำนวน ๘๕ ไร่ ให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ ครอบครองโดย “ธรรมกาย” บ่ายวันนี้พี่น้องชาวบ้านท่าวัดได้มาแจ้งให้รู้ว่า เขาออกไปหาปลาตามวิถีชีวิตปกติ แต่ไม่สามารถพักที่เกาะดอนสวรรค์ได้ เนื่องจากมีพระจากธรรมกายมาอยู่เต็มไปหมด ที่สำคัญเห็นป้ายประกาศแจ้งไว้ว่า กำลังดำเนินการออกโฉนดให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ หากใครมีความประสงค์จะคัดค้าน ขอให้ยื่นภายในวันที่ 6 กันยายนนี้ หากไม่มีผู้คัดค้าน จะดำเนินการออกโฉนดให้ภายในวันที่ 9 กันยายนนี้”

เกาะดอนสวรรค์ ที่มาภาพ: http://news.mthai.com
เกาะดอนสวรรค์ ที่มาภาพ: http://news.mthai.com

และเมื่อวันศุกร์ที่ 7 กันยายน ที่ผ่านมา กลุ่มผู้แทนองค์กรพิทักษ์หนองหารกว่า 50 คน ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพื่อคัดค้านกรณีจะออกโฉนดที่ดินบนเกาะดอนสวรรค์เป็นธรณีสงฆ์ให้วัดธรรมกายจำนวน 105 ไร่ และให้นักเรียน นักศึกษา นำใบปลิวเดินแจกจ่ายทั่วจังหวัดเพื่อให้ประชาชนที่รักธรรมชาติรับรู้ถึงเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ยังทำป้ายคัดค้านไปติด 4 มุมเมืองของจังหวัด พร้อมกับจะทำหนังสือแจ้งไปยังที่ดินจังหวัดสกลนคร เพื่อให้ยับยั้งการออกเอกสารสิทธิ์ดังกล่าว

ทั้งนี้ เกาะดอนสวรรค์ถือเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่สุดของบึงหนองหานซึ่งยังมีความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะต้นยางนาอายุนับร้อยปีหลายร้อยต้น โดยที่ผ่านมามักเป็นที่เล่นสงกรานต์ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีโบสถ์เก่าตั้งอยู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นวัดหรือมีการประกาศให้เป็นพื้นที่วัดมาก่อน

ทางด้านวัดพระธรรมกาย ได้มีการออกเอกสารคำชี้แจงต่อกระแสข่าวนี้ว่า “จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า วัดดอนสวรรค์ ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะดอนสวรรค์ ในบึงหนองหาร จ.สกลนคร เป็นวัดร้าง และยังคงเป็น “ที่วัด” และ “ที่ธรณีสงฆ์” ตราบจนถึงปัจจุบัน ที่ทางคณะสงฆ์ จ.สกลนคร และทางราชการ กำลังปรับปรุงให้เป็นวัดที่มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาอยู่ เพื่อแก้ไขปัญหาวัดร้างตามนโยบายของทางการคณะสงฆ์ส่วนกลางและทางราชการ วัดพระธรรมกายขอชี้แจงว่า เรื่องการยกฐานะจากวัดร้างเป็นวัดที่มีภิกษุจำพรรษาอยู่นั้น เป็นสิทธิของทางคณะสงฆ์ จ.สกลนครเอง และกรณีความคิดเห็นเรื่องการจัดการพื้นที่ที่แตกต่างกันไปนั้น เป็นเรื่องผลประโยชน์ของบรรพชิตและคฤหัสถ์ในจังหวัดสกลนครเอง ไม่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายแต่ประการใด”

“นี่หรือที่เรียกว่า ธรรมกาย = ผู้มีธรรมเป็นกาย ‘แล้วใจท่านทำด้วยอะไร?’ ”

“ธรรมกายต้องการสร้างอาณาจักร แผ่ไปทั่วประเทศ จุดมุ่งหมายคืออะไรกันแน่ ??”

“ก็พระที่อยู่ท่านก็อยู่วัด เป็นธรณีสงฆ์อยู่แล้วนี่ แล้วมาตีข่าวเพื่ออะไร เป้าหมายโจมตีวัดพระธรรมกาย อะไรเป็นธรรมกายไม่ได้ ฟังไม่เข้าหู ผิดถูกไม่รู้ ไม่ยอมไว้ก่อน เป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบความไม่ยุติธรรม เรียกมาคุยสองฝ่ายดีกว่าว่าเขาฝ่ายเดียว น่าจะยุิติธรรมกว่านะ”

“น่าจะมีข่าวดีๆ แบบนี่บ้างนะ เช่น วัดธรรมกายขอสละ พื้นที่ดอนสวรรค์เพื่อเป็น ของขวัญให้กับคนชาว จังหวัดสกลนคร แบบนี่นะได้ใจเลยนะ”

“เอาใจช่วยชาวสกลครับให้ช่วยกันต่อต้าน ไม่ให้ใครมาทำลายวิถีชาวบ้าน มาทำลายธรรมชาติ มาเบียดเบียนสัตว์ ใช้เป็นที่อาศัยแท้ที่จริงมันเป็นแค่ธุรกิจ ที่เอาศาสนามาบังหน้า บิดเบือนคำสอนของพุทธศาสนาเอาความเชื่อที่ผิดมาเป่าหัวคนบางกลุ่ม เพื่อบริจาคเข้ากระเป๋า”

เรื่องที่สาม ทำเอาชาวกรุงเทพมหานครลุ้นกันตัวโก่ง กับมาตรการที่ทางรัฐบาลให้มีแผนการทดลองระบายน้ำในเขตกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 5–7 กันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าจะมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 5 กันยายน ซึ่งเป็นวันแรกของการทดสอบการระบายน้ำฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานคร แม้จะมีฝนตกลงมาในช่วงเย็น แต่การทดสอบก็ผ่านพ้นไปด้วยดี

จนเมื่อวันที่ 6 กันยายน หลายพื้นที่เกิดฝนตกหนักตั้งแต่เช้า และตกอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันถึงช่วงมืด ปริมาณฝนในพื้นที่พระนครรวมกันกว่า 60 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้หลายพื้นที่มีน้ำท่วมขัง จนทำให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต้องรีบทำการปรึกษากับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) และร่วมวิเคราะห์ถึงสถานการณ์น้ำและจัดสรรน้ำ จนได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ให้ยุติการทดสอบระบบระบายน้ำ เนื่องจากระดับน้ำในคลองต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังคงมีการทดสอบระบบระบายไว้ 1 จุด คือ คลองลาดพร้าว ด้วยการเปิดเครื่องผลักดันน้ำและเรือผลักดันน้ำ 3 จุด ที่ประตูระบายน้ำซอยลาดพร้าว 56 หน้าบริษัทยาคูลท์ และถนนประเสริฐมนูกิจตัดคลองลาดพร้าว ซึ่งได้ทดสอบระบบเครื่องผลักดันน้ำและเรือผลักดันน้ำตลอดแนวคลองลาดพร้าว โดยไม่มีการเปิดประตูน้ำแต่อย่างใด

ที่มาภาพ: http://www.siamsafety.com
ที่มาภาพ: http://www.siamsafety.com

อีกทั้งยังยืนยันว่า ระบบระบายน้ำของกรุงเทพมหานครทำงานได้ตามปกติ สามารถระบายน้ำที่ท่วมขังได้หมดภายในเที่ยงคืน รวมทั้งอุโมงค์พระราม 9 อุโมงค์มักกะสัน และสถานีสูบน้ำคลองบางซื่อ ก็ทำงานด้วยความเรียบร้อย สำหรับการทดสอบในครั้งต่อไป คงต้องให้ กบอ.เป็นผู้ตัดสินใจต่อไป

“เป็นอย่างไรบ้างละ เห็นหรือยังว่าคนของประชาชนทำอะไรก็เพื่อประชาชน ขอให้กำลังใจขอให้บริหารงานไปนานๆ อยากจะรู้นักว่าบ้านนี้เมืองนี้จะดีขึ้นหรือไม่ มีหรือจะไม่ดีขึ้นต่อเมือประชาชนทุกคนเห็นใจและให้ความร่วมมือไม่นานก็คงเห็นและคงก้าวตามประเทศอื่น ๆ ที่เจริญแล้ว ครับท่าน”

“ถ้าจำไม่ผิดก่อนน้ำท่วม กทม. ครั้งที่แล้ว หม่อมก็บอกว่าไม่ท่วมไม่ใช่หรอครับ แล้วถ้าคราวนี้ท่วมอีกจะรับผิดชอบไหวเหรอครับ ผมในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ไม่ได้โทษคนใดคนหนึ่ง แค่อยากจะบอกว่ากรุณาให้ข่าวตามความเป็นจริงด้วยครับ จะได้รับมือกันทันท่วงที อย่าให้เกิดเหตุการณ์เดิมๆ อีกเลยครับ”

“น้ำท่วมจะถึงหน้าแข้งแล้ว เพิ่งจะรู้สึกว่าควรหยุดปล่อยน้ำเหรอคะ แล้วบอกได้ไงว่าระบบระบายน้ำยังดี แล้วที่มันท่วมขังอยู่ คืออะไรคะ ไม่เข้าใจ”

“ระบบระบายน้ำมันจะดีแค่ไหน แต่ท่อตันมันก็ท่วมอยู่ดีครับ ไปลอกท่อ ลอกคลอง กำจัดขยะที่ทำให้ท่อตัน เพื่อให้น้ำไหลลงสู่คลองโดยเร็วเป็นลำดับแรก แล้วจึงเร่งสูบน้ำลงสู่ทะเลเป็นลำดับสอง ทำด่วนเลยครับ”

“ที่จริงมันไมได้อยู่ที่ กทม. หมดนะ ขึ้นอยู่กับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาด้วยว่าปฏิบัติตามหน้าที่ไหม อย่างถนนรัชดาภิเษกเขาก็ขุดลอกอุโมงค์ยักษ์น่ะอยู่หลายวัน / ในซอยบ้านที่บริเวณน้ำท่วมเขาก็ขุดลอกน่ะ / แต่ตรงบริเวณคลองที่มีการสำรวจจะดำเนินการขุดลอกคลองว่ามีที่ถมเอาดินขึ้นไหม ปัจจุบันยังไม่เห็นเห็นขุดแค่ปลูกหญ้าแฝกกันหน้าดินทลายซึ่งยังมองว่าทำไมไม่ขุดดินขึ้นมาก่อนและปลูกอีกทีกันดินทลายแต่มาปลูกและบอกตามโครงการพระราชดำริใช่โครงการในหลวงจริง แต่ถ้าในหลวงท่านบอก น่าจะขุดก่อนปลูกไม่ใช่ปลูกแล้วไม่ขุด ปัจจุบันน้ำเต็มตลิ่ง จากประสบการณ์บ้านที่โค้งสุดท้ายนำคลองบางซื่อเป็นสถานที่รับน้ำกลั้นน้ำเข้าชั้นใน เมื่อมันกลั้นได้ก็น่าจะให้ความสำคัญคลองนี้พอสมควร”

เรื่องที่สี่ จากกรณีที่ นายเสน่ห์ จิตศรัทธา ที่เชื่อว่า นางทิพวรรณ จิตศรัทธา ภรรยาของตนที่มีอาการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและหายตัวไปตกบ่อจระเข้เสียชีวิต โดยให้เหตุผลว่าภรรยามาเข้าฝันบรรดาญาติอยู่หลายครั้ง อีกทั้งยังมีพยานที่เป็นเพื่อนบ้านระบุว่า นางทิพวรรณกระโดดบ่อจระเข้จนถูกกัดกินเสียชีวิตแล้ว

แต่เมื่อได้ทำการประสานงานกับนายอุเทน ยังประภากร กรรมการผู้จัดการบริษัทฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ เพื่อขอทำพิธีเชิญวิญญาณ ณ บริเวณที่นางทิพวรรณโดดบ่อจระเข้จนเสียชีวิต แต่ทางนายอุเทนกลับยืนยันว่าไม่เคยมีคนตกบ่อจระเข้ และไม่อนุญาตให้ทำพิธีกรรมการเชิญวิญญาณ

ที่มาภาพ: httpwww.bsnnews.comnewsindex.phpNewsID=22118
ที่มาภาพ: httpwww.bsnnews.comnewsindex.phpNewsID=22118

โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 7 กันยายน ที่ผ่านมา นายเสน่ห์ ผู้เป็นสามี พร้อมด้วยญาติ เดินทางมาที่หน้าฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์จังหวัดสมุทรปราการ ตรงกำแพงด้านหน้าที่มีรูปจระเข้ เพื่อนำรูปนางทิพวรรณมาประกอบพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณ โดยนิมนต์พระอาจารย์เคน เควะธัมโม จากวัดโพธิยาราม หรือวัดทองคง มาสวดประกอบพิธีทางศาสนา พร้อมกับได้นำสายสิญจน์ไปผูกกับตนไม้ซึ่งอยู่ในกำแพงของฟาร์มจระเข้ โยงมาผูกกับรูปนางทิพวรรณตามความเชื่อในการเรียกวิญญาณ ใช้เวลาในการทำพิธีประมาณ 20 นาที

ทั้งนี้ ทางตำรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบปากคำพยานไปแล้วประมาณ 10 ปาก และพนักงานของฟาร์มจระเข้ที่ขายซี่โครงไก่อยู่ใกล้บ่อจระเข้ ได้ดูจากภาพวงจรปิดพบว่ามีชาย 1 คน และหญิง 1 คน ที่เป็นนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยว ได้เห็นเหตุการณ์และยังมาบอกกับตนว่าเห็นคนตกบ่อจระเข้ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบว่า ชายหญิงดังกล่าวนั้นเป็นใคร และหากชายหญิงทั้งคู่เห็นเหตุการณ์จริง ก็อยากมาให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเป็นประโยชน์กับรูปคดี

โดยล่าสุด มีผู้พบข้อมูลในการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ใช้ชื่อว่า Mameaw Rasainasinth ของนักท่องเที่ยวรายหนึ่ง ซึ่งอ้างว่าได้เข้าไปเที่ยวในฟาร์มจระเข้ โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2555 หลังจากเกิดเหตุซึ่งขณะนั้นยังไม่เป็นข่าว โดยข้อความระบุว่า “เมื่อวานไปเที่ยวฟาร์มจระเข้มา กำลังเดินอยู่ได้ยินเสียงเหมือนอะไรตกลงไปในบ่อ พอหันไปดู เป็นสาวโรงงานกระโดดลงไปในบ่อ ภาพที่เห็นคือจระเข้กำลังกัดและสะบัดร่างไปคนละทาง นางใจกล้ามากที่ฆ่าตัวตายแบบนี้ เห็นแล้วเจ็บแทน” ซึ่งมีผู้พยายามติดต่อไปยังเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้

“สงสัยอย่างนึง ทำไมไม่มีคนเห็นว่าโดดลงไป เพราะเวลานั้นคนต้องเยอะพอสมควร ทำไมไม่มีเลือด เสื้อผ้า หรือชิ้นส่วนใดๆในบ่อเลย”

“ผมว่าเรื่องจะง่าย ถ้าเจ้าของฟาร์มเอาเทปวงจรปิดว่าภรรยาของพี่เค้าเดินออกมาจากบ่อ ทุกอย่างจะจบ แต่ก็ยังหาไม่ได้นี่ครับ ถ้าเป็นผมจะให้เค้าไปทำพิธีซะ ทุกอย่างก็จบ แถมได้หน้ากับการตลาดอีกต่างหาก ส่วนคนที่นั่งอยู่เค้าคงไม่แคร์หน้าแตกหรอกครับ อย่างน้อยเค้าก็สบายใจ”

“ถ้าเค้าทำแล้วสบายใจก็ให้เค้าทำเถอะ เจ้าของฟาร์มก็ใจร้ายนะ คนเค้ามีความทุกข์ ที่เชื่อว่าเมียเค้าตายแล้วยังไม่พอ แต่คุณยังทำให้เค้าทุกข์เพิ่มขึ้นอีก เจ้าของฟาร์มเองก็จะได้พิสูจน์ความจริงไปด้วย”

“เจ้าของใจร้ายมาก เขาไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย แค่ขอเข้าไปทำพิธีเชิญวิญญาณก็จบ จะไม่ไปเที่ยวฟาร์มจระเข้ของคุณตลอดไปเลย”

“ถ้าอยู่ที่ประเทศอื่นเจ้าของฟาร์ม มันไม่ได้มานั่งแก้ตัวอย่างนี้หรอก ในเมื่อฟาร์มคุณมีการรักษาความปลอดภัยที่ละหลวมมาก ก่อนอื่นคงต้องปิดฟาร์มก่อน แล้วตรวจสอบข้อเท็จจริง”

เรื่องที่ห้า มีคำถามเกิดขึ้นในออนไลน์ทันทีที่มีข่าวเล็ดลอดออกมา ถึงแนวความคิดที่จะยกเลิกโครงการก่อสร้างรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต ทั้งนี้ พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ให้เหตุผลว่า สาเหตุที่มีแนวคิดจะยกเลิกเนื่องจากเห็นว่าเป็นการลงทุนในเส้นทางทับซ้อนกับส่วนต่อขยายแอร์พอร์ตลิงค์ ช่วงพญาไท-ดอนเมือง ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยควรจะเน้นการลงทุนไปยังส่วนต่อขยายแอร์พอร์ตลิงค์ ไม่จำเป็นต้องมีรถไฟฟ้าสายสีแดงเพิ่มเติม

รถไฟฟ้าสายสีแดง ที่มาภาพ: http://pics.manager.co.th
รถไฟฟ้าสายสีแดง ที่มาภาพ: http://pics.manager.co.th

ทั้งนี้จะมีการพูดคุยหารือกับผู้รับเหมาที่ประกวดราคาไปแล้ว และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าจะสามารถยกเลิกโครงการได้หรือไม่ ส่วนการสั่งซื้อรถไฟฟ้าใช้งานในเส้นทางรถไฟสายสีแดง ที่ขณะนี้โครงสร้างพื้นฐานเสร็จแล้ว ก็อาจต้องรอให้สร้างสถานีกลางบางซื่อให้เสร็จก่อน ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกระยะ เพราะจะต้องรอการตกลงเรื่องการสร้างส่วนต่อขยายแอร์พอร์ตลิงค์มาดอนเมืองให้เรียบร้อยก่อน

“โอ๊ย!! ทำไงก็ได้ทำเพื่อประชาชนตาดำๆ ขอร้องล่ะ คนเดินดินมิมีทางสู้รอพวกท่านตัดสินชะตากรรม ลองมาใช้รถสาธารณะสิ ว่ามันลำบากขนาดไหน มันคุ้มหรือไม่”

“ภาษีไปคืนให้รถส่วนบุคคลคันแรกไปหมดแล้ว ไม่มีเงินทำขนส่งมวลชนแล้ว ใช่มั๊ย”

“ตามความเห็น รถไฟฟ้าดีกว่าครับ เพราะแถบ รังสิตไม่ใช่ไม่มีคนนะครับ เอาแค่ระยะทางจาก ม.เกษตร ไปถึง ม.ธรรมศาสตร์ มีจำนวนนักศึกษาก็เยอะแล้วนะครับ แถมพนักงานที่ทำงานแถวลาดพร้าวก็ยังได้ใช้ประโยชน์จาก รถไฟฟ้าได้อีก แอร์พอร์ตลิ้งก็เอาแต่รถไฟตกรุ่นมาใช้คุ้มแล้วหรือครับ”

“แล้วสโตนเฮนจ์ที่ดอนเมืองหล่ะ อย่าบอกนะว่าจะรื้อทิ้ง เสียดายลูกหลานจะไม่ได้เห็นอนุสรณ์การคดโกงชาติ เอาไงก็เอาให้ชาวรังสิตดอนเมืองได้มีสิทธิ์นั่งหรือโหนรถไฟฟ้ากับเขาเสียที จะรถไฟความเร็วสูงกลางต่ำก็ได้ที่มันดีกว่ารถไฟ บุโรทั่งมีเหลือบไร ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง”

“มันเป็นแค่แนวคิด อย่าไปตกใจอะไรกันให้มากเลยนะคนไทยครับ”