ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ — คำโกหกสีขาวของ “กิตติรัตน์” และ ภาษีดาราของ “พลอย เฌอมาลย์”

ประเด็นฮอตในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ — คำโกหกสีขาวของ “กิตติรัตน์” และ ภาษีดาราของ “พลอย เฌอมาลย์”

1 กันยายน 2012


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 26 ส.ค. – 1 ก.ย. 2555

เรื่องแรก สัปดาห์นี้ประเด็นการเมืองร้อนแรง เริ่มกันที่เรื่องที่เขาเรียกกันว่า “white lie -โกหกสีขาว” จากการที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเคยกล่าวเกี่ยวกับตัวเลขส่งออกที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 15 ซึ่งสวนทางกับตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่คาดว่าเติบโตเพียงร้อยละ 7.3 โดยบอกว่าเป็น”white lie” หรือการ “โกหกสีขาว” ตามมาตรฐานสากล

ทำให้เกิดกระแสคัดค้าน เมื่อพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ โต้ว่าการทำงานระดับผู้บริหารประเทศต้องพูดแต่ความจริงเท่านั้น การโกหกเป็นการหลอกลวงประชาชน เป็นสิ่งไม่ดี แล้วจะเป็นสีขาวซึ่งเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ได้อย่างไร และในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล แม้จะมีเจตนาบริสุทธิ์ในการพูดโกหกสีขาว แต่การใช้คำพูดที่ใช้สื่อสารต่อสาธารณะลักษณะนี้ อาจเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก

ทั้งนี้ จากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้กำหนดค่านิยมหลักของข้าราชการการเมือง ซึ่งก็คือนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และข้าราชการการเมืองอื่นๆ ต้องยึดมั่นหลัก 9 ข้อ โดยข้อ 2 ระบุว่า “ยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรม” และข้อ 7 “ให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนอย่างครบถ้วน ถูกต้อง และไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง” นอกจากนี้ยังกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมว่า “ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบจริยธรรม คุณธรรม และศีลธรรม ทั้งโดยส่วนตัวและโดยหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสาธารณชน ทั้งต้องวางตนให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชน”

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่มาภาพ: httpwww.kittiratt.com
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่มาภาพ: httpwww.kittiratt.com

ทำให้มีการลงความเห็นว่า นายกิตติรัตน์สมควรลาออกจากตำแหน่งหรือไม่ หรือไม่ก็ควรออกมาขอโทษประชาชน เพราะการกระทำเช่นนี้อาจทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนหมดไป

กรณีที่เกิดขึ้นนี้ ทางฝ่ายค้านมีการยืนยันให้นายกิตติรัตน์ออกมาชี้แจง หรือไม่ก็ต้องเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา เป็นผู้มาชี้แจงแทน เพราะมีข่าวมาว่า ล่าสุด นายกิตติรัตน์ไม่สามารถออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวได้ในสัปดาห์นี้ อ้างว่าต้องเดินทางไปประชุมรัฐมนตรีเอเปกที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นกำหนดการที่วางไว้ล่วงหน้า ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการตอบกระทู้ จึงขอเลื่อนชี้แจงเรื่องทั้งหมดไปเป็นสัปดาห์หน้าแทน

“โกหกแล้วได้เป็นรัฐมนตรี เป็นสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติ เยาวชนไทยควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง (หรือ?) ครับท่าน!! (-“-) ”

“ถ้าไม่จัดการ ก็เท่ากับส่งเสริม อีกหน่อยเมื่อมีการโกหก หลอกลวงชาวบ้าน หรือเลี่ยงภาษี ก็จะอ้างคำพูดของ รมต คนนี้ ว่าเป็นโกหกสีขาวครับ แล้วมันจะดีเหรอ ผู้นำทำเป็นตัวอย่างเช่นนี้”

“หากผู้บริหารประเทศมีแต่คนโกหก ทุกอย่างมันจะแย่นะครับ รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก ก็ยังออกมาพูดดูน่ายกย่องว่าเป็นสีขาวได้อีก”

“ผมว่าเรื่องโกหกเป็นเรื่องธรรมดาของรัฐบาลชุดนี้นะ เพราะไม่มีเรื่องจริงสักเรื่องที่พูดมา”

“นายกฯ ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ว่าคุณ กิตติรัตน์ ณ ระนอง โกหกเป็นเป็นเจตนาดี = ว่านายกไห้รัฐมนตรีพูดโกหกประชาชนฟังทุกวันทุกเรื่อง = ทุกวันนี้ประชาชนโดนลอกรายวันจากรัฐบาลนะซิ โอ้ตาสว่างเลยครับ”

“ไม่แปลกใจอะไรที่รัฐบาลชุดนี้ออกมายอมรับว่าโกหก เพราะรัฐบาลชุดนี้โกหกมาตั้งหลายเรื่องแล้ว”

เรื่องที่สอง ผิดครั้งแรกให้อภัย ผิดครั้งที่สองต้องพิจารณา แต่ผิดซ้ำๆ ซากๆ นี่ก็ไม่ไหว เพราะเกินจะเยียวยา ล่าสุด สร้างความน่ารำคาญและเสียงบ่นกันทั่วเมืองอีกแล้ว กับเครือข่ายค่ายโทรศัพท์ DTAC ของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่สัญญาณล่มไม่เป็นท่าในบางช่วงเวลาของวันอังคารที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา สร้างความรำคาญและหงุดหงิดใจให้ผู้ใช้บริการ จำนวนมาก

จากปัญหาในครั้งนี้ กสทช. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำหน้าที่พิจารณาค่าปรับแก่ดีแทค พร้อมทั้งบอกว่า ครั้งนี้จะไม่มีการเตือนอีกแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการเตือนไปทุกครั้ง รวมทั้งครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 5 ในรอบปีนี้ โดยจะส่งหนังสือไปแจ้งค่าปรับทันที อาจจะ 20 -30 ล้านบาท หรืออาจสูงถึง 100 ล้านบาท ซึ่งทางดีแทคมีสิทธิอุทธรณ์ได้

เหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้บริโภคโทรศัพท์เข้ามาร้องเรียนจำนวน 104 ราย แบ่งได้ 2 ประเด็น คือ 1. จุดที่ผู้บริโภคอยู่นั้นไม่สามารถใช้บริการได้ พบว่ามีหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ในส่วนของพื้นที่เขตบางนา ตลาดนวลจันทร์, ดินแดง-ห้วยขวาง, ซอยสายลม, มักกะสัน, บางแค, สามเสน, เขตพัฒนา, เขตบางรัก, รามอินทรา 103, สุขาภิบาล 5, แจ้งวัฒนะ, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, สนามบินสุวรรณภูมิ, ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์, เขตพญาไท และเพลินจิต ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัด ได้แก่ สงขลา, ชลบุรี, พัทยา, นครปฐม, ภูเก็ต, สมุทรปราการ, ระนอง, ปทุมธานี, นนทบุรี และราชบุรี

และ 2. ไม่สามารถรับการเยียวยาตามมาตรการของดีแทคได้ เพราะดีแทคให้การเยียวยาเฉพาะผู้ที่โทรศัพท์เข้าไป ซึ่งมาตรการนี้เป็นการสร้างภาระให้แก่ผู้บริโภคและตัวเอง ทั้งที่ดีแทคก็ทราบอยู่แล้วถึงความครอบคลุมของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและสามารถเยียวยาได้ทันที นับว่าดีแทคมีมาตรการในการเยียวยาผู้บริโภคที่ตกต่ำลง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ดีแทคให้การเยียวยาโดยอัตโนมัติทันที แต่ครั้งนี้กลับสร้างเงื่อนไขมากมาย ทำให้เกิดปัญหาจนผู้บริโภคร้องเรียนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ทางฝ่ายของ ดีแทค ได้ส่งผู้แทนเข้าพบกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อชี้แจงถึงปัญหา ซึ่งเบื้องต้น ดีแทคจะยอมจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบในครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2554 มีลูกค้าได้รับผลกระทบกว่า 20 ล้านราย เป็นมูลค่า 300 ล้านบาท ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2555 มีลูกค้าได้รับผลกระทบกว่า 1.8 ล้านราย คิดเป็นมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท และครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2555 มีลูกค้าได้รับผลกระทบกว่า 2 ล้านราย คิดเป็นมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท รวมทั้ง 3 ครั้ง เบ็ดเสร็จแล้ว ดีแทคต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกค้ากว่า 400 ล้านบาท

การชดเชยทั้ง 3 ครั้ง น่าจะเป็นธรรมแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้ดีแทคระบุว่า ครั้งที่ 3 ที่เครือข่ายล่ม ดีแทคจะไม่จ่ายชดเชย เนื่องจากเกิดปัญหารถบรรทุกชนชุมสาย และเกิดเหตุไฟไหม้ นับว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ส่วนการจ่ายเงินนั้น สำหรับลูกค้าแบบเติมเงิน จะคืนเงินในช่วงเวลา 48 ชั่วโมงที่เครือข่ายล่ม และสำหรับลูกค้าแบบรายเดือน จะนำค่าใช้จ่ายนั้นเป็นเครดิตในรอบบิลเดือนถัดไป

ที่มาภาพ: httphitech.sanook.com1022538dtac
ที่มาภาพ: httphitech.sanook.com1022538dtac

สำหรับการชดเชยค่าเสียโอกาส ต้องให้ สคบ. เป็นผู้ยื่นเรื่องดำเนินการ เนื่องจากเป็นเรื่องทางแพ่ง และสาเหตุที่เครือข่ายล่มนั้น ในครั้งแรกเกิดจากการที่บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย ปรับระบบฐานข้อมูลของบริษัทใหม่ โดยคาดว่า น่าจะใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ ถึงจะปรับระบบซอฟต์แวร์เสร็จ แต่ในระหว่าง 6 สัปดาห์ นั้น กสทช. ได้สั่งไม่ให้ดีแทคโอนย้ายฐานข้อมูลลูกค้าเด็ดขาด และหากต้องการทำ จะต้องแจ้ง กสทช. เพื่อเตรียมแผนรับมือหากเกิดเหตุเครือข่ายล่ม

โดยทางดีแทค ได้ประกาศเพิ่มเติมผ่านเฟซบุ๊กของ DTAC เรื่องการขยายวันโทรรับสิทธิ์การชดเชยไปอีก 2 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม ถึงวันที่ 14 กันยายน 2555 เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการอย่างทั่วถึง

สำหรับลูกค้าแบบเติมเงิน: โทรฟรี 80 นาที ในเบอร์ดีแทค 5 ทุ่ม ถึง 5 โมงเย็น ใช้ได้นาน 7 วัน รับสิทธิ์ โทร. *10250

สำหรับลูกค้าแบบรายเดือน: โทรฟรีทุกเครือข่าย 100 นาที ใช้ได้นาน 30 วัน หรือใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่จำกัด นาน 7 วัน รับสิทธิ์โทร. *1737

“DTAC ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก มันต้องชดเชยให้ทุกเบอร์อยู่แล้ว แค่ส่ง SMS ไปที่มือถือลูกค้า แล้วให้ลูกค้าส่ง SMS กลับ เลือกเลย 1. ฟรี 100นาที 2. ฟรีเน็ต 7 วัน มันให้คนโทรเข้าอย่างนี้ แอบเอาเปรียบด้วย เพราะคนไม่ได้โทรเข้าไป หรือโทรไม่ติด มันก็ไม่ต้องชดเชยเขา ย้ายเครือข่ายมันเลยดีมั้ย อีกเรื่องระบบที่ดีต้องมีระบบหลัก และ ระบบสำรอง DTAC มีแต่ระบบหลักอย่างเดียว วิศวกรระบบของคุณทำได้แค่นี้เหรอ ดีแตก ชัดๆ”

“โทรทั้งวันทั้งคืน ก็โทรไม่ติด สายไม่ว่าง หมายความว่าอย่างไร บริษัทคิดหาเงินค่าโทรเป็นค่าชดเชยการคืนเงิน หรือค่าปรับ บอกมาเดือดร้อนมากจากการบริการที่ไม่เอาไหน ดีแต่ดูดเงินประชาชน”

“สมัครเน็ตตั้งแต่ 2 ทุ่ม ไม่มีข้อความ สมัครใหม่อีกรอบตอน 3 ทุ่ม ไม่มีข้อความเข้า สมัครหลายรอบ สุดยอดดดมากๆ ข้อความเข้าตอน 5 ทุ่มครึ่ง แล้วสมัครเน็ตตอนนี้จะเล่นทันรึงัย 6 ช.ม. ยังหักตังค์ค่าเน็ตอิก เพื่ออะไร มีเวลาให้เล่นได้แค่ครึ่งชั่วโมง”

“ทุกคนต่างมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น มองโลกในแง่ดี มือถือใช้ไม่ได้ ก็โทรตู้สาธารณะซิ แก้ปัญหากันไป อย่าเอาแต่ใจตัวเองมากนัก เค้าก็ชดเชยให้นิ บางคนไม่ได้ใช้งาน วีนที่ระบบล่ม ก็ยังได้รับค่าชดเชยเลย เอาใจเขามาใส่ใจเรา มั๊ง!นะ คนเรา”

“อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ ค่ายอื่นอย่างทรูเน็ตก็เน่า สัญญาณหาย หลุดบ่อย วันนี้สัญญาณก็ล่มตอนบ่าย ทำไมไม่เห็นเป็นข่าว และไม่เห็น กสทช.จะไปตรวจสอบเลย ทำอะไรอย่าสองมาตรฐาน แล้วออกข่าวมาได้ว่ากระทบเบอร์ลูกค้า 130 ล้านเลขหมาย คนไทยมี 60-70 ล้านคน แล้วยังมีส่วนแบ่งการตลาดรองจาก AIS จะกระทบ 130 ล้านหมายเลขได้ไงจ๊ะ งงกับข่าว ทางผู้บริหารดีแทคเค้าให้ข่าวว่ากระทบลูกค้าดีแทคบางหมายเลขแค่ 20% และชดเชยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ กดยืนยันอะไรซักอย่างลองโทรถาม *1678 เค้าให้โทรฟรี 80 ชั่วโมง ลองไปหาอ่านดูนะ ยังไงก็รักดีแทคเหมือนเดิม”

เรื่องที่สาม เกิดอาการหนาวๆ ร้อนๆ กันไปทั้งวงการบันเทิง จากเรื่องการจ่ายค่าตัว จนเกิดเป็นการปะทะคารมกัน ลามไปถึงเรื่องของการ “จ่ายภาษี” สำหรับซุปตาร์สาว “พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์” กับออร์แกไนเซอร์แห่งหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยฝ่ายออร์แกไนเซอร์ได้มีการโพสต์ข้อความเชิงตำหนิดาราและนักแสดงคนหนึ่งว่าเป็นดาราชั้นเลว โดยไม่ได้เอ่ยนาม พร้อมบรรยายเรื่องราวและข้อความทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในการรับงานและความเรื่องมากของดาราสาวพร้อมผู้จัดการส่วนตัว แม้ไม่บอกชื่อ แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าคือสาวพลอย เฌอมาลย์

ทำให้สาวพลอยถึงกับอดรนทนไม่ไหว ด้วยความที่เป็นคนตรง พูดอะไรแรงๆ ไม่แคร์ใคร จึงออกมาโต้ตอบคำพูดทั้งหมดของออร์แกไนเซอร์ด้วยท่าทางและถ้อยคำที่เจ็บแสบ พร้อมบอกว่าเธอต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกเอาเปรียบ เพราะทางออร์แกไนเซอร์ จ่ายเงินค่าตัวของเธอไม่ครบ ทั้งยังมีหลักฐานเป็นเอกสารรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ค่าตัวของสาวพลอยด้วย ซึ่งต่อมาทางตัวแทนออร์แกไนเซอร์ออกมาแฉอีกว่า เอกสารรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งเป็นสำเนาบัตรประชาชนนั้นไม่ใช่ของพลอย เนื่องจากดาราสาวต้องการเลี่ยงภาษี จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง

ร้อนถึงกรมสรรพากรต้องมีคำสั่งด่วนให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด และขยายผลไปยังการจ่ายภาษีของดาราดังทุกๆ คน โดยจะไม่สองมาตรฐานอย่างเด็ดขาด รวมถึงได้เรียกบรรดาซูเปอร์สตาร์ที่พ่วงตำแหน่งเจ้าพ่อเจ้าเเม่พรีเซ็นเตอร์มาสอบถามเกี่ยวกับภาษีเงินได้ในแต่ละปี อาทิ อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ, ณเดชน์ คูกิมิยะ, ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์, ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต, แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์, เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ, โดม-ปกรณ์ ลัม, อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม, แอน ทองประสม เป็นต้น รวมทั้งพลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ ด้วย ทั้งยังเตรียมจัดสัมมนาให้ความรู้ดารา นักร้อง นักแสดง นักกีฬา และผู้ที่มีรายได้จากการถูกรางวัล ให้มีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง เป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม เพราะดาราเป็นกลุ่มบุคคลสาธารณะ และช่วงนี้มีข่าวดาราเสียภาษีไม่ถูกต้อง ดังนั้นน่าจะใช้โอกาสนี้เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเสียภาษีให้กับกลุ่มผู้เสียภาษี

พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ ขณะออกมาแถลงข่าวทั้งน้ำตา ที่มาภาพ: httpwww.naewna.comentertain20273
พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ ขณะออกมาแถลงข่าวทั้งน้ำตา ที่มาภาพ: httpwww.naewna.comentertain20273

สำหรับ กรณีของ “พลอย”เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ กับออร์แกไนเซอร์ ถึงแม้จะเปลี่ยนชื่อผู้รับเงินในใบภาษีหัก ณ ที่จ่ายเป็นชื่อของดาราอย่างถูกต้องแล้ว แต่ก่อนหน้านี้มีการโชว์หลักฐานว่ามีการส่งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนคนอื่นไปรับเงินแทน ดังนั้นคงต้องเรียกทั้งฝ่ายของดารา ฝ่ายออร์แกไนเซอร์ รวมถึงผู้ที่รับเงินแทนมาสอบสวน ซึ่งในการสอบสวนซึ่งถือเป็นหน้าที่ของสรรพากรพื้นที่ดูแลทั้ง 3 ฝ่าย

ตามหลักประมวลรัษฎากร มาตรา 37 ผู้ใด (1) โดยรู้อยู่แล้วหรือโดยจงใจแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะนี้ หรือ (2) โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะนี้ บทลงโทษทางอาญา คือ จำคุก ตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี ปรับตั้งแต่ 2,000-200,000 บาท สำหรับโทษทางแพ่งคือ ในกรณีที่ไม่ยื่นภาษี หรือยื่นภาษีไม่ครบ ถูกปรับ 1 เท่า พร้อมทั้งคิดดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือน ของภาษีที่ไม่ได้ชำระ นับตั้งแต่วันที่กระทำผิดจนถึงวันที่จ่ายชำระทั้งหมด

โดยล่าสุด สาวพลอยออกมากล่าวขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ตนได้ใช้คำพูดที่รุนแรง ไม่มีสติควบคุมอารมณ์ ด้วยสถานการณ์ตอนนั้นทำให้พูดโดยไม่ยั้งคิด สำหรับบริษัทแอบโซลูท ออร์แกไนเซอร์ คู่กรณี ต้องขอชะลอการทำงานไปก่อน เพราะไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนตกเป็นจำเลยของสังคม แต่สิ่งหนึ่งคือ อยากจะขอโทษที่พูดรุนแรง แม้จะเป็นนักแสดงแต่มีความรู้สึกเหมือนคนทั่วไป เมื่อโดนกระทำมาก็จำเป็นต้องโต้ตอบ แต่หลังจากนี้คงต้องควบคุมสติให้มากขึ้น

เรื่องนี้นอกจากสะเทือนไปทั้งวงการคนดังแล้ว ยังสร้างวลีฮิตล้อเลียนในโลกออนไลน์ให้ขำขันอันอีกด้วย “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียเถอะพลอยเฌอมาลย์” และ “หนีภาษีปะออแกไนเซอร์” เรื่องนี้คงเป็นบทเรียนที่ดีในการควบคุมอารมณ์และคำพูดได้มาก ยิ่งคนที่อยู่ในที่ๆ สื่อมีบทบาทเช่นนี้ อีกทั้งยังเตือนใจให้บรรดาคนดังรู้หน้าที่ในการเสียภาษี แม้จะดูมากมายกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป แต่ก็อย่าลืมว่ารายได้ที่พวกคุณได้มานั้น ก็มากมายเป็นกอบเป็นกำเช่นกัน

“สรรพากรควรพิจารณาให้เก็บภาษีของประเทศให้เกิดความเป็นธรรมที่สุดได้แล้ว เพื่อลดช่องว่างคนจน คนรวยที่นับวันจะห่างไกล สรุป 1.มนุษย์เงินเดือนคือผู้โชคร้ายที่สุดในประเทศ เสียภาษีเต็มเม็ด กำลังหลักที่โดนภาษีอย่างหนักน่าเวทนา แต่การลดหย่อนอันน้อยนิดส่วนบุคคล หรือ บิดามารดา กลับไม่สะท้อนความจริง แต่เอื้อประโยชน์ลดหย่อนตามยุคสมัย ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์ใดๆเลย 2.นิติบุคคล ยังสามารถเลี่ยงภาษีได้มากมาย และยังใช้วิธีลดเงินเดือนเพื่อประหยัด 3.บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้รับการส่งเสริมเสียภาษีน้อยกว่าใคร แต่ไม่มีข้อบังคับให้ส่งเสริมประโยชน์ให้มนุษย์เงินเดือนได้มาก 4.ผู้มีรายได้สูง ไม่เฉพาะดารา กลับใช้วิธีวางแผนภาษีในการหลบเลี่ยง อย่างถูกกม.ทั้งที่เจตนาคือเลี่ยงภาษี เช่นให้ ออร์แกไนซ์ออกภาษีแทน และหาบุคคลมารับภาษีแทนตัวเอง หรือจัดตั้งเป็นคณะบุคคลโดยไม่มีเหตุผล 5.ภาษีบาปจากที่ดินและมรดกคนรวยไม่เคยคืบหน้า ที่จัดเก็บอย่างจริงจัง ทั้งที่เป็นรายได้มหาศาลที่จะทำให้เกิดเป็นรูปธรรมชัดเจน ลดการถือครองที่ดิน ลดความเลื่อมล้ำ ทั้งยังช่วยพัฒนามนุษย์เงินเดือนและคนจนจำนวนมากของประเทศได้เท่าเทียม”

“การเสียภาษีมันมีเรื่อง “การวางแผนภาษี” ซึ่งเป็นวิธีทำให้เสียภาษีน้อยลง ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมาย กับ “การเลี่ยงภาษี” ซึ่งเป็นวิธีการที่ผิดกฎหมาย ต้องมีบทลงโทษนะ”

“ก็ไม่เห็นแปลกอะไร ในปัจจุบันคนที่เสียภาษีก็พยายามที่จะให้มีการเสียภาษีให้น้อยที่สุดกันทั้งนั้นแหละ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็น่าเห็นใจคนทำมาหากินเหมือนกัน ดาราก็ทำมาหากิน เค้าทำงานเหนื่อยต้องเสียภาษี ก็อยากเสียภาษีให้น้อยที่สุด และที่สำคัญเชื่อว่าเงินภาษีจากพวกเค้าเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็ไปเป็นเงินเดือนของบรรดาข้าราชการทั้งหลายไม่แน่อาจจะรวมไปถึงข้าราชการที่กรมสรรพากรด้วยก็ได้ เรื่องนี้จริงอยู่ผิดกฎหมาย แต่ก็น่าเห็นใจเช่นเดียวกัน”

“คิดว่าสรรพากรคงรู้วิธีตรวจอยู่แล้ว เช็คสั่งจ่ายพลอย แต่หักภาษีที่คนอื่น ดังนั้นมีเหตุให้สงสัยว่าพลอย มีพฤติกรรมเลี่ยงภาษี สามารถตรวจสอบจากบัญชีธนาคารได้เลย และนำมาสอบเทียบตามเช็คที่รับเข้าบัญชีซึ่งเป็นรายได้ทั้งนั้น ซึ่งสามารถรีดย้อนหลังได้ด้วย ถ้าไม่ผิดก็ 5 ปีย้อนหลัง หลักฐานยังมีอยู่หมดอยู่แล้ว อยู่ที่สรรพากรจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หรือเปล่า”

“แล้วรัฐบาล มีนโยบายอะไรที่ทำให้คนยอมเสียภาษีแบบเต็มใจบ้างไหมครับ”

“ดีมาก พลอยช่วยชาติ ^___^ ”

เรื่องที่สี่ ชาวกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียงเกิดความหวาดระแวงกันอีกแล้ว เมื่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เผยว่า จะมีแผนการทดลองระบบป้องกันน้ำท่วม โดยการปล่อยน้ำเข้ากรุงเทพมหานครในวันที่ 5-7 กันยายน 2555 นี้ โดยนายปลอดประสพ สุรัสวดี ในฐานะประธานคณะกรรมการ กบอ. บอกถึงแผนการทดสอบปล่อยน้ำผ่านกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออกและตะวันตกว่า ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 9 หน่วยงาน ในการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านนาโนเทคโนโลยีแล้ว เพื่อเป็นการเตรียมรับมือกับน้ำเหนือที่จะลงมาถึงกรุงเทพมหานครประมาณต้นเดือนตุลาคมนี้

และถือเป็นครั้งแรกที่ทดลองใช้โมเดลระบายน้ำในรูปแบบต่างๆ ในการทดสอบพื้นที่จริง ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกรุงเทพมหานครหลังจากที่ขุดลอกคูคลองรอบกรุงเทพมหานครเรียบร้อยแล้วทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก รวมถึงได้ติดตั้งระบบการเตือนภัย ดังนั้นขออย่าให้ประชาชนตกใจ เพราะน้ำที่ระบายผ่านคูคลองรอบกรุงเทพมหานครมีปริมาณไม่มาก เป็นการทดลองระบบและความพร้อมเพื่อดูจุดติดขัดต่างๆ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในกรุงเทพมหานคร ว่าปีนี้น้ำจะไม่ท่วมอย่างแน่นอน

โดยการปล่อยน้ำครั้งนี้จะปล่อยน้ำไม่เกิน 20 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยจะทดสอบ 2 วัน คือวันที่ 5 กันยายน 2555 จะทดสอบการระบายน้ำในฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานคร บริเวณคลองทวีวัฒนาและคลองอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกันในกรุงเทพมหานคร โดยคลองทวีวัฒนาสามารถรองรับการไหลผ่านของน้ำได้สูงสุด 60 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และวันที่ 7 กันยายน จะทดสอบการระบายน้ำด้านฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร บริเวณคลองระพีพัฒน์และคลองลาดพร้าว โดยคลองระพีพัฒน์สามารถรองรับการไหลผ่านของน้ำได้สูงสุดกว่า 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่วนคลองลาดพร้าวสามารถรองรับการไหลผ่านของน้ำได้สูงสุด 30 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อีกทั้งการทดสอบครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ริมน้ำ และสามารถหาจุดทรุดตัวของคูคลองบริเวณใต้สะพาน เพื่อให้แก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ที่สำคัญไม่ส่งผลกระทบต่อน้ำที่ใช้ในการเกษตร เนื่องจากกรมชลประทานได้จัดสรรน้ำไว้แล้ว

ภาพประกอบข่าว ที่มาภาพ: httpwww.chaoprayanews.com
ภาพประกอบข่าว ที่มาภาพ: httpwww.chaoprayanews.com
ทางด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ภายหลังหารือกับผู้บริหารสำนักการระบายน้ำ (สนน.) ไม่เห็นด้วยกับการซ้อมปล่อยน้ำเข้ากรุงเทพมหานคร เนื่องจากในช่วงเดือนกันยายนของทุกปีจะมีฝนตกหนัก อีกทั้งกำลังมีพายุเข้าไทยสัปดาห์หน้า ซึ่งส่งผลให้มีปริมาณน้ำมาก อาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมในช่วงนี้ได้ และคลองลาดพร้าวในการดูแลของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นจุดที่น่าเป็นห่วงที่สุดเพราะยังไม่มีการขุดลอก และห่วงช่วงถนนเพชรเกษม บริเวณคลองทวีวัฒนา เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นคอขวด แต่ห่วงที่สุดคือ คลองลาดพร้าว

ดังนั้น หาก กบอ. จะทำการทดสอบจริง ก็ควรเลื่อนไปทดลองในเดือนตุลาคมแทนจะดีกว่า แต่ถ้าหากรัฐบาลยังยืนยันคำเดิม ทางกรุงเทพมหานครก็เคารพในการตัดสินใจ พร้อมร่วมมือด้วย แต่จะให้รับผิดชอบอย่างเดียวคงลำบาก โดยจะให้เจ้าหน้าที่เข้าดูแลทุกจุดที่มีการปล่อยน้ำ หากเกิดเหตุการณ์ไม่สามารถควบคุมได้ จะปิดประตูน้ำทันที

งานนี้ชาวกรุงเทพมหานครก็คงต้องลุ้นกันไปว่า แผนการนี้ผลจะออกมาเป็นเช่นไร แต่ก็หวังว่ารัฐบาลจะ ทำให้ประสบผลสำเร็จและสร้างความเชื่อใจให้ประชาชนได้ เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้สามารถจัดการและ “เอาอยู่” ได้ทุกเรื่องจริงๆ

“ก็รู้ทั้งรู้ว่าตรงไหนจุดอ่อนก็ช่วยหาทางแก้กันสิครับ จะรอให้แก้กันตอนมันท่วมจริงๆ เหรอ
ปีที่แล้ว ผมติดอยู่บนบ้านเป็นเดือน ก็เพราะคำพูดที่ว่า “เอาอยู่” ของนายก และคำพูดที่ว่า “ไม่ท่วมแน่นอน” ของท่านผู้ว่าฯ คำพูดมันเชื่อยาก ช่วยลงมือทำเสียที เพราะคนที่เดือดร้อนคือประชาชนนะครับ”

“ซ้อมแล้วได้อะไร ได้น้ำท่วมอีกเหรอ น้ำท่วมปีที่แล้ว ก็รู้แล้วนี่ทำไมต้องซ้อมอีกล่ะ คิดได้ไงเนี่ย”

“เป็นเพียงการทดสอบนะ แนะให้ไปอ่านดูข่าวตามหนังสือพิมพ์ทั้งหมด เค้าบอกว่าทดสอบการระบายน้ำในคลอง ปริมาณน้ำที่ทดสอบไม่ขึ้นมาบนพื้นถนนแน่นอน แล้วมาเอะอะกลัวอะไรหนักหนา”

“เตรียมเรือไว้ได้เลย คราวที่แล้วก็บอกเอาอยุ่ เบื่อจริงๆ ประชาชนอย่างเรารับทุกข์ ไปทำงานลำบาก ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ในนโยบายแอบแฝงของรัฐบาลแบบนี้ ไม่ได้เข้าข้างใครเบื่อการเมือง ไทย พยายามโชว์ศักยภาพโชว์ผลงาน แต่พอพลาดก็โยนความผิด ให้คนอื่น แล้วอ้างโน่นอ้างนี่เหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น แล้วนโยบายที่มีผลกระทบมากมายกับคนกรุงเทพขนาดนี้ กลับทำโดยไม่ฟังเสียงประชาชนเลย”

“เขาต้องการซ้อมเพื่อเตรียมความพร้อมและแก้ปัญหาในส่วนที่เป็นจุดอ่อนอยู่ เพื่อให้เป็นการป้องกันในระยะยาว แล้วบอกว่าปีนี้น้ำไม่ท่วม กทม. แน่นอน แล้วปีต่อๆ ไปล่ะ หรือค่อยว่ากันไปเป็นปีๆ หรือไง?”

เรื่องที่ห้า สืบเนื่องจากแผนการทดลองระบบป้องกันน้ำท่วม เพราะต้องมีการช่วยเหลือน้ำท่วม โดยให้นักศึกษารักษาดินแดน (รด.) กว่า 8,000 นาย มาฝึกการช่วยเหลือ ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ถนนพหลโยธิน ใกล้แยกวงเวียนหลักสี่ ในช่วงเช้าของวันพฤหัสบดี ที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยไม่มีการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า ส่งผลให้ถนนสายต่างๆ รอบกรุงเทพมหานคร ติดขัดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้า ท้ายแถวยาวถึงทางต่างระดับรังสิต ขณะที่ถนนพหลโยธินติดขัดถึงถนนลำลูกกา กระทบถนนรามอินทรายาวต่อเนื่องถึงมีนบุรี ประกอบกับบรรดาผู้ปกครอง และรถบัสรับส่งนักเรียน ไปจอดรถรับส่งบุตรหลานอยู่ตามริมถนนเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้สภาพจราจรโดยรอบเช้าวันที่ 30 สิงหาคมติดขัดนานกว่า 3 ชั่วโมง

โดยประชาชนโทรศัพท์เข้าไปร้องเรียนตามสถานีวิทยุคลื่นจราจร อาทิ จส.100, สวพ.91 และกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.02) โทร 1197 นับพันสาย สร้างความวุ่นวาย และเสียงบ่นไม่พอใจเป็นจำนวนมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

“ถึงว่าเมื่อเช้าเกือบไปประชุมไม่ทันออกจากบ้านตอน 10 โมงไม่เคยติดขนาดนี้ ขนาดผ่านหน้าห้างไอส์แลนด์ไปแล้วยังกลับรถไม่ได้เลยต้องไปผ่านเข้าสวนสยามขึ้นมอเตอร์เวย์ต้องรีบสุดๆ นึกว่ามีอุบัติเหตุซะอีก”

“น่าจะมีการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าจะได้เลี่ยงเส้นทาง เอาน้ำมันไปผลาญเล่นเป็นชั่วโมง สงสารประชาชนผู้ใช้ถนนกันบ้าง”

“ทำอะไรคิดก่อนดีมั๊ยคะ ว่ามีผลกระทบกับคนส่วนมากแค่ไหน เรามนุษย์เงินเดือน ถึง ที่ทำงานแถวรามอินทรา 10 โมง บริษัทเค้าไม่เข้าใจหรอกว่าเพราะอะไร คนอื่น ๆ เขาอยู่แถวนั้น ส่วนเราออกจากบ้าน 6 โมงครึ่งจากลำลูกกา สาหัสแค่ไหน คิดดูแล้วกัน”

“กรุงเทพมหานคร รถติดเป็นเรื่องปกติ นึกว่าเป็นอนุสาวรีย์ รถยนต์ซะอีก รัฐบาลไม่เคยคิดจะแก้ไขเรื่องนี้ มีแต่เพิ่มจำนวนรถด้วยภาษีรถยนต์คันแรก เอาเงินเข้าประเป๋าเจ้าของกิจการรถยนต์เพื่อนพ้องของตนเอง คนไทยก็เห่อตาม อยากมีรถ ไม่นึกถึงกระเป๋าเงินตัวเอง สร้างหนีสินเพิ่มพูน จะเหลือซักกี่คนนะที่ยังนึกถึงหลักความพอเพียง ตามที่พ่อหลวงท่านสอนมา”

“ลองจินตนาการให้น้ำท่วมรถยนต์บนท้องถนนนี่ดูสิว่าจะเป็นอย่างไร ไม่พ้นหรอกจะบอกเอาไว้ให้ หนีให้ทันแล้วกันแล้วคิดหาทางหนีทีไล่กันหรือยังว่าจะไปอยู่กันที่ไหน ญี่ปุ่นเขาคาดคะเนด้วยการทำแบบจำลองสึนามิซึ่งเขาก็คงจะรับทราบได้ แต่สำหรับเมืองไทยจะทดลองด้วยของจริงด้วยการปล่อยน้ำลงมา ไม่มีโมเดลเหมือนกับญี่ปุ่นนั้นหนาแสดงว่า ทำเพื่อความโปร่งใส”