กำหนดการตรวจเยี่ยม “เหล่าทัพ” ถือฤกษ์วันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ภายหลัง “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม เข้ารับตำแหน่งครบหนึ่งเดือนพอดิบพอดี ซึ่งค่ายทหารบางที่ถือเป็น “ถ้ำเสือ” ของบรรดานักการเมืองพรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายตรงข้ามทหารในยุคนี้ก็ว่าได้
ทำให้ปฏิบัติการซื้อใจ “เหล่าทัพ” อุบัติขึ้น!!!
ท่ามกลางความหวาดระแวงที่เกิดขึ้นกว่า 6 ปีหลังปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ระหว่าง “นายใหญ่” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย และ “คนเสื้อแดง” กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กับฝ่าย “กองทัพ” ที่ยึดแนวทางการเมืองคนละขั้วมาโดยตลอด จึงไม่แปลกที่ พ.ต.ท ทักษิณ สั่งถอด “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา จากตำแหน่ง รมว.กลาโหม โดยให้ไปนั่งรองนายกฯ คุมฝ่ายความมั่นคงแทน
พร้อมส่ง พล.อ.อ.สุกำพล เพื่อนรักมาดูแลจัดระเบียบกองทัพในนามโควต้าพรรคเพื่อไทย ก็ยิ่งทำให้ความหวาดระแวงเพิ่มมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ “นายทหาร” ทั้งสองจะเป็นคนพรรคเพื่อไทยเหมือนกัน แต่เป็นที่รู้กันว่า พล.อ.อ.สุกำพล มีแผลโดยตรงจากการปฏิวัติ 2549 แผลนั้นยังคงอยู่ในใจตลอด ทำให้การเดินทางตรวจเยี่ยมกองทัพไทย, กองทัพอากาศ ในวันที่ 23 ก.พ. และกองทัพบก, กองทัพเรือ ในวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา ถูกจับตาจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะ “กองทัพบก” กับ “กองทัพอากาศ”
ปฏิกิริยา พล.อ.อ.สุกำพล ที่ทั้งหยอดคำหวาน โปรยยาหอม และสรรเสริญการทำงานของกองทัพในการดูแลช่วยเหลือประชาชนต่ออุทกภัยครั้งที่ผ่านมา กล่าวชื่นชมความก้าวหน้าของค่ายทหาร พร้อมประกาศสนับสนุนความต้องการของทุกเหล่าทัพ อาทิ กองทัพบก มีความต้องการ “รถถัง” ที่ยังขาดแคลนในหน่วยบริเวณชายแดน จึงมีความจำเป็นต่อความมั่นคงประเทศ, เฮลิคอปเตอร์รุ่นแบล็กฮอว์ก กว่า 30 ลำ เนื่องจากช่วงหลังถูกใช้งานนอกเหนืองานยุทธการ และนำมาใช้งานในการเดินทางของผู้นำประเทศ
ขณะที่กองทัพอากาศมีความต้องการงบประมาณมาซ่อมแซมฐานทัพอากาศ เครื่องมือยุทโธปกรณ์ที่ได้รับเสียหายจากอุทกภัย รวมถึงการพัฒนาให้กองทัพอากาศเป็นหนึ่งในย่านอาเซียน
ส่วนทางกองทัพเรือ ต้องการ “เรือดำน้ำ” มือสอง รุ่น “ยู 206 เอ” จากประเทศเยอรมนี จำนวน 4 ลำ วงเงิน 5.5 พันล้านบาท เพื่อนำมาพิทักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติในท้องทะเลอ่าวไทย-อันดามัน และป้องกันจากอริราชศัตรู เป็นต้น
ส่งผลให้ “ผบ.เหล่าทัพ-แม่ทัพ-นายกอง” เมื่อได้ยินเช่นนั้นยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว
รวมถึง พล.อ.อ.สุกำพล ได้แถลงเปิดใจยืนยันความมีสัมพันธ์ที่ดีต่อ “ผู้นำเหล่าทัพ” ทุกคน ทำงานด้วยกันแบบพี่แบบน้อง มีแต่สื่อเท่านั้นที่วิตกกังวลไปเองและถามคำถามเพื่อให้มีปัญหา
“ผมไม่อยากให้สื่อถามถึงการทำงานระหว่าง ผมกับ ผบ.เหล่าทัพ เพราะบอกไปแล้วว่าเราอยู่กันได้แบบพี่น้อง ไม่มีปัญหา อย่าถามให้มีปัญหา ในใจก็ไม่มีอะไร ไม่ได้เสแสร้ง เราคุยกันด้วยความจริงใจ มีอะไรก็สามารถพูดกันในฐานะที่เป็นพี่น้องกัน จะทำงานในตำแหน่งหน้าที่ให้ดีที่สุด ซึ่งเป็นหน้าที่ของผมในการทำงานร่วมกับเหล่าทัพ และอาทิตย์หน้า ทาง ผบ.ทบ. และ ผบ.ทร. ติดภารกิจไปต่างประเทศ จะไม่ได้มาประชุมสภากลาโหม อย่าเอามาเป็นประเด็นอีก”
ส่วนคำถามเรื่องจะมีการปฏิวัติฯ รัฐบาลนี้ พล.อ.อ.สุกำพล ได้ยืนยันและสยบข่าวว่ามั่นใจ ไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นแน่นอน เพราะไม่มีใครอยากทำ ขอร้องสื่อมวลชนอย่าถามอีก เพราะไม่ใช่คำถามที่ดี
“ไม่ต้องคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในเรื่องนี้ เพราะมั่นใจว่าไม่มีอะไรและคงไม่ต้องมีสัญญาลูกผู้ชาย พูดกันรู้เรื่อง เอาหัวใจกันและกันเลยว่าจะไม่มีปฏิวัติ และไม่จำเป็นต้องสบตากับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเมื่อสักครู่ผมได้จูบแก้ม ผบ.ทบ. ในห้องน้ำไปแล้ว แต่ไม่มีใครเห็น”
สิ้นเสียง พล.อ.อ.สุกำพล ที่เล่นมุกนี้ เรียกเสียงหัวเราะต่อ พล.อ.ประยุทธ์ และ 5 เสือ ทบ. ที่นั่งอยู่ข้างหลังทันที
ในขณะที่ การเดินทางตรวจเยี่ยมหน่วยเก่า “กองทัพอากาศ” ถือได้ว่าเป็นการเหยียบถิ่นเก่าครั้งแรกในฐานะรหัส “สนามไชย 1” อย่างเป็นทางการ หลังได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติฯ 49 จนถูก “บิ๊กต๋อย” พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี (ผบ.ทอ.) ในช่วงเวลานั้นสั่งย้ายเข้ากรุ ก่อนโดนเด้งไปเป็น “จเรทั่วไปกลาโหม” ทำให้ พล.อ.อ.สุกำพล ถึงกับเล่นบทซึ้งในการกลับมาถิ่นเก่าครั้งนี้ โดยบอกกับสื่อและรุ่นน้องในกองทัพอากาศดังนี้
“วันนี้ถือเป็นการเยี่ยมถิ่นเก่าและมาสร้างความสัมพันธ์และกลับมาเยี่ยมบ้าน มีความรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลที่ได้กลับมาเยี่ยมหน่วยเก่า และน้องๆ ก็ไม่ต้องกลัวผมหรอก เพราะผมเป็นพี่ เป็นผู้บังคับบัญชา เป็นนาย ต้องมีความเมตตาลูกน้อง ใช้หลักพรหมวิหาร 4 สำหรับผู้บริหาร รวมถึงปัญหาต่างๆ ก็จบกันไปแล้ว ไม่มีอะไร ผมเคยอยู่กองทัพอากาศ ผมช่วยเต็มที่เท่าที่ทำได้”
เป็นคำยืนยันที่อาจจะทำให้ “บิ๊กเฟื่อง” พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. สบายใจ
แต่หากย้อนไปในอดีต ถ้าไม่มีการปฏิวัติปี 2549 ครั้งนั้นเก้าอี้ “ผบ.ทอ.” ตัวนี้คงตกมาอยู่ในมือ พล.อ.อ.สุกำพล แต่ชะตาฟ้าลิขิต พล.อ.อ.อิทธพร ได้นั่งแทน ดังนั้นช่วงก่อนจะเข้ามารับตำแหน่ง “รมว.กลาโหม” บรรดาพวกพ้องที่สนิทและเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 ต่างรับรู้ความรู้สึกความเจ็บแค้นของ พล.อ.อ.สุกำพล เป็นอย่างดี
อีกทั้งบังเอิญอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ผ่านมา กองทัพอากาศน้ำท่วมหนัก จึงเกิดข่าวลือว่า ผบ.ทอ. “พล.อ.อ.อิทธพร” อาจอยู่ในตำแหน่งไม่ครบจนเกษียณ
แต่การสวมบทบาทพี่ใหญ่ของน้องๆ ในกองทัพ และใช้หลักปกครองด้วยพรหมวิหาร 4 พร้อมทั้งประกาศว่าเรื่องในอดีตให้มันจบไป ขอเก็บไว้ในใจก็พอ จึงเป็นปฏิบัติการซื้อใจ โดยเฉพาะกับ พล.อ.อ.อิทธพร เพราะว่าเป็น “รุ่นน้อง” และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอดีต แต่คนสั่งการคือ พล.อ.อ.ชลิต ที่กำหนดอนาคตเขาในครั้งนั้น ว่ากันว่า โกรธกันแบบไม่เผาผีเลยทีเดียว
ดังนั้น เมื่อภารกิจตรวจเยี่ยมกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ จบลงด้วยความรู้สึกแฮปปี้เอ็นดิ้ง ทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล – ผบ.เหล่าทัพ ต่างมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะด้วยกัน
ทว่า งานนี้อาจเป็นแค่แฮปปี้เอ็นดิ้งชั่วคราวของ “กองทัพ” เนื่องจากยังไม่มีเรื่องให้บีบคั้น หรือมีชนวนทำให้เกิดเรื่องผิดใจกัน
การที่พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่าพร้อมสนับสนุนยุทโธปกรณ์กองทัพ แต่ก็ได้แก้ทางด้วยการตั้ง “บิ๊กต่วย” พล.ร.อ.ชัยวัฒน์ พุกกะรัตน์ (ตท.10) อดีตรองเสธ.ทหาร เพื่อนสนิท มาเป็นที่ปรึกษา รมว.กลาโหม ซึ่งหากย้อนดูประวัติการทำงาน พล.ร.อ.ชัยวัฒน์ จะพบว่าเติบโตในสายส่งกำลังบำรุงมาโดยตลอด
ดังนั้น พล.อ.อ.สุกำพล จึงมอบหน้าดูแลเรื่องการจัดซื้ออาวุธของกองทัพในอนาคต รวมถึงดูโครงการที่ยังค้างคา เพราะที่ผ่านมาการจัดซื้ออาวุธค่อนข้างมีปัญหามาโดยตลอด ทำให้ต่อไปนี้ เหล่าทัพใดอยากซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต้องผ่าน “กุนซือ” คนนี้
ในขณะที่ฝากฝั่งการเมืองเริ่มมีข่าวหนาหูว่า เร็วๆ นี้พรรคเพื่อไทยเตรียมผลักดันแก้ พ.ร.บ.การจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม (กฎหมายโยกย้ายนายทหาร) เข้าสู่สภา เพื่อสกัดกองทัพในการดันคนของตัวเองขึ้น เพราะมองว่า พ.ร.บ. ตัวนี้ทำให้มีการวางทายาททางทหาร และ พ.ร.บ. ตัวนี้ทำให้การเมืองไม่สามารถเข้ามามีส่วนเลือกตัวบุคคลได้เลย โดยตั้งเป้าต้องแก้ พ.ร.บ. ให้เสร็จก่อนเข้าฤดูการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีช่วงเดือนตุลาคม
ดังนั้นความสัมพันธ์”การเมือง” กับ “กองทัพ” หากหมดช่วงโปรโมชั่น และเมื่อเกมการเมืองเริ่ม การเกมแย่งชิงอำนาจยังไม่จบ ศึกใหม่ก็เตรียมเปิดฉากขึ้นในอีกไม่ช้า