ThaiPublica > คนในข่าว > “จรัญ ภักดีธนากุล” วิพากษ์กระบวนการยุติธรรม “ระบบจัดการกฎหมายทั้งประเทศ ถูกครอบงำด้วยอำนาจทุนหายนะ – ทุนผูกขาดตัดตอน”

“จรัญ ภักดีธนากุล” วิพากษ์กระบวนการยุติธรรม “ระบบจัดการกฎหมายทั้งประเทศ ถูกครอบงำด้วยอำนาจทุนหายนะ – ทุนผูกขาดตัดตอน”

9 กันยายน 2015


เราเป็นระบบยุติธรรม ที่เรียกว่า ใยแมงมุมจับได้แต่แมลงหวี่แมลงวัน แต่ด้วงขี้ควายไม่เคยได้เลย มันทะลุทลายใยแมงมุมของเราไปหมด ไปที่ไหนๆ แฝงตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในประเทศไทยก็ยังมี ที่สำคัญต้องไม่ปล่อยปละละเลยให้อาชญากรมาแฝงตัวอยู่ในกระบวนการยุติธรรม คนข้างนอกไม่รู้ แต่คนในแวดวงเดียวกันนั่นแหละ พอรู้ ต้องคอยระวังเพราะคนพวกนี้จะมาทำลายศักดิ์ศรีของสถาบันเรา ต้องกำจัดออกไป ถ้าจับได้ว่าแกเป็นตัวปลอมเข้ามาแฝงตัว แม้เคยเป็นเพื่อนก็ต้องขาดกัน แม้เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องก็ต้องขาดจากกัน ไม่ใช่รังเกียจเพื่อน แต่เรารักประเทศไทยมากกว่า

เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 ที่โรงแรมดิเอ็มเมอรัลด์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมกับสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) จัดสัมมนา “แนวทางการพัฒนาและการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการยุติธรรมไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า” เพื่อศึกษาและสำรวจสภาวะแวดล้อมที่เกี่ยวข้องเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มกระบวนการยุติธรรม (justice trend) เตรียมความพร้อมของกระบวนการยุติธรรมไทยในทศวรรษหน้า

ในงานดังกล่าว ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้กล่าวในหัวข้อ “กฎหมายกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม: ความท้าทายต่อกระบวนการยุติธรรมไทย” โดยมีรายละเอียดว่า

“เราเคยเพลี่ยงพล้ำเสียทีต่างชาติเมื่อ 130 กว่าปีก่อน จนกระทั่งรัชกาลที่ 5 ได้แก้ปัญหานี้ของไทยได้สำเร็จ ด้วยการมุ่งมั่นปฏิรูประบบกฎหมาย ระบบยุติธรรมของประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย และทำให้ระบบงานยุติธรรมของประเทศสยามได้รับการยกย่องแพร่หลายไปทั่วโลก แม้แต่ในภาคพื้นยุโรปก็ยังมีคำชมเชยออกสู่สาธารณะเป็นหลักฐานให้เราชื่นใจจนบัดนี้ ว่าระบบยุติธรรมของสยามในยุคนั้นเหมือนเป็นเพชรเม็ดงามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยกย่องแค่นี้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ ”

แต่จนบัดนี้ 130 ปีผ่านไป เรีอลำนี้ก็ผุเสื่อมโทรมไปตามลำดับมากมายหลายแห่ง เราไม่เคยปฏิรูปครั้งใหญ่อีกเลย นอกจากปะผุ เติมนิด ตัดหน่อย มีปัญหาตรงไหนก็ไปแก้ตรงนั้นเป็นจุดๆ ภาพรวมก็เลยสูญสียไป ผมเห็นด้วยกับ ยธ. และการนำเสนอของ ดร.จักรกฤษณ์ ควรพจน์ (ผู้อำนวยการวิจัยด้านกฎหมายเศรษฐกิจ ทีดีอาร์ไอ นำเสนอหลักการและเหตผุล) ถึงปรัชญาใหญ่ของไทยอีกแหล่งที่บอกว่าต้องปฏิรูปใหญ่อีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ทำได้ยากมาก เพราะเราไม่มีพลังใหญ่ในแผ่นดินที่จะทำงานใหญ่อย่างนี้ได้ จนกว่าจะเกิดพลังใหญ่ กระแสพลังใหญ่อย่างนั้นขึ้น แนวทางการปฏิรูปหรือพัฒนาระบบยุติธรรม ระบบกฎหมาย ระบบการศึกษากฏหมายบ้านเรา มันถึงจะฟื้นคืนชีพ ทำภารกิจให้กับสังคมตามที่สังคมคาดหวัง ก็คงต้องเริ่มตรงนี้ ถ้าทำได้จริงก็จะพัฒนาระบบยุติธรรมได้ชัดเจน แม้จะไม่ 100 % ก็ 70-80%

“ทำอย่างไรถึงจะเป็นจริง เราขาดศูนย์รวมของคนที่จะดูแลระบบงานยุติธรรมของประเทศ ระบบกฎหมายของประเทศ 40-50 ปีที่ผ่านมา เราไม่มีผู้ดูแลระบบงานยุติธรรม จนวันนี้ก็ไม่มี ศาลดูแลศาล ไม่ได้ดูแลกระบวนการยุติธรรมทั้งประเทศ ไม่ได้ดูแลระบบกฏหมาย แล้วศาลก็ยังกระจัดกระจาย ศาลรัฐธรรมนูญก็ดูแลแค่ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองเฉพาะเรื่องคดีปกครอง ศาลยุติธรรมก็เช่นกัน มาที่อัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดก็รับภาระ เขตอำนาจหน้าที่อยู่งานของอัยการ ตำรวจ ทนายเช่นกัน”

กระทรวงยุติธรรมโดยสากลนั้นอยู่ในฐานะที่เป็นผู้กำหนดนโยบาย เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี และเป็นผู้บริหารระบบงานยุติธรรมของประเทศเป็นผู้รับผิดชอบ หมายความว่าถ้าเกิดการเสียหายผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรม ยธ. ต้องรับผิดชอบ แต่ตอนนี้จะให้ ยธ. รับผิดชอบได้อย่างไร เมื่อท่านไม่มีช่องทางอะไรเลยที่จะเข้าไปดูแลระบบตำรวจ ระบบงานอัยการ ระบบศาล รวมทั้งทนายความ กระทรงยุติธรรม ทำเรื่องบังคับคดี คุมประพฤติ และอาจจะมีหน่วยที่เขามาเติมเต็มในส่วนของตำรวจ คือกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำหน้าที่นี้ให้ได้

ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

ผมคิดว่าคำตอบที่จะทำให้งานวิจัยของ ดร.จักรกฤษณ์ สำเร็จต้องสร้างตัวนี้ขึ้นมาก่อน สร้างอย่างไร มันอาจต้องคุยกันเรื่องใหญ่ ถ้าทำสำเร็จ ใช้ตัวแบบ มีหลายตัวแบบที่จะปรับปรุงพัฒนา ก็จะเป็นไปได้ ค่อยๆ ดำเนินไป แต่ถ้ายังอยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่มีทาง

ในส่วนของผม ผมต้องการเสนอผมอยากจะเข้าไปที่จุดใหญ่ๆ ในระบบงานยุติธรรมของเราไม่กี่ระบบ โดยหวังว่ามันอยู่ในวิสัยที่สภาวการณ์ของประเทศที่เป็นอยู่ มันจะพอทำได้ ไม่ต้องรอให้มีศูนย์รวมอำนาจรัฐที่มีนโยบายชัดเจนในการปฏิรูประบบงานยุติธรรมของประเทศอย่างเต็มรูป

“ผมเริ่มต้นภาพแรก ดูสภาวการณ์แวดล้อมของระบบงานยุติธรรมของประเทศไทย ผมมองในแง่ร้าย สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมืองมันไม่อยู่ในวิสัยที่จะเอื้อให้เกิดพัฒนาการ ประสิทธิภาพที่ดีของระบบงานยุติธรรมของประเทศเลย”

เราเริ่มที่การเมือง การเมืองของเราแตกแยก ไม่รู้โชคร้ายของไทย เราไม่มีความสามัคคีในสถาบันการเมืองของประเทศ มันแตกแยก ไม่ได้เป็นสองฝ่าย มันหลายฝ่าย เป็นเล็กๆ น้อยๆ ย่อยๆ แล้วเหตุที่แตกแยก ผมตั้งสมมติฐานว่าเพราะเขาคับแคบ เรามีแต่คนที่เข้ามาในแวดวงการเมืองและเข้ามาทำหน้าที่การเมืองให้ประเทศ แต่เขาไม่มีอุดมการณ์ชาติ เขาไม่ได้เป็นคนที่มีอัตตาเป็นประเทศไทย เราได้แต่คนที่มีอัตตา เป็นผู้ที่ดูแลเขตเลือกตั้งเขา จังหวัดเขา พรรคการเมืองเขา

และวาระที่ประเทศอยู่ในรูปแบบการครองที่ไม่มีการเลือกตั้ง เราก็ยังคงได้คนทีมีอัตตาคับแคบอยู่ที่สถาบัน หรือพวกตัวเองเป็นส่วนใหญ่ เพราะตัวตนของผู้กุมอำนาจทางการเมืองในประเทศเรามันแคบ มันจึงแตกแยก แต่ถ้าคนที่เดินเข้ามาในพื้นที่การเมืองซึ่งหมายถึงอำนาจรัฐระดับสูง มีประเทศไทยเป็นอุดมการณ์ เป็นตัวตนเหมือนที่มหาตมะคานธีมีอินเดียทั้งหมดเป็นอุดมการณ์ เหมือนท่านประธานเหมามีพลเมืองพันล้านคนเป็นลูกหลาน ความแตกแยกก็จะไม่ทรงพลังถึงขนาดทำลายล้างกัน เอาเปรียบกัน ชิงดีชิงเด่นกันจนลืมไทยอย่างที่เป็นมา

นอกจากคับแคบแตกแยกแล้วยังไม่พอ ยังเหลวแหลก คือไม่ได้วางมาตรฐานของพฤติกรรมการทำงาน หลายท่านเรียกว่าจริยธรรมคุณธรรม ผมก็ไม่อยากจะใช้คำนั้น เพราะมันถูกกระแทกกลับจากคนที่ไม่แคร์จริยธรรม ผมขอเพียงว่าอย่าให้ถึงกับเหลวแหลกเห็นเรื่องทุจริตฉ้อฉลเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องให้อภัยกันได้ อย่างนี้มันทำลายสภานภาพ บุคลิกภาพ และศักดิ์ศรีของสถาบันการเมืองไทยทั้งประเทศ นี่เป็นอีกปัญหาใหญ่ที่แทรกในทุกวงการ ทุกสถาบันของเรา

เรามักเอื้ออารีและไม่อยากไปเบียดเบียนผู้ร่วมกิจกรรมในสถาบันเรา กลายเป็นปล่อยปละละเลยให้คนเกเร แปลกปลอมเข้ามาในองค์กร สถาบัน หมู่คณะ แล้วก็เปิดโอกาสให้คนเกเรเหล่านั้นทำลายสถาบันของเราเอง รวมทั้งสถาบันการเมือง

“ผมเรียนว่าผมมีประสบการณ์ที่เห็นว่าเหตุเหล่านั้นไม่ควรจะเกิดในประเทศ ในเมื่อข้าราชการที่ถูกไล่ออก เหตุเพราะทุจริตฉ้อฉลมลทินหม่นหมอง ไม่ทันไรเลยได้รับเข้าไปเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง เป็นท่าน ส.ส. ของพรรคการเมืองใหญ่ของประเทศได้ นึกดูเถิด แสดงว่าระบบการเมืองของเรามันไม่มีการคัดกรองคน เลือกคนเข้ามา มันปล่อยให้มีการแปลกปลอมเข้าไป แล้วคนที่อยู่ในระบบราชการกว่าจะเอาคนเกเรออกไปได้ ยากแสนยาก พอปลดออกไปแล้ว แกเข้าไปในระบบการเมือง แล้วถ้าแกได้รับการเลือกตั้ง แกเข้ามากุมอำนาจรัฐ อยู่บนหัวของระบบราชการ ข้าราชการประจำ”

ผมเรียกร้องตลอดมาว่าท่านผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงการเมือง ท่านต้องช่วยคัดกรองคน อย่าปล่อยให้คนหัวรุนแรงสุดโต่งเข้ามาเป็นคนที่มีบทบาท ในแวดวงการเมืองของประเทศ อย่าปล่อยให้คนที่มีความสามารถมากในการฉ้อฉลทุจริตเข้ามาอยู่ในแวดวงการเมืองของประเทศ คนอื่นเข้าไปทำบทบาทนี้ไม่ได้ แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ของการเมืองเองนี่แหละพอที่จะทำได้ ถ้าระบบการเมืองมันคืออำนาจใหญ่ของประเทศ มันไม่อยู่ในร่องในรอยแล้ว ระบบงานยุติธรรมของประเทศทำงานได้ผลยาก

ไปที่เศรษฐกิจ เศรษฐกิจของเราอยู่ในภาวะที่อาจจะพอใช้ได้ เดินหน้ามาพอสมควร แต่ถ้าเทียบกับประเทศในอาเซียนด้วยกัน น่าตกใจว่าเรามีอัตราการเติบโตหรือพัฒนาการที่ต่ำมาก ผมอยากเรียกว่าตกต่ำ เหลื่อมล้ำมาก ถึงขนาดที่เรามีคนรวยเป็นหมื่นล้านแสนล้านอยู่ไม่กี่ตระกูล ครอบครองสมบัติของประเทศที่มีอยู่ ปล่อยให้คนอีก 65 ล้านคนกินเศษที่เหลือ มันจึงรวยเป็นกระจุกจนกระจาย เหมือนที่หลวงพ่อพยอมท่านว่าไว้ ยังเป็นอยู่และมากขึ้นๆ คนจำนวนน้อยที่มีเงินเหลือรวบรวมถึงได้เยอะขนาดนั้น สามารถเอาเศษเงินของเขาฟาดหัวซื้อศักดิ์ศรีความเป็นคนของคนไทย ด้วยราคาที่ถูกมาก แต่มันมหาศาล มันเยอะจนทำให้คนส่วนใหญ่พูดไม่ออก ต้องน้อมรับ มันเยอะ

สำหรับคนรับ มันนำไปสู่สภาพเสียหายต่อการเมืองและสังคมรวมทั้งวัฒนธรรมของเราด้วย ความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม การผูกขาด ตัดตอน ยังมีอยู่ กฎหมาย unfair competition law เป็นเครื่องมือหนึ่งในระบบเสรีประชาธิปไตย เป็นเครื่องมือที่จะยับยั้งการเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจ แต่มันเป็นหมัน ทำงานไม่ได้ เพราะอะไร รายละเอียดเยอะ เพราะการเมืองที่คุมอำนาจรัฐ ระบบจัดการกฎหมายทั้งประเทศ มันถูกครอบงำด้วยอำนาจทุน จนบางคน สมัยก่อนเรียกว่าทุนสามานย์ แต่เดี๋ยวนี้ คำศัพท์ระหว่างประเทศเรียกว่า ทุนหายนะ (destructive capital) แล้วทุนที่ครอบงำอำนาจการเมือง มันคือทุนที่ผูกขาดตัดตอน คือทุนใหญ่มหาศาล ทุนเล็กไม่มีทางเข้าไปสู้ได้ มันถึงเกิดระบบเศรษฐกิจที่เหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม และไม่สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ เพราะมันอ้วน เพราะมันอยู่สบายกินกับระบบผูกขาดตัดตอน หรือกึ่งผูกขาดตัดตอนโดยชอบด้วยกฎหมาย แล้วท่านดูเถอะมันกระทบระบบความยุติธรรมแน่นอน

สังคมเกิดปรากฎการณ์คนไทยขายตัว ขายศักดิ์ศรีความเป็นคนให้กับอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจรัฐ อำนาจคน อำนาจเงิน ทุกคนมีความรู้สึกปกติที่จะเรียกผู้คนที่อยู่ในบันไดของอำนาจว่า “นาย” “ป๋า” มันเป็นไปได้ยังไง ศักดิ์ศรีของความเป็นคนของคนไทย เราไม่มีนายหรอกครับ เรามีนายองค์เดียวที่เป็นศูนย์รวมใจ คนไหนมีผลประโยชน์ให้เราได้ น้อมตัวรับใช้ ขายตัวให้กับนาย ไม่ได้คำนึงเลยว่านายจะพาเราไปทำในเรื่องที่เสียหายต่อประเทศอย่างไร

เราขาดนักคิด นักประดิษฐ์ นักพัฒนามานานแล้วครับ เรามีนักซื้อเต็มประเทศ แม้แต่ระบบราชการ ผู้กุมอำนาจรัฐไทย ท่านคิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ล้วนแต่ต้องซื้อทั้งนั้น ถ้าจะให้ทำเรื่องนี้ ไม่ยากเลย มันมีเครื่องมือนี้ ราคาแค่พันกว่าล้านเท่านั้น ของบประมาณ เดี๋ยวไปซื้อมา ทำไมไม่คิด ไม่ส่งเสริมนักคิดนักประดิษฐ์นักพัฒนาของเรา เช่น เราอยากได้เครื่องมือนี้ อุปกรณ์นี้ คิดสร้างขึ้นมา เอ้า คุณภาพเราสู้เขาไม่ได้ สู้เขาไม่ได้ก็เสริมกำลังไปอีก พัฒนาไปอีกครั้งที่ 2-3 ทุ่มทุน แพงกว่าที่เราไปซื้อเขามาก

ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

แต่ทันทีที่เราก้าวทัน stage of the science เราจะถอนทุนคืน เพราะเราจะเริ่มเป็นผู้ขาย ผู้ประดิษฐ์ผู้พัฒนา แต่ถ้าตราบใด mentality ของเรายังเป็นนักซื้อ ยากครับ ที่เราจะขึ้นไปแข่งขันในพื้นที่ของทรัพย์สินทางปัญญา รอคอยโชคชะตาฟ้าบันดาล หน้าหนาวเดี๋ยวเขาก็มาแจกผ้าห่ม หน้าแล้งเขามาแจกน้ำ ให้เงินสนับสนุน subsidize เข้ามาชดเชย หน้าฝนน้ำท่วมเขามาแจกถุงยังชีพ เราจะแจกผ้าห่ม แจกน้ำ กันไปอีกกี่ปีกี่ชาติ

แต่กระนั้นแล้ว 50-60 ปี หรือสุขสนุกสนาน ไปดูเยาวชนของเรา เขาบอกให้เรียนหนังสือ ให้ทำงาน ก็ไปบอกมนุษย์ป้ามนุษย์ลุง มนุษย์โบราณ แต่ไปดูคืนวันศุกร์เสาร์ ในย่านนักกินนักเที่ยว น่าตกใจ ยังงี้ประเทศไทยจะสู้ประเทศอื่นได้อย่างไร มันหลงระเริงสุข เดี๋ยวนี้มากกว่านั้น ไม่เฉพาะคืนวันศุกร์เสาร์ รถติดยันสองยาม วันพุธมีโปรโมชั่นมันเลยมาเที่ยว รถติดยันห้าทุ่มสองยาม ขยายฐานออกไปเพื่อเม็ดเงิน

ท่านครับ เราอยู่ในวาระต้องปฏิรูปประเทศแทบทุกด้านเลย แล้วเราก็อุตส่าห์ไปยกย่อง ขอร้องให้ท่านมาเป็นสภาปฏิรูปแห่งชาติ พอท่านมาเป็นสมาชิกปฏิรูปแห่งชาติ ท่านรวมตัวกันเสนอเปิดบ่อนเสรี มันเป็น mentality ของคนที่จะพัฒนาประเทศหรือ? นี่เป็นคนที่เป็นพ่อค้ามาเกิด แกคิดได้แต่เพียงเม็ดเงิน แน่นอนเปิดบ่อนเสรี มันดูดเงิน แต่การดูแลประเทศชาติ ไม่ใช่แค่เงิน ท่านจะต้องคิดมากกว่านั้น

ก็ไม่รู้นะ มันจะเป็น controversy แต่เราเห็นว่ามันไม่เอื้ออำนวยแก่การปฏิรูปประเทศ เราพูดถึงวัฒนธรรมการปฏิรูปต่างๆ ไม่ใช่ครับ มันมี “หายนะธรรมองค์กร” ฝังตัวอยู่ในหลายองค์กร ซื้อขายตำแหน่งกัน เป็นความชั่วร้ายในระบบราชการ โดยเฉพาะระบบงานยุติธรรม ถ้ามีการซื้อขายตำแหน่งนะ ประชาชนหมดที่พึ่ง เป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็เห็นกันว่าไม่เป็นไรหรอก เอาพอสมควร อย่าให้มันมากมายนัก เรื่องอะไรคุณจะขายตำแหน่ง ตำแหน่งมันเป็นของคุณ เป็นของประเทศชาติ ไม่ใช่ของขาย แต่มันก็ยังทำกันให้เราเห็นฉ้อฉลทุจริต สิ่งหนึ่งก็คือค่าคอมมิชชั่น ค่าคอมมิชชั่นคือทุจริตที่ชัดเจนที่สุด แต่การเป็นว่าอย่าไปคดโกงงบประมาณ อย่าไปทุจริตฉ้อฉล แต่รับคอมมิชชั่น มันก็ทำกันมา อย่าไปเอา 40% 50% สัก 10-20% พอทน ยังงี้ได้ไง? มันจึงขาดประสิทธิภาพโดยรวม

“หายนะธรรมองค์กร” ฝังตัวอยู่ในหลายองค์กร ซื้อขายตำแหน่งกัน เป็นความชั่วร้ายในระบบราชการ โดยเฉพาะระบบงานยุติธรรม ถ้ามีการซื้อขายตำแหน่งนะ ประชาชนหมดที่พึ่ง เป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็เห็นกันว่าไม่เป็นไรหรอก เอาพอสมควร อย่าให้มันมากมายนัก เรื่องอะไรคุณจะขายตำแหน่ง ตำแหน่งมันเป็นของคุณ เป็นของประเทศชาติ ไม่ใช่ของขาย

ผมจะเข้าประเด็นตรงจุดที่ผมอยากจะปรับเป้าใหญ่ต่อไป คือผมคิดว่าในสภาพสมมติว่า มันมีสภาพแวดล้อมระบบงานยุติธรรมเป็นยังงั้น ผมคิดว่าเป้าใหญ่สุดต้องทำก่อนให้สำเร็จให้ได้ แล้วทำ ต้องทำอย่างมีปณิธานแบบที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยให้ไว้ แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด แล้วทำคนเดียวก็ไม่สำเร็จต้องสร้างเครือข่ายพันธมิตรให้ทรงพลัง ทำอย่างไรก็จะมีรายละเอียดต่อไป

มันมีแนวคิดว่า แล้วทำอะไร ทำอย่างไร เป้าใหญ่คืออะไร เป้าใหญ่ที่ผมมองคือ เรื่องพฤติกรรม และหายนะธรรมฉ้อฉลทุจริต ในทุกระดับของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนอกและในกระบวนการยุติธรรม และแม้แต่ในระบบวิสาหกิจเอกชน การฉ้อฉลทุจริตในเอกชน อย่าดูเบานะ มันเคยทำให้ประเทศบางประเทศซวดเซมาแล้ว แม้แต่ประเทศมหาเศรษฐีของโลกก็ยังกระเทือน เขาถึงต้องขยายเครือข่ายการปราบปรามพฤติกรรมชั่วร้ายไปถึงวิสาหกิจเอกชนด้วย ของเราก็เริ่มบ้างแต่ยังอ่อนเปลี้ย

เรื่องทุจริตฉ้อฉลที่เลวร้ายที่สุด อันดับ 1 ซึ่งเป็นรากเหง้าที่ generate การทุจริตต่อเนื่องไป คือการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง ให้คนเข้ามาในระบบการเมืองซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดของประเทศ ถ้าเรายังแก้ปัญหาให้ประเทศไทยไม่ได้ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันไม่มีทางหมด ก็เพราะว่าเขาต้องควักเงิน เปิดทางมาสู่อำนาจ แล้วเขาจะอยู่เฉยๆ หรือ เขาก็ต้องถอนทุนคืน

ถอนทุนคืนยังไม่เท่าไหร่ เขาคิดไปถึงการเลือกตั้งสมัยหน้า เขาต้องสู้กันอีก และคราวนี้ฝ่ายที่แพ้ไป เขารู้แล้วว่าราคามันเท่าไร ฝ่ายที่แพ้ก็เตรียมระดมเข้ามา เหมือนพยายามทำลายสถิติ เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมขึ้นไป เพราะงั้นเวลามันถอนทุนมันถึงเอาแบบเตรียมไว้ลงเลือกตั้งคราวหน้าด้วย แล้วอย่างนี้ ประเทศ ข้าราชการประจำ ระบอบงบประมาณแผ่นดินจะเป็นยังไง ไม่มีทางแก้เลย แล้วมันก็นำไปสู่ความเหลวแหลกในระบบราชการและกระบวนการยุติธรรม เพราะเมื่ออำนาจการเมืองต้องการผลประโยชน์ ใครทำผลประโยชน์ให้การเมืองได้ ก็คือคนดีของเขา ก็จะได้รับการเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง เพราะฉะนั้นก็ต้องหาเงินสดเป็นทอดๆ ไป มันถึงเกิดระบบส่วย ระบบซื้อขายตำแหน่ง ระบบต่างๆ ในระบบราชการ เพราะงั้นถ้าระบบการเมืองของเราบริสุทธิ์ ข้าราชการประจำไม่มีทางเหลวแหลกอย่างที่เป็น และชัดเจน ถ้ายังทำยังงั้นการเมืองเอาตาย ประเทศนี้ก็พอรอดได้

แต่ในทางบวก ด้านหนึ่งปราบปรามพวกทุจริต ปราบปรามถอนรากถอนโคน ในอีกด้านหนึ่งมันสร้างอุดมการณ์ชาติที่มันขาดหายไป 40 กว่าปีที่ผ่านมา เราไม่เคยพูดถึงอุดมการณ์ชาติ เราพูดแต่องค์กรของเรา ระบบงานยุติธรรม ต้องค้ำชูประเทศชาติ และสันติสุขของประชาชน

เคยมี motto นี้ในประเทศไทยนี่แหละ เมื่อสถาปนาระบบกฎหมาย ระบบงานยุติธรรมใหม่ กรมหลวงราชบุรีใช้ motto นี้ ชีวิตของฉันคือการรับใช้ประเทศชาติและประชาชน ดูเถิด นี่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชนะ โอรสของพระเจ้าแผ่นดิน ประกาศอุดมการณ์เพื่อชาติและประชาชน มันก็ทำให้ตัวรองๆ ลงไป ทำตาม เราไม่เคยสอนให้นักเรียนกฎหมาย รู้ว่ากฎหมายเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน เราสอนกฎหมายเพื่อไปเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในบ้านเมือง ไปเป็นท่านอัยการ ท่านผู้พิพากษา ทนายความเชี่ยวชาญสามารถร่ำรวย ไม่ใช่เลย เราขาดตัวนี้ไป สิทธิประโยชน์ส่วนบุคคล ถ้ามันจะส่งผลต่อส่วนรวมที่ใหญ่กว่า ทำไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด เป็นการใช้สิทธิมิชอบด้วยกฎหมาย ทำไมไม่ชอบ เพราะมันอันตราย มัน undermine national interest and happiness of the people หลักกฎหมายแบบนี้มีไหม? มันมีอยู่ในมาตรฐานสากลแต่มันจางมาก ในระบบกฎหมายระบบยุติธรรมไทย ใครขืนรับตัวนี้มาใช้ ก็จะถูกกฎหมายลายลักษณ์อักษรกระแทกให้ตกบัลลังก์ไปเลย นี่! มันอันตรายขนาดนี้

แล้วงบประมาณสาธารณสมบัติของแผ่นดินและทรัพย์สินของชาติ ต้องมีอุดมการณ์ว่าสิ่งนี้ใครจะมาแทะมากินไม่ได้ ผู้ใดบังอาจล้างผลาญทำลาย จะต้องรับโทษทัณฑ์ตามกฎหมายและระบบงานยุติธรรมที่ทรงพลัง คุณูประการนี้ต้องมี ต้องเกิดขึ้น ในระบบงานยุติธรรมและนโยบายของรัฐบาลทุกรัฐบาล และรัฐบาลเองต้องเป็นตัวแบบตัวอย่าง

และนั่นแหละคือทิศทางที่ผมคิดว่าเราต้องปฏิรูปกฎหมาย และระบบงานยุติธรรมของประเทศ ทำย่างไรให้ระบบงานยุติธรรมทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ระบบศาลนะ รวมทั้งตำรวจ อัยการ และทนายความด้วย ต้องมีความเป็นอิสระ ตามสถานะที่เหมาะสม ไม่ใช่เป็นอิสระตามความยิ่งใหญ่ของแต่ละคน เป็นอิสระให้สามารถทำหน้าที่ประสิทธิ์ประสาทความถูกต้องความเป็นธรรมให้สังคมได้

“แค่ไหนพอเหมาะก็ไปวิเคราะห์เอา ต้องเป็นกลาง ไม่ยอมตนเป็นผู้รับใช้ไม่ว่าอำนาจฝ่ายใด ไม่ใช้คำว่า ท่านมีอะไรเรียกใช้ผมได้นะ ท่านมีอะไรบอกนะ แบบนี้ต้องไม่มีในระบบงานยุติธรรม ระบบงานยุติธรรมมีเพียง ขอให้ท่านมั่นใจว่าเราจะเป็นกลาง เราจะดูแลทำงานนี้ตรงไปตรงมา ไม่อคติกับท่านหรือฝ่ายใด และเป็นอิสระเป็นกลางไม่ใช่เพื่อคนในระบบงานยุติธรรม เป็นอิสระและกลางคนในระบบงานยุติธรรม ต้องยุติธรรมและบริสุทธิ์ด้วย คือในหัวใจ วิถีชีวิต การทำงานของเรา อย่าตุกติก ซ่อนเร้น ผลประโยชน์ทับซ้อน และต้องส่งมอบความยุติธรรมให้สังคมให้ได้”

“ต้องเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เวลานี้เรายังไม่ได้สร้างความเชี่ยวชาญเฉาพะด้านในระบบงานยุติธรรมของเรา ให้เทียบกับแพทย์ สาขาวิชาการทางแพทย์ ออกแบบไว้ดีมาก ท่านมีสายสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และยังมีเชี่ยวชาญของเชี่ยวชาญ มันหมายถึงคุณภาพของงานที่ทำให้บ้านเมือง เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของเรา”

บรรยากาศ-1

เรามีแต่ศาลนะ ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ศาลทรัพย์สินทางปัญญา ศาลล้มละลาย ท่านครับ ยังไม่เชี่ยวชาญจริง ขออภัยนะ อันนี้เป็นสิ่งที่เราตระหนักกันดีในแวดวงศาลยุติธรรม มันยังไม่เชี่ยวชาญจริง และถึงเวลาที่ต้องทำให้มันจริงขึ้นมา เริ่มตั้งแต่เรายังไม่มีความเชี่ยวชาญในกฎหมายพาณิชย์ และระบบงานยุติธรรมทางพาณิชย์ ท่านครับ อย่าพูดถึงเชี่ยวชาญ ไม่มีตัวตนในระบบยุติธรรมทางพาณิชย์ มีติ่งอยู่นิดเดียวคือการค้าระหว่างประเทศ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญามีเป็นการค้าระหว่างประเทศ แต่ก็ไม่ได้พ้นความครอบงำของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเท่าไร มีอะไรแปลกๆ ขึ้นมา 1 จุด 2 จุด กฎหมายสารบัญญัติยังถูกครอบงำด้วยสารบัญญัติและปรัชญาความยุติธรรมทางแพ่ง ไม่ใช่พาณิชย์ มันจำเป็นแล้ว AEC เนี่ยจะเป็นตัวผลักดันว่าเราช้าไม่ได้แล้ว ต้องเกิดศาลพาณิชย์ ต้องเกิดวิธีพิจารณาความพาณิชย์ ต้องเกิดกฎหมายสารบัญญัติทางพาณิชย์

กฎหมายพาณิชย์มากมายหลายเรื่องยังไม่มีตัวตนในประเทศไทย แม้แต่สัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ ราคา 20,000 บาท ยังต้องทำเป็นหลักฐานลายมือชื่อเอาผิดเป็นสำคัญจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ นี่หรือกฎหมายพาณิชย์ กฎหมายการค้าระหว่างประเทศของไทย มันไม่ใช่เลย มันกฎหมายซื้อขายของชาวบ้านกับชาวบ้าน แม้มีศาลการค้าระหว่างประเทศ ศาลนั้นก็ต้องใช้กฎหมายนี้ เพราะเราไม่มีกฎหมายพาณิชย์สาระบัญญัติ

ศาลสิ่งแวดลอมยังกระจายไม่มีตัวตน คดีสิ่งแวดล้อมทางปกครองไปศาลไปปกครอง คดีสิ่งแวดล้อมทางอาญาไปศาลแขวงศาลจังหวัด คดีสิ่งแวดล้อมทางแพ่งไปศาลแพ่งศาลแขวงศาลจังหวัด คนละระบบ คนละวิธีการ คนละปรัชญาความยุติธรรม ประชาชนในเรื่องคดีสิ่งแวดล้อม ประสาทเสียเลยครับ แล้วสิ่งแวดล้อมคือปัญหาใหญ่ของชาติ โดยรวมของเราทั้งประเทศเพราะมันเชื่อมโยงกับทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ มันถึงเวลาต้องมีระบบงานยุติธรรมเฉพาะด้านเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการบ่อนทำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรของประเทศ

เรายังมีศาลเยาวชนและครอบครัว ต้องแก้กฎหมายครอบครัว ศาลเยาวชนและครอบครัวของเรายังไม่ได้เป็นศาลชำนาญพิเศษ ก็ยังเป็นศาลชั้นศาลเพียงแต่มีอะไรเพิ่มเติมเข้าไปเพื่อให้มีเอกลักษณของตัวเองเท่านั้น

แม้แต่ในระบบงานศาลยุติธรรมยังไม่ถือว่าเป็นศาลชำนาญพิเศษคนละระบบกับศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งๆ ที่เขาควรจะเป็นเชี่ยวชาญเฉพาะด้านก่อนด้านอื่นๆ เลย เพราะเขาเกิดก่อนตั้งแต่ปี 2494 แต่ก็อยู่กับที่ แล้วศาลชำนาญพิเศษโดยรวม ต้องเป็นระบบ 2 ชั้น และเติมหน่อยเป็น 2 ชั้นครึ่ง คือ 2 ชั้นจากศาลชำนาญพิเศษชั้นต้น อุทธรณ์ไปที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนาญพิเศษเพื่อความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมันจะได้ต่อเนื่องกัน แล้วถึงที่สุด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ฎีกาจากศาลฎีกาแผนกคดีชำนาญพิเศษซึ่งจะคอยดูแลจุดผิดพลาดบกพร่องสำคัญๆ อีกที วิธีนี้ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในสาขาพิเศษต่างๆ เหล่านั้น ในแวดวงของศาลก่อน แล้วมันก็จะเป็นโดยบังคับเมื่อศาลเชี่ยวชาญเฉพาะด้านขนาดนั้น อัยการ ทนายความ ตำรวจ ไม่มีทางที่จะทำงานเหมือนเป็ดได้อีกต่อไป แต่นี้ไม่ใช่ครับ เราทำราวกับว่าตำรวจ อัยการ ทนายความ สร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนำหน้าไป นี่เป็นปัญหาหนึ่งที่ผลตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านถูกปรับแก้โดยผู้พิพากษาที่ไม่เชี่ยวชาญเฉพาะ อันตรายมาก และไม่ช้า ไม่แพง ทรงประสิทธิภาพ

สรุป เป้าหมายที่อย่างน้อยที่สุดต้องทำให้ได้ในด้านยุติธรรมทางอาญา criminal justice system

1. ข้อเท็จจริง ต้องไม่ถูกบิดเบือนให้ตรงข้ามกับความจริง ข้อเท็จจริง การวินิจฉัยปัญหาในระบบงานยุติธรรมต้องให้แม่นยำ ตรงเข้าไปที่ความจริงที่เกิดขึ้นในเรื่องนั้นให้ได้ ถ้ายังปล่อยละเลยให้เกิดการบิดเบือนความจริงโดยการวินิจฉัยข้อเท็จจริง ที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่มันบิดเบือน ให้เรามีระบบที่ดียังไงในด้านกฎหมาย ก็ใช้ไม่ได้ นี่คือการทำลายศักยภาพหรือคุณภาพของระบบงานยุติธรรม ที่รากฐานเลย ตรวจจับยากมาก เพราะการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง มักจะถือว่าเป็นความเห็น เป็นดุลยพินิจของแต่ละหน่วย แต่ละขั้นตอน เราจึงเจอกรณีที่มันตัดสินถูกต้องตามกฎหมายมากเลย แต่ประชาชนบอกมันน่าจะไม่จริงนะ

2. ข้อกฎหมายต้องสอดคล้องกับหลักนิติธรรม ไม่ใช่บทบัญญัติลายลักษณ์อักษรด้านๆ

3. ระบบงานยุติธรรมต้องมีอุดมการณ์ว่าทำงานเพื่อประโยชน์ชาติและสันติสุขของชาวสยาม ตามรอบนโยบายของใหญ่ของพระมหากษัตริย์ไทยคือทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม มิใช่โดยอำนาจ มิใช่โดยกฎหมายลายลักษณ์อักษร โดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งประชาชนชาวสยาม ไม่ใช่เพื่อตระกูล ไม่ใช่เพื่อพรรค ไม่ใช่เพื่อองค์กรใดองค์กรหนึ่ง สภาบันใดสถาบันหนึ่ง

ถ้าระบบงานยุติธรรมมีแนวทางสามแนวทางนี้ก็น่าจะดีขึ้นแล้ว ไม่จับแพะมาดำเนินคดี ชั่วร้ายที่สุดในทางกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เอาคนบริสุทธิ์ เอาคนชื่อเหมือน นามสกุลซ้ำมาดำเนินคดีอาญา บางครั้งเขาต้องทนทุกข์ทรมาณไป 3 ปี 5 ปี บางคนตายในคุก ความจริงถึงปรากฏว่าชื่อซ้ำ มันเป็นระบบงานที่เช็กไม่ได้เลยหรือ

ที่เราเป็นระบบยุติธรรม ที่เลือกว่า ใยแมงมุมจับได้แต่แมลงหวี่แมลงวัน แต่ด้วงขี้ควายไม่เคยได้เลย มันทะลุทลายใยแมงมุมของเราไปหมด ไปที่ไหนๆ แฝงตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในประเทศไทยก็ยังมี เราต้องไม่ปล่อยให้คนชั่วเหล่านี้ลอยนวล ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง หลักฐานไปไม่ได้ ทำไมไปไม่ถึง แล้วที่สำคัญต้องไม่ปล่อยปละละเลย ให้อาชญากรมาแฝงตัวอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ถ้าช่วยกันระมัดระวัง คนข้างนอกไม่รู้ แต่คนในแวดวงเดียวกันนั่นแหละ พอรู้ ต้องคอยระวังเพราะคนพวกนี้จะมาทำลายศักดิ์ศรีของสถาบันเรา ต้องกำจัดออกไป ถ้าจับได้ว่าแกเป็นตัวปลอมเข้ามาแฝงตัว แม้เคยเป็นเพื่อนก็ต้องขาดกัน แม้เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องก็ต้องขาดจากกัน ไม่ใช่รังเกียจเพื่อน แต่เรารักประเทศไทยมากกว่า