ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์
ในภาวะ “โลกผันผวน ไทยอ่อนแอ” ดังเช่นในปัจจุบัน ถ้าจะพลิกฟื้นประเทศไทย การปรับโครงสร้างทั้งระบบ (Structural Transformation) ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามคือ ใครจะเป็นเฟืองตัวสำคัญในการขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างประเทศไทยทั้งระบบ หากไม่ใช่สถาบันอุดมศึกษา
ที่สำคัญ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ได้ตั้งขึ้นมา โดยมีเจตจำนงเพื่อเป็นกระทรวงแห่งปัญญา กระทรวงแห่งโอกาส และกระทรวงแห่งอนาคต เพราะเป็นกระทรวงที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าในหลายหลากมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การเมืองการปกครอง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ
อย่างไรก็ดี เกิดอะไรขึ้นกับระบบการอุดมศึกษาไทย จึงทำให้ไม่สามารถชี้นำและขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าวตามที่สังคมคาดหวังไว้
สถาบันอุดมศึกษาในถ้ำของเพลโต
ถ้ำของเพลโต (The Allegory of Plato’s Cave) เป็นอุปมาเรื่องหนึ่งของเพลโต เพื่ออธิบายธรรมชาติของความรู้ การรับรู้ และความเป็นจริง
เพลโตชวนให้พวกเราจินตนาการถึงกลุ่มนักโทษที่ถูกล่ามโซ่ให้นั่งอยู่ในถ้ำตั้งแต่เกิด พวกเขาหันหน้าเข้าหาผนังถ้ำ ไม่สามารถขยับตัวไปไหนมาไหนได้ ด้านหลังพวกเขามีแสงจากกองไฟ และมีวัตถุหรือบุคคลเดินผ่านหน้ากองไฟ ทำให้เกิดเงาสะท้อนบนผนังถ้ำ ผู้คนที่ถูกล่ามโซ่เหล่านั้นไม่เคยเห็นสิ่งอื่นใดเลย นอกจากเงาที่ปรากฏบนผนัง พวกเขาจึงเชื่อว่า เงาเหล่านั้นคือ “ความจริง” ทั้งหมดของโลก
จนมีอยู่วันหนึ่ง มีนักโทษคนหนึ่งถูกปล่อยเป็นอิสระออกจากถ้ำ เมื่อออกไปเขาได้เจอแสงแดด เผชิญกับโลกภายนอก และค้นพบความจริงแท้ เขาได้เริ่มตระหนักว่า ที่ผ่านมา เขาและนักโทษคนอื่นถูกหลอกโดยเงาในถ้ำ เมื่อเขากลับมาบอกเพื่อนๆที่ยังอยู่ในถ้ำ คนเหล่านั้นกลับไม่เชื่อเขา กลับมองว่าเขาเสียสติ ประณามและต่อต้านเขา
หากถอดรหัสเชิงปรัชญา ถ้ำคือสัญลักษณ์ของโลกที่เต็มไปด้วยมายาและความไม่รู้ เงาบนผนังถ้ำ คือภาพลวงตาหรือความเชื่อผิด ๆ เป็นชุดข้อมูลที่ถูกบิดเบือนโดยสังคมหรือประสบการณ์จำกัดของมนุษย์ แสงแดดและโลกภายนอก คือ สัจจธรรม ความจริงแท้ ปัญญาที่ลึกซึ้ง ความรู้ที่เปลี่ยนโลกทัศน์และเปิดมุมมองที่กว้างขึ้น ส่วนนักโทษที่หลุดออกจากถ้ำ ก็คือ นักปราชญ์หรือผู้ที่แสวงหาความรู้ที่แท้จริง การต่อต้านจากคนในถ้ำ คือการที่ผู้คนในสังคมมักปฏิเสธแนวคิดใหม่ๆ ที่ท้าทายสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคย
ในบริบทของการอุดมศึกษา คณาจารย์ นักวิจัยและบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา ถูกคาดหวังจากสังคมให้เป็นนักปราชญ์ ผู้ทรงภูมิปัญญา เป็นเมธีผู้แสวงหาความจริง ความงาม และความดี เป็นผู้ที่ขยายปริมณฑลของปัญญาและองค์ความรู้ เป็นแกนหลักสำคัญในกระบวนการเปลี่ยนผ่านของมนุษยชาติ
น่าเสียดายที่ยังมีคณาจารย์ นักวิจัย และบุคลากรจำนวนไม่น้อย ที่นอกจากจะไม่ตระหนักถึงนัยยะความสำคัญในภารกิจของตน ยังติดอยู่ในกระบวนทัศน์ หลักคิด และวิธีการทำงานแบบเดิมๆ ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนปฏิเสธแนวคิดใหม่ๆ ที่ท้าทายสิ่งที่พวกเขาเชื่อและคุ้นเคย พวกเขาเหล่านั้นจึงไม่ต่างจากนักโทษที่ยังคงพอใจกับการถูกจองจำอยู่ในถ้ำของเพลโตไม่เปลี่ยนแปลง
สามกับดัก การอุดมศึกษาไทย
ภายใต้พลวัตโลกที่เปลี่ยนแปลง สถาบันอุดมศึกษาไทยกำลังเผชิญกับสภาวะ Work Hard, Not Be Smart หลายสถาบันมีการกำหนดวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ไว้สวยหรู แต่ก็ไม่สามารถผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างมีผลกระทบเชิงบวกได้
คำถามคือ เกิดอะไรขึ้นกับสถาบันอุดมศึกษาไทย? อาจจะถึงเวลาที่ไม่ใช่แค่ทบทวนวิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ และผลการดำเนินงาน แต่ต้องก้าวข้ามความคิดและวิธีการทำงานแบบเดิมๆ โดยย้อนกลับไปทบทวนสมมุติฐาน โลกทัศน์ และความเชื่อที่สถาบันอุดมศึกษามีอยู่ ว่ายังสอดคล้องกับพลวัตของโลกปัจจุบันและตอบโจทย์ฉากทัศน์ของโลกอนาคตหรือไม่
มี 3 กับดักที่สถาบันอุดมศึกษาไทยยังติดอยู่ในถ้ำของเพลโต ทำให้ไม่มีพลังเพียงพอในการชี้นำการเปลี่ยนแปลง
1) กับดักเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Traps)
2) กับดักในขีดความสามารถ (Capability Traps)
3) กับดักในตัวสมมติฐาน (Assumption Traps)
กับดักเชิงยุทธศาสตร์: ความไม่สอดรับกันระหว่างสถานะปัจจุบันของสถาบันอุดมศึกษา กับ ความคาดหวังและความต้องการของเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สาเหตุหลักมาจาก
การจะหลุดออกจากกับดักเชิงยุทธศาสตร์เหล่านี้ ต้องเริ่มจากความกล้าของสถาบันที่จะเปิดใจ ยอมรับความจริง นำมาสู่การยอมปรับเปลี่ยน อาทิ
กับดักในขีดความสามารถ: ความไม่สอดรับกันระหว่างทักษะและความรู้ที่มหาวิทยาลัยมอบให้ กับ สมรรถนะและความสามารถที่อุตสาหกรรม สังคม และเทคโนโลยีใหม่ต้องการ
ตัวอย่างแนวทางการหลุดออกจากกับดักในขีดความสามารถ ประกอบไปด้วย
กับดักในตัวสมมติฐาน: ความเชื่อ โลกทัศน์ หรือสมมุติฐานที่ล้าสมัย ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริง อาทิ
ตัวอย่างการสลัดหลุดออกจากกับดักในตัวสมมติฐาน อาทิ
หลุดออกจากถ้ำของเพลโต ชี้นำการเปลี่ยนแปลง
ศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษาในการชี้นำการเปลี่ยนแปลง จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสลัดหลุดจากทั้ง 3 กับดัก ควบคู่ไปกับการวาดฉากทัศน์เพื่อกำหนดอนาคตของสถาบันฯ ผ่าน 3 ชุดความคิดหลัก ดังต่อไปนี้
1. Significance x Profundity : นัยยะความสำคัญในบทบาทภารกิจ ที่ต้องมาพร้อมกับ ความคมชัด ความลึกซึ้ง และการสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นทั้งเชิงลึกและในวงกว้าง สามารถแปลง Real World Challenge เกิดเป็น Real World Impact
2. Relevance x Rigor : ภารกิจของสถาบันอุดมศึกษา มีความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ และตอบโจทย์ประชาคมโลก/ ประเทศ/ สังคม/ ชุมชนหรือไม่ แต่ต้องมาพร้อมกับ การสร้างความน่าเชื่อถือ ธรรมาภิบาล มาตรฐาน คุณภาพ และความถูกต้องแม่นยำ
3. Competition x Collaboration: สถาบันอุดมศึกษาต้องมีอัตลักษณ์ และตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ผ่านการสร้าง “จุดเด่น” “จุดร่วม” และ “จุดเริ่ม” จึงจำเป็นจะต้องพัฒนาขีดความสามารถของตนในระดับสากล ไปพร้อมๆกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในระดับโลก
เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม การผลักดันทั้ง 3 ชุดความคิดหลักนี้ จะดำเนินการผ่าน “การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เชิงปฎิบัตินิยม” (Strategic Pragmatism) กล่าวคือ สถาบันอุดมศึกษาจะต้องมีวิสัยทัศน์ ควบคู่ไปกับความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวในเวลาเดียวกัน เป็นความสามารถในการผสมผสานอุดมคติ (Idealism) และโลกความเป็นจริง (Realism) ได้อย่างลงตัว
เมื่อการอุดมศึกษาปรับ ประเทศไทยเปลี่ยน