
“ไกรยส ภัทราวาท” เปิดรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 2567 พบเด็กนอกระบบการศึกษามีแนวโน้มลดลง แต่เด็กยากจนเรียนต่อมหาวิทยาลัยน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประเทศถึง 2 เท่า เสนอสร้างระบบหลักประกันโอกาสการศึกษา ใช้บัตรประชาชนใบเดียวเรียนได้ไร้รอยต่อ
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวในงาน Equity Forum 2025 “ประเทศไทยกับการแก้ปัญหาเชิงระบบเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” พร้อมเปิดรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 2567 และทิศทางสำคัญในปี 2568 ว่า “ทุกวันนี้ประเทศไทยมีแนวโน้มฐานประชากรผู้สูงอายุ แต่ประชากรวัยแรงงานและเด็กเกิดใหม่ลดลง ความท้าทายคือ หากประเทศไทยจะยังคงมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน หนทางเดียวที่โครงสร้างประชากรจะให้คำตอบได้คือ เด็กและเยาวชนไทยต้องมีผลิตภาพหรือ productivity เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต หนีไม่พ้นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ”
ดร.ไกรยส กล่าวต่อว่า ไทยได้เข้าสู่งสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์แล้วจากการลดลงของอัตราการเกิด โดยในปี 2567 จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยมีเพียง 461,421 คน เป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่มีจำนวนเด็กเกิดไม่ถึง 5 แสนคนต่อปี คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของประชากรวัยแรงงาน และยังมีแนวโน้มว่าอัตราการเกิดจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป กำลังกลายเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากประชากรวัยแรงงานมากขึ้น
ปี2567 นักเรียนยากจนพิเศษ 1.3 ล้านคน รายได้เฉลี่ย 37 บาทต่อวัน
ดร.ไกรยส กล่าวต่อว่า ปีการศึกษา 2567 ประเทศไทยมีประชากรนักเรียนในช่วงวัยเรียนระดับก่อนประถมศึกษาและการศึกษาภาคบังคับ (อายุ 3 – 14 ปี) ประมาณ 8.5 ล้านคน ในจำนวนดังกล่าวมีนักเรียนกว่า 3 ล้านคนที่อยู่ในครัวเรือนภายใต้เส้นความยากจน (Poverty Line) เมื่อประมวลผลจากการคัดกรองโดยวิธีการวัดรายได้ทางอ้อม (Proxy Means Test) พบว่าประเทศไทยมีนักเรียนยากจนพิเศษระดับอนุบาล–มัธยมศึกษาตอนต้นในครัวเรือนยากจนที่สุด 15% แรกของประเทศ จำนวน 1,348,735 คน โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุด อันดับหนึ่งคือจังหวัดแม่ฮ่องสอน อันดับสองคือจังหวัดนราธิวาส และที่เหลือพบว่าส่วนใหญ่มีการกระจุกตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ขณะที่รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนนักเรียนยากจนพิเศษ ปีการศึกษา 2567 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 1,133 บาท/คน/เดือน หรือเฉลี่ยวันละ 37 บาท เมื่อเทียบกับปีการศึกษา 2566 ที่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่คนละ 1,039 บาท/คน/เดือน หรือเฉลี่ยวันละ 34 บาท
จากการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านโดยครูมากกว่า 400,000 คนทั่วประเทศพบสถานการณ์ความเปราะบางของครัวเรือนยากจนพิเศษในหลายมิติ เช่น มีนักเรียนยากจนพิเศษมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 38.77% ที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ เนื่องจากพ่อแม่อพยพย้ายถิ่นไปทำงานในเมือง หรือครอบครัวแหว่งกลาง และยังพบว่าสมาชิกในครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นผู้มีภาวะพึ่งพิง อาทิ มีผู้สูงอายุในครัวเรือน 44.43% มีคนว่างงานในครัวเรือน 27.3% มีคนพิการเจ็บป่วยเรื้อรังในครัวเรือน 12.41%
ดร.ไกรยส ให้ข้อมูลสภาพครอบครัวนักเรียนยากจนพิเศษว่า กว่า 52.14% พ่อแม่อยู่ด้วยกัน ถัดมา 42.35% เป็นครอบครัวหย่าร้างและแยกกันอยู่ 4.25% พ่อแม่เสียชีวิตหรือสาบสูญ และอีก 1.26% ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง
ส่วนระดับการศึกษาของผู้ปกครองนักเรียนครัวเรือนยากจนพิเศษ กว่า 47.76% อยู่ระดับชั้นประถมศึกษาเท่านั้น รองลงมาคือมัธยมศึกษาตอนต้น 21.60% ขณะที่ระดับที่น้อยสุดคือระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า เพียง 1.36%
1.1 ล้านคน ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ
ดร.ไกรยส กล่าวว่า เพื่อป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษาของเด็กเยาวชนกลุ่มเสี่ยงจากครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยมากกว่า 1.3 ล้านคนนี้ กสศ. จึงได้จัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer) หรือทุนเสมอภาค ให้แก่นักเรียนกลุ่มเป้าหมายจำนวน 1.3 ล้านคนอย่างต่อเนื่อง 3 ปีการศึกษา โดย กสศ. และ สถานศึกษาทั้ง 6 สังกัดได้ติดตามอัตราการมาเรียน และพัฒนาการของเด็กเป็นรายบุคคลอย่างใกล้ชิด ผลลัพธ์จากการดำเนินงานของโครงการตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สะท้อนการป้องกันไม่ให้นักเรียนยากจนพิเศษหลุดออกจากระบบก่อนสำเร็จการศึกษาภาคบังคับ โดยพบว่าอัตราการคงอยู่ในระบบการศึกษาอยู่ที่ 97.88%
แต่ยังมีช่องว่างสำคัญในเส้นทางการศึกษาของเด็กกลุ่มนี้ เช่น
- ในปีการศึกษา 2567 มีนักเรียนยากจนและนักเรียนยากจนพิเศษ จำนวนเพียง 22,345 คน จากนักเรียนทั้งหมด 165,585 คน หรือคิดเป็น 13.49% เท่านั้น ที่สามารถคงอยู่ในระบบการศึกษาจนสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอัตราการเรียนต่อระดับอุดมศึกษาของประชากรไทยกว่า 2 เท่า
- มีนักเรียนที่ครัวเรือนมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนอีกประมาณ 1.1 ล้านคน ยังไม่ได้รับการสนับสนุนหรือช่วยเหลือจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่หน่วยงานระดับนโยบาย หน่วยจัดสรรงบประมาณ และหน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษา ควรร่วมกันพัฒนามาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม ป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษาในช่วงวัยสำคัญ
- นอกเหนือจากการให้ความช่วยเหลือในมิติทางเศรษฐกิจแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีมาตรการส่งเสริมสภาพความเป็นอยู่และการดำรงชีวิตที่มีความท้าทายและสนับสนุนการดูแลช่วยเหลือในมิติอื่นๆ เพื่อไม่ให้ปัจจัยต่างๆ เหล่านั้นเป็นอุปสรรคต่อการคงอยู่ในระบบการศึกษา เพราะจากการลงพื้นที่พบว่าสถานการณ์ความเปราะบางของครอบครัวและสังคมที่เด็กต้องเผชิญมีแนวโน้มที่ซับซ้อน และท้าทายต่ออนาคตทางการศึกษาของเด็กเยาวชนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดึงเด็กกลับเข้าระบบ 3 แสนคน
ดร.ไกรยส กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์เด็กเยาวชนนอกระบบ ในปี 2567 จากการเชื่อมโยงข้อมูลเด็กและเยาวชนที่อายุ 3-18 ปี ระหว่างระบบสารสนเทศของสำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กับสำนักทะเบียนราษฎร์ กระทรวงมหาดไทย พบว่า มีเด็กและเยาวชนในช่วงอายุ 3-18 ปี (เกิดระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2550 – 31 ธันวาคม 2564 ) ที่ไม่มีชื่ออยู่ในระบบการศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 982,304 คน ซึ่งลดลงจากปีการศึกษาก่อนหน้าที่มีอยู่จำนวน 1.02 ล้านคน โดยเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่หน่วยงานต้นสังกัดทางการศึกษาต่างๆ สามารถพาเด็กเยาวชนมากกว่า 304,082 กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ยังมีเด็กเยาวชนที่ยังคงไม่มีชื่ออยู่ในระบบการศึกษาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2566 จำนวน 590,557 คน และมีเด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษากลุ่มใหม่ จำนวน 391,747 คน ในจำนวนนี้อยู่ในช่วงวัยการศึกษาภาคบังคับ จำนวน 387,591 คน คิดเป็น 39.46% ของเด็กและเยาวชนที่ไม่มีชื่อในระบบการศึกษาทั้งหมด (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2567)
จากปฏิบัติการค้นหา ช่วยเหลือเด็กเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษาที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่หลุดจากระบบซ้ำ พบว่า การสร้างพื้นที่ปลอดภัยต่อการเรียนรู้และเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ เป็นทางออกสำคัญของเรื่องนี้ ทั้งในมิติการป้องกันและช่วยเหลือ การส่งเสริม สนับสนุนให้ท้องถิ่นทุกระดับเห็นความสำคัญ เป็นแกนนำและทำหน้าที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนร่วมเป็นกลไกขับเคลื่อนโดยมีเด็ก เยาวชนเป็นศูนย์กลางมีข้อบัญญัติของท้องถิ่นที่แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจน และจัดสรรงบประมาณและกำลังคนรับผิดชอบต่อเนื่อง ไร้รอยต่อทางการเมือง จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การป้องกันและแก้ปัญหาเด็กเยาวชนอกระบบเกิดขึ้นจริงได้
กสศ. เสนอ บัตร ปชช. ใบเดียวเข้าถึงทุกระบบ
ทั้งนี้ กสศ. ยังได้เสนอนโยบาย 2 ประเด็นสำคัญ
รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) และคณบดีคณะการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงงานวิจัยที่ร่วมมือกับ กสศ. และ OECD ที่ประเมินสมรรถนะผู้เรียนตามมาตรฐานสากลเพื่อการพัฒนาสถานศึกษา หรือ PISA for Schools โดยสำรวจและประเมินสมรรถนะแบบ PISA ในสถานศึกษา 150 แห่ง จาก 16 จังหวัด มีข้อค้นพบที่สำคัญคือ นักเรียนที่มีระดับคะแนนผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ในระดับชั้น ป.6 ที่ดี จะมีแนวโน้มที่จะมีคะแนนสมรรถนะของ PISA สูงเช่นเดียวกัน ดังนั้น ความเหลื่อมล้ำในผลลัพธ์การเรียนรู้ที่พบจากผลการทดสอบ PISA ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แต่แท้จริงแล้ว เป็นเสมือนการขาดทุนที่สะสมมาตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาหรือระดับปฐมวัย ดังนั้นการส่งเสริมให้เยาวชนไทยมีคะแนน PISA ที่ดีขึ้นในอนาคต จึงควรเริ่มต้นจากมาตรการยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เสมอภาคตั้งแต่การศึกษาระดับประถมศึกษา และอาศัยเครื่องมือประเมินผลอย่าง O-NET ในการลดความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพการศึกษาระหว่างสถานศึกษาในระยะยาว
จูสตีน ซาส หัวหน้าฝ่ายการศึกษาเพื่อความครอบคลุมและความเท่าเทียมทางเพศ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก ณ กรุงปารีส เปิดเผยข้อมูล จากรายงานระดับโลก The Price of Inaction: The global private, fiscal and social costs of children not learning. หรือ ต้นทุนของการเพิกเฉย (The Price of Inaction) : ต้นทุนทางเศรษฐกิจ สังคม และภาครัฐจากการที่เด็กไม่ได้รับการศึกษา โดยระบุว่า หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ ภายในปี ค.ศ. 2030 ต้นทุนทางสังคมของเด็กที่ออกจากโรงเรียนก่อนกำหนดและเด็กที่มีทักษะต่ำกว่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ ตัวเลขเหล่านี้คิดเป็นมูลค่ามหาศาล ตัวเลข 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ มีมูลค่ามากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) รายปีของฝรั่งเศสและญี่ปุ่นรวมกัน
“การลงทุนในการศึกษาที่มีคุณภาพเป็นกลยุทธ์ที่คุ้มค่าที่สุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเพียงแค่ลดสัดส่วนของเด็กที่ออกจากโรงเรียนก่อนกำหนดรวมถึงลดสัดส่วนของเด็กที่มีทักษะต่ำกว่าพื้นฐานลงเพียง 10% เราจะสามารถเพิ่ม GDP แต่ละปีได้ถึง 1-2%”
อ่านรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 2567 และทิศทางสำคัญในปี 2568 ได้ที่ https://www.eef.or.th/publication-050225/