ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯแจงหนี้ 4 พันล้าน ไม่ใช่ ‘นิติกรรมอำพราง’ ย้อน ‘เรืองไกร’ ฟ้อง ป.ป.ช.ผิด กม.ข้อไหน – ครม.ผ่านร่าง กม.‘เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์’

นายกฯแจงหนี้ 4 พันล้าน ไม่ใช่ ‘นิติกรรมอำพราง’ ย้อน ‘เรืองไกร’ ฟ้อง ป.ป.ช.ผิด กม.ข้อไหน – ครม.ผ่านร่าง กม.‘เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์’

13 มกราคม 2025


เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
  • นายกฯแจงหนี้สิน 4 พันล้าน ยันไม่ใช่ ‘นิติกรรมอำพราง’
  • ถาม ‘เรืองไกร’ ฟ้อง ป.ป.ช.ผิดกฎหมายข้อไหน
  • ไม่หวั่น ‘ทักษิณ’ ช่วยหาเสียง อบจ. หลัง กกต. ชี้เสี่ยงผิด กม.
  • แจง ‘เงินหมื่น’ เฟส 2 บังเอิญตรงเลือกตั้งท้องถิ่น
  • มติ ครม.ส่ง ‘เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์’ ให้กฤษฎีกาตรวจ ก่อนเข้าสภาฯ
  • เคาะราคาอ้อยขั้นต้นทั่วประเทศ 1,160 บาท/ตัน
  • แก้ พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัว รองรับสมรสเท่าเทียม
  • ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯจังหวัดชายแดนใต้ 3 เดือน ปรับ อ.ยะหา ออกไปใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ
  • เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุม ครม. เสร็จสิ้น นางสาวแพทองธาร มอบหมายให้ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการ

    เปิดตัว ‘บ้านเพื่อคนไทย’ 17 ม.ค.นี้ จัดงบฯ 160 ล้าน ศึกษารายละเอียด

    นางสาวแพทองธาร รายงานว่าวันนี้ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติงบประมาณ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอเรื่องการของบกลางในการศึกษาการพัฒนาที่อยู่อาศัยรอบพื้นที่สถานีรถไฟที่มีศักยภาพ หรือ “บ้านเพื่อคนไทย” มีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน หรือ First Jobber โดยวันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2568 เวลา 14.00 น. จะมีกิจกรรมเปิดให้ดูบ้านตัวอย่าง

    ผู้สื่อข่าวถามรายละเอียดโครงการบ้านเพื่อคนไทย เช่น งบประมาณ วันเวลาเปิดจอง ฯลฯ โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “160 ล้านสำหรับการนำไปศึกษาโครงการ…แต่เรื่องรายละเอียด เดี๋ยวเราค่อยๆ เปิดทีละอย่าง อันนี้เป็นเรื่องการศึกษาก่อน”

    “วันที่ 17 ม.ค. จะให้เห็นภาพ อารมณ์ว่าถ้าเราไปดูบ้าน ดูคอนโด ก็คือห้องตัวอย่างให้เห็นว่าจะเป็นภาพแบบไหน” นางสาวแพทองธาร กล่าว

    ถามต่อว่าทำเลนำร่องที่ไหนบ้าง นางสาวแพทองธาร บอกว่า “ให้ท่านสุริยะ (สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม) แถลงทั้งหมดเลย”

  • รฟท.คัดที่ดินทำเลทอง 25 แปลง สร้าง “บ้านเพื่อคนไทย” ทั่วประเทศ
  • จี้ทุกกระทรวงแก้ PM2.5 ตามข้อสั่งการ

    นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ตนได้เน้นย้ำเรื่องฝุ่นควัน PM2.5 ในที่ประชุม ครม. โดยให้ทุกกระทรวงกำชับเรื่องการดำเนินการที่สั่งการไปสัปดาห์ที่แล้ว และให้ทำเรื่องนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

    ผ่าน พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์ฯส่งกฤษฎีกาตรวจทาน

    นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เช่น กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร และคณะกรรมการบริหารจัดตั้งสำนักงานกรรมการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร และมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในเรื่องการอนุญาตให้ประกอบสถานบันเทิงครบวงจร ฯลฯ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ จะให้กระทรวงการคลังนำเสนอต่อไป

    นางสาวแพทองธาร กล่าวถึงวัตถุประสงค์ว่า เพื่อเพิ่มเรื่องการท่องเที่ยว และส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ตลอดจนแก้ปัญหาการพนันที่ผิดกฎหมายในปัจจุบัน และทำให้เกิดผลดีต่อสังคมในอนาคตในภาพรวม

    “เป็นหนึ่งในการสนับสนุนเรื่องท่องเที่ยวยั่งยืน หรือ Manmade Tourist Destination ที่เคยประกาศแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไป” นางสาวแพทองธาร กล่าว

    เห็นชอบ ‘EFTA’ นัดเซ็น MOU สัปดาห์หน้า

    นอกจากนี้ ครม. มีมติเห็นชอบต่อร่างความตกลงการค้าเสรีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือ ‘เอฟตา’ (European Free Trade Association: EFTA) ประกอบด้วย ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอแลนด์และลิกเตนสไตน์ โดยจะมีการลงนาม FTA ระหว่างการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในสัปดาห์หน้า

    ยัน ‘กฤษฎีกา’ ไม่ขวาง “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” แค่ปรับคำ

    เมื่อถามถึง Entertainment Complex ว่า หากครม. เห็นชอบแล้ว ต้องส่งให้สภาพิจารณา หรือ ต้องนำความเห็นจากกฤษฎีกากลับมาทบทวนอีก โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เราให้กฤษฎีกามีความเห็นเฉย ๆ ทางกฤษฎีกาพูดว่าไม่ได้ขวาง หรือ อะไร แค่ต้องการจะปรับคอนเทนต์ข้างใน เพราะท่านก็พูดว่าได้อ่านข่าวมา มีขึ้นหัวข้อว่า ‘ขวาง’ ท่านบอกว่าไม่ได้ขวาง แค่อยากจะปรับคำให้เข้ากับตัวดิฉันได้แถลงต่อรัฐสภาว่า จะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว คือ ปรับคำให้มันเข้ากันเท่านั้นเอง”

    ถามย้ำ หลังจากนั้นจะว่าเข้าสภาได้เลยหรือไม่ นางสาวแพทองธาร ยืนยันว่า “ถูกต้องค่ะ เข้าสภาได้เลย”

    ถามต่อว่าเป้าหมายคือภายในปี 2568 หรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “จริงๆ ก็พยายามผลักดัน รอดูว่ากระบวนการต่างๆ ว่าจะผ่านอะไรแค่ไหน อย่างไร จริงๆ เกิดขึ้นเร็วก็ดี”

    “เราดูประเทศสิงคโปร์ที่เขามี Entertainment Complex มีกาสิโนแค่ 10% เอง นอกนั้นการท่องเที่ยว 80 – 90% เมื่อก่อนที่ท่องเที่ยวอาจจะน้อย แต่พอมีอันนี้ขึ้นมาก็ทำให้การท่องเที่ยวของเขาเจริญเติบโตอย่างมาก จีดีพีก็สูงขึ้น จะเกิดผลดีกับประเทศในอนาคต…เพราะฉะนั้นถ้าผลักดันให้เกิดขึ้นเร็วได้ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี” นางสาวแพทองธารกล่าว

    เมื่อผู้สื่อข่าวถามรายละเอียดการดำเนินการเพิ่มเติม นางสาวแพทองธาร บอกว่า “เดี๋ยวรอกระทรวงการคลังแถลงอีกทีเรื่องนี้”

    ถามต่อว่า มีข้อกังวลเรื่องมาเฟีย โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เราต้อง realistic อยู่ในความเป็นจริงว่า ทุกวันนี้มันก็มีพนันที่ไม่ถูกกฎหมายเต็มไปหมด เพราะฉะนั้นการจะส่งเสริมการท่องเที่ยว เมื่อกี้ก็บอกแล้วว่ามันจะเป็นการแก้ปัญหาเรื่องการโดนผู้มีอิทธิพลทำอะไรที่อยู่นอกกฎหมาย สิ่งที่เอามาอยู่ในกฎหมายให้กฎหมายมีระบุชัดเจนครอบคลุมก็จะทำให้ชีวิตของประชาชนปลอดภัยด้วย แถมเงินที่ได้ก็เป็นภาษีของประเทศ”

    “เราต้องมองภาพว่า โลกยุคปัจจุบันนี้แล้ว ถ้าเราเอาทุกอย่างมาทำให้มันโปร่งใสได้ ก็จะเป็นบวกให้ประเทศ มันเป็นเรื่องใหม่ เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องสื่อสารบ่อย ต้องอธิบายบ่อยหน่อย ฝากสื่อมวลชนถามคำถามมา แล้วจะพยายามให้กระทรวงต่างๆ ช่วยกันตอบเพื่อชี้แจงรายละเอียด ทุกคนจะได้เข้าใจภาพรวมไปพร้อมๆ กัน”

    แจงหนี้สิน 4 พันล้าน ยันไม่ใช่ ‘นิติกรรมอำพราง’

    ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อสังเกตการแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกรณีหนี้จากการกู้ยืม มูลค่า 4 พันล้านบาท อาจเป็นการทำนิติกรรมอำพราง โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “มันเป็นการซื้อ เป็นหนี้ระหว่างเครือญาติ เราก็ยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย แถลง ป.ป.ช.ไปหมดทุดอย่างแล้ว มันจะอำพรางอะไรได้จุดนี้ (หัวเราะเบาๆ)”

    ถามต่อว่า นายกฯ ยืนยันว่าเป็นหนี้ระหว่างเครือญาติใช่หรือไม่ นางสาวแพทองธาร ย้ำว่า “มันเป็นหนี้ระหว่างเครือญาติ”

    ถามต่อว่า กังวลหรือไม่ที่เรื่องนี้อาจซ้ำรอยคดีซุกหุ้นของนายทักษิณ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ไม่กังวลค่ะ เพราะไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายค่ะ”

    เมื่อถามถึงสามีของนายกฯ ไม่ได้มีชื่อเป็นกรรมการบริษัทแต่ไปให้กู้ อาจมีปัญหาเรื่องความโปร่งใส นางสาวแพทองธาร จึงตอบว่า “จริงๆ แล้วแจ้งรายละเอียดแบบละเอียดยิบ สามารถตรวจสอบได้ทุกอย่าง เพราะมาถึงจุดนี้จริงๆ มันก็ต้องแจ้งให้ละเอียดที่สุด”

    “ถ้า ป.ป.ช. มีเรื่องที่จะถามมา ก็ยินดีพร้อมตอบอยู่แล้ว ฉะนั้นไม่ต้องกังวลอะไร จะตีความอะไร อย่างไร ทางที่บ้าน-ทางทนายก็แจ้งทุกอย่างหมดเกลี้ยง” นางสาวแพทองธาร ตอบ

    ถาม ‘เรืองไกร’ ฟ้อง ป.ป.ช.ผิดกฎหมายข้อไหน

    ผู้สื่อข่าวบอกว่า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เตรียมยื่นฟ้อง ป.ป.ช. ทำให้นางสาวแพทองธาร พูดว่า “เรืองไกร อ๋อ” และกล่าวต่อว่า “ดิฉันเองก็ไม่ค่อยแม่นเรื่องกฎหมาย ถ้ามีการข่มขู่ว่าจะต้องจ่ายนั่น-นี่ เพื่อจะไม่ฟ้อง อ้างลูกเรียนต่างประเทศ ผิดกฎหมายข้อไหนบ้างคะ เผอิญไม่ค่อยแม่นเรื่องกฎหมายเท่าไร ต้องช่วยกันแจ้งนิดนึงว่าไม่ทราบเหมือน ผิดกฎหมายข้อไหนไหม”

    ไม่หวั่น ‘ทักษิณ’ ช่วยหาเสียง อบจ. หลัง กกต. ชี้เสี่ยงผิด กม.

    เมื่อถามถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร ผู้ช่วยหาเสียงนายก อบจ. และ กกต.ระบุว่าก้ำกึ่งผิดกฎหมายเลือกตั้ง นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “คุณทักษิณเป็นผู้ช่วยหาเสียง การที่จะพูดถึงนโยบายท้องถิ่นและบอกว่ามันจะซัพพอร์ตนโยบายภาพรวม อันนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ไม่ได้กังวลอะไร สมมติว่าถ้าจะผิดหรืออะไร คงต้องชี้แจงตามกระบวนการ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง”

    หลังจากนั้น นางสาวแพทองธาร พูดต่อว่า “อีกสักสองคำถาม เดี๋ยวต้องเดินทางไปนครสวรรค์”

    แจง ‘เงินหมื่น’ เฟส 2 บังเอิญตรงเลือกตั้งท้องถิ่น

    ผู้สื่อข่าวถามว่า การแจกเงิน 10,000 บาทในท้องถิ่นให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ (เงินหมื่นเฟสสอง) ถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้กับการเลือกตั้งท้องถิ่น โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เรากำหนดเรื่องเฟสสองมานานแล้ว ที่ประชาชนถามเฟสสองจะมากี่โมง เราก็ตอบเรื่องนี้มาเป็นระยะหนึ่งแล้วว่าจะเป็นช่วงหลังตรุษจีนนี้ เราก็ดูเรื่องงบประมาณ การจ่ายเงินด้วย”

    “ไม่เกี่ยวกับเลือกตั้งท้องถิ่นอยู่แล้ว จริงๆ ก็มีเลือกตั้งท้องถิ่นมาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวค่ะ ไม่เกี่ยวแน่นอน” นางสาวแพทองธาร กล่าว

    แจงเข้าพบองคมนตรี ขอคำแนะนำเรื่องน้ำท่วม

    สุดท้าย ผู้สื่อข่าวถามถึงการไปเข้าพบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเคยเป็นขั้วตรงข้ามกัน โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ทุกคนต้อง move on เวลามันหยุดอยู่กับที่ เวลามันผ่านไปเรื่อย ๆ ถามว่าเราจะนั่ง Hold ทุกเรื่องไว้ในใจของเราทั้งหมดมันหนัก อย่างที่บอกว่าไม่ค่อยได้เกลียดใคร ไม่ค่อยได้ไม่ชอบใคร บางเรื่องที่มันจัดการได้ก็จัดการได้”

    “พอดิฉันเข้าไปพบท่านองคมนตรี ก็ได้คำแนะนำดีๆ มาเยอะ เพราะท่านเคยถวายงานรับใช้ตอนรัชกาลที่ 9 เรื่องน้ำเยอะมาก ท่านก็แนะนำเรื่องน้ำท่วมต่างๆ”นางสาวแพทองธาร ตอบ

    “ถามว่าประโยชน์อยู่ที่ใคร ไม่ได้อยู่ที่ดิฉัน ไม่ได้อยู่ที่องคมนตรี อยู่ที่ประเทศชาติ เพราะฉะนั้นการเข้าไปคุยร่วมกับแบบนี้ เราก็ต้องมองภาพนั้นเลย ถ้าจะส่วนตัวอะไรยังไง ดิฉันไม่ได้คิดเลย ดิฉันไปก็สวัสดีปีใหม่ท่านและนั่งพูดคุย ทำงานกันต่อ เอาดราม่าให้น้อยหน่อย”นางสาวแพทองธาร กล่าว

    มติ ครม.มีดังนี้

    นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี , นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษก ฯ และนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษก ฯ ร่วมกันแถลงผลการประชุม ครม. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล
    ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

    ส่ง‘เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์’ให้กฤษฎีกาสอบทานก่อนเข้าสภาฯ

    นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ชี้แจงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์นั้น กฤษฎีกาไม่ได้เห็นแย้ง หรือ ไม่เห็นด้วย เป็นเพียงข้อสังเกตที่ต้องนำเรียน ครม. และจะสามารถนำไปปรับแก้เพิ่มเติมในกฤษฎีกา เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการสร้างแมนเมดเดสติเนชั่น หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ตามนโยบายที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อรัฐสภา

    ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร ได้เสนอให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบตามมติ คกก. และที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ…. ของกระทรวงการคลัง ซึ่งมีสาระสำคัญ เป็นการกำหนดให้มี กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เช่น กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร และคณะกรรมการบริหาร จัดตั้งสำนักงานกำกับการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร และกำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ประกอบสถานบันเทิงครบวงจร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและกำกับดูแลเพื่อให้เกิดธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรที่ได้มาตรฐาน เพื่อรองรับการท่องเที่ยวและส่งเสริมการลงทุนในประเทศ อันจะก่อให้เกิดผลดีต่อสังคมในภาพรวมและเป็นการสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และขอให้นำความเห็น และข้อสังเกตของที่ประชุม ที่เน้นให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างของกฎหมายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของนโยบายรัฐบาล การสร้างความชัดเจนในการกำกับดูแล และการป้องกันผลกระทบเชิงลบด้านสังคม เช่น การกำหนดพื้นที่สถานที่ตั้งให้มีความเหมาะสม การกำหนดผู้รักษาการร่วมตาม ร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

    ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อสังเกตว่า เรื่องนี้ก็ได้ผ่าน คกก.กลั่นกรองของรองนายกรัฐมนตรี มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม และให้ความเห็นมาเป็นจำนวนมาก ขอให้นำไปพิจารณาในการออก พ.ร.บ. และให้พิจารณาต้นแบบในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่ทำศูนย์กลางท่องเที่ยว และเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในรูปแบบนี้จนประสบผลสำเร็จ ทั้งในมิติสังคมและทุก ๆ ด้านที่เกี่ยวข้องมาเป็นข้อศึกษา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทยที่ต้องอธิบายให้ประชาชนทราบถึงผลดีที่คณะกรรมการศึกษามาว่ามีผลดีมากกว่า

    นายจิรายุ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมได้แสดงความคิดเห็นโดยระบุว่า สัดส่วนของคาสิโนมีเพียงแค่ 10% เท่านั้น ที่เหลือก็จะเป็นเอนเตอร์เทนเมนต์ และศูนย์ท่องเที่ยวและบันเทิงครบวงจรที่จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก เช่น การจัดการประชุม การจัดนิทรรศการระดับโลก การจัดคอนเสิร์ตหรือสถานที่ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สวนน้ำสวนสนุกในรูปแบบสมัยใหม่ และถือว่าประเทศไทยถึงเวลาที่จะต้องยอมรับความจริงหรือยังว่า วันนี้มีแหล่งการพนัน ทั้งบนดินและใต้ดินทั้งในประเทศและรอบ ๆ ประเทศ ซึ่งโครงการนี้จะเน้นไปที่ การสร้างเม็ดเงินจากธุรกิจการท่องเที่ยวให้กับประเทศ

    จากนั้นที่ประชุม ครม. ได้อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ….. ตามที่ ก.คลัง เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้นำความเห็นและข้อสังเกตของ คกก.กลั่นกรองฯ คณะที่ 5 รวมทั้งความเห็นไปประกอบการพิจารณา จากนั้นรัฐบาลจะนำเสนอร่าง พ.ร.บ.ฯ ฉบับนี้ ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 1 เพื่อรับหลักการ และวาระ 2 การตั้งแปรญัตติ และตั้งกรรมาธิการเพื่อพิจารณารายมาตราและจะเข้าสู่วาระที่ 3 เพื่อลงมติผ่าน พ.ร.บ. จากนั้นจะส่งต่อไปยังสมาชิกวุฒิสภาเพื่อพิจารณาอีกครั้ง

    กำหนดมาตรฐาน ‘เตาไมโครเวฟ’ ใหม่

    นาวสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเตาไมโครเวฟและเตาไมโครเวฟร่วมสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ

    รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเตาไมโครเวฟสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัย เฉพาะด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 1773-2548 โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิมและกำหนดมาตรฐานใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 60335 เล่ม 2 (25) – 2565 เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิชาการและมาตรฐานระหว่างประเทศในปัจจุบัน รวมทั้งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยในการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว โดยกำหนดให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 270 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

    เคาะราคาอ้อยขั้นต้นทั่วประเทศ 1,160 บาท/ตัน

    นาวสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2567/2568 ทั้ง 9 เขตคำนวณราคาอ้อย เป็นราคาเดียวทั่วทั้งประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม เสนอ

    รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า (1) ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2567/2568 ในอัตรา 1,160 บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. หรือเท่ากับร้อยละ 90.01 ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ (1,288.69 บาทต่อตันอ้อย) และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ 69.60 บาทต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส. (2) ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2567/2568 เท่ากับ 497.14 บาทต่อตันอ้อย

    โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง/เห็นชอบตามที่ อก. เสนอ โดยมีความเห็นเพิ่มเติมว่าควรพิจารณามาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อย โดยเฉพาะในเขตที่มีผลิตภาพต่ำกว่าเขตอื่น โดยการส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น การสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อลดต้นทุนแรงงานและระยะเวลาการผลิต พร้อมทั้งส่งเสริมการตัดอ้อยสดแทนการเผาอ้อย และเร่งศึกษาแนวทางการกำหนดราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิต และจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นที่แตกต่างกัน ตามเขตการผลิตเพื่อให้ราคาอ้อยและน้ำตาลที่ถูกกำหนดมีความเป็นธรรม และสะท้อนความสามารถในการผลิตที่แท้จริงของแต่ละพื้นที่ รวมทั้งการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อยและน้ำตาลที่ถูกต้องและเป็นที่ยอมรับ นอกจากนั้นควรพิจารณามาตรการเพิ่มมูลค่าของอุตสาหกรรม โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงต่อยอดจากอ้อย เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ เคมีภัณฑ์ และนวัตกรรมอาหาร ซึ่งจะสนับสนุนการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรม ซึ่งเป็นการส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาวของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทย

    กำหนด มอก. ‘หม้อทอด’ ไม่เกิน 5 ลิตรใหม่

    นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องทอดน้ำมันท่วมปริมาณน้ำมันสูงสุด ไม่เกิน 5 ลิตร และกระทะทอดต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญ เป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระทะไฟฟ้า เฉพาะด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานเลขที่มอก. 1509 – 2547 โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิมและกำหนดมาตรฐานใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 60335 เล่ม 2 (13) – 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิชาการ และมาตรฐานระหว่างประเทศในปัจจุบัน รวมทั้งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยในการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

    ทั้งนี้ ผู้ทำ ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องทอดน้ำมันท่วมปริมาณน้ำมันสูงสุดไม่เกิน 5 ลิตร และกระทะทอด จะต้องขอรับใบอนุญาตทำหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว และผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องทอดน้ำมันท่วมปริมาณน้ำมันสูงสุดไม่เกิน 5 ลิตร และกระทะทอด จะต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่ได้รับใบอนุญาตและเป็นไปตามมาตรฐาน โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

    ปรับมาตรฐานเครื่องไฟฟ้าดูแลเส้นผม – ขน – ผิว

    นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับการดูแลผม ขน หรือผิว ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ….ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับการดูแลผม ขน หรือผิวตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 1985 – 2549 โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิมและกำหนดมาตรฐานใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 60335 เล่ม 2 (23) – 256564 เพื่อแก้ไขปรับปรุงมาตรฐานเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีการทำและการใช้งานภายในประเทศ รวมทั้งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยในการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว

    ทั้งนี้ ผู้ทำหรือผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับการดูแลผม ขน หรือ ผิว จะต้องขอรับใบอนุญาตทำ หรือ นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว และผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับการดูแลผม ขน หรือ ผิว จะต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่ได้รับใบอนุญาตและเป็นไปตามมาตรฐาน โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าว จะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

    แก้ พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัว รองรับสมรสเท่าเทียม

    นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการต่างประเทศ ออกตามความในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัวพุทธศักราช 2478 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการต่างประเทศออกตามความ ในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัวพุทธศักราช 2478 ดังนี้

    • ปรับปรุงแบบคำร้องของขอจดทะเบียน จากเดิมคำร้อง 5 ฉบับ ประกอบด้วย 1) คำร้องขอจดทะเบียนสมรส 2) คำร้องขอจดทะเบียนการหย่า 3) คำร้องขอจดทะเบียนการรับรองบุตร 4) คำร้องขอจดทะเบียนการรับบุตรบุญธรรม และ 5) คำร้องขอจดทะเบียนเลิกการรับบุตรบุญธรรม) ให้รวมเป็นคำร้องขอจดทะเบียนเพียงฉบับเดียว
    • ปรับปรุงถ้อยคำในแบบคำร้องเป็นไม่ระบุเพศ เพื่อรองรับให้บุคคลเพศหลากหลายสามารถหมั้นและสมรสกันได้ มีสิทธิหน้าที่และสถานะทางครอบครัวเท่าเทียมกับคู่สมรสที่เป็นชายหญิง เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567
    • ปรับปรุงวิธีการจดทะเบียนของนายทะเบียนประจำสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลใหญ่ของไทยในต่างประเทศ โดยกำหนดให้นายทะเบียนส่งข้อมูลการจดทะเบียนและการบันทึกข้อมูลให้สำนักทะเบียนกลางผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์เพื่อจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลการทะเบียน
    • ปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมการขอคัดสำเนาทะเบียนให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน โดยกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการขอคัดสำเนาทะเบียนและมีการรับรองสำเนาทะเบียน ฉบับละ 300 บาท (เดิม ฉบับละ 2 บาท) และการขอทราบข้อมูลจากทะเบียนของสำนักทะเบียนกลาง รายละ 300 บาท (เดิม รายละ 4 บาท) ทั้งนี้ ตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ สถานที่และเวลาที่ใช้เงิน

    เพิกถอนที่ดินสาธารณะ สร้าง สนง.ที่ดินชัยภูมิ

    นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเพิ่มเติมตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้ง ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

    นายคารม กล่าวว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองฯ ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เป็นการถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน แปลง “ป่าช้าบ้านขี้เหล็กใหญ่สาธารณประโยชน์” ในท้องที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ บางส่วน เนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ 34 ตารางวา (จากเนื้อที่ทั้งหมด 8 ไร่ 1 งาน 34 ตารางวา คงเหลือเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเนื้อที่ประมาณ 1 งาน กันไว้เพื่อให้ประชาชนใช้เดินทางเข้าออก) ซึ่งปัจจุบันราษฎรได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงนี้บางส่วนแล้ว เพื่อมอบหมายให้กรมที่ดินใช้เป็นที่ตั้งอาคารสำนักงานที่ดินจังหวัดชัยภูมิแห่งใหม่ ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบในหลักการ โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ซึ่งควรคำนึงถึงความคุ้มค่า การรักษาสิ่งแวดล้อม และควรกำหนดสัดส่วนพื้นที่สีเขียว ตลอดจนผลกระทบจากน้ำท่วมขัง และควรมีการประชาสัมพันธ์ เพื่อการติดต่อราชการด้วย

    เห็นชอบ MOU ด้านดิจิทัลระหว่างไทย-ฟิลิปปินส์

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ว่าด้วยความร่วมมือด้านดิจิทัล ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคําที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อ ผลประโยชน์ของไทย ขอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการโดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอีก รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ตามกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ

    ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีระหว่าง ผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่าย และพัฒนาความร่วมมือบนพื้นฐานของผลประโยชน์และความเข้าใจร่วมกันและการเคารพซึ่งกันและกัน สำหรับ ขอบเขตความร่วมมือภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ได้แก่

      1) ความเชื่อมโยงทางดิจิทัลผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดร่วมกัน ในสาขาต่าง ๆ อาทิ การส่งเสริมการเชื่อมโยงทางดิจิทัลที่แพร่หลาย การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดึงดูดการลงทุน
      2) ธรรมาภิบาลภาครัฐอิเล็กทรอนิกส์ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดร่วมกัน ในสาขาต่าง ๆ อาทิ ยุทธศาสตร์และบริการรัฐบาลดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์
      3) ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ผ่านการดำเนินความร่วมมือต่าง ๆ อาทิ การแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดร่วมกัน การจัดการฝึกอบรมและสัมมนา และการร่วมมือกันเกี่ยวกับมาตรฐานทางเทคนิคสำหรับการนําระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลไปใช้
      4) เทคโนโลยีอุบัติใหม่ ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดร่วมกัน ในสาขาต่าง ๆ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ คลาวด์คอมพิวติ้ง IoT และข้อมูลขนาดใหญ่ และ
      5) ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดร่วมกัน รวมถึงการร่วมมือเพื่อจัดการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างทักษะความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่มีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร ครั้งสุดท้าย โดยผู้เข้าร่วมผ่านช่องทางทางการทูตว่า ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดภายในประเทศเพื่อให้บันทึกความเข้าใจมีผลบังคับใช้แล้ว โดยบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 6 ปี โดยอาจมีการต่ออายุบันทึกความเข้าใจโดยอัตโนมัติเป็นระยะเวลาเท่ากันอีก 6 ปี โดยต้องได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่าย และไม่ก่อให้เกิดภาระผูกพันทางกฎหมายใด ๆ กับผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายทั้งโดยตรงหรือโดยปริยาย

    “การจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับดังกล่าว จะเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างครอบคลุม ผ่านการดำเนินกิจกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด ร่วมกัน ตลอดจนการจัดการฝึกอบรมและสัมมนา และการร่วมมือกันทั้งในเชิงนโยบาย, เชิงเทคนิคเพื่อนําไปสู่การเชื่อมโยงทางดิจิทัลอย่างครอบคลุม การพัฒนารัฐบาลดิจิทัล และการพัฒนาระบบการพิสูจน์ และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลจนถึงเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจทางเทคโนโลยีอุบัติใหม่ บนพื้นฐานของความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งจะนําไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของทั้งสองประเทศ”นายคารม กล่าว

    มอบ สธ.เซ็น MOU ด้านสาธารณสุขไทย – จีน

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับคณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือสาขาสาธารณสุข (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคําที่มิใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้คณะรัฐมนตรีมอบให้ สธ. เป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง รวมทั้ง อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว

    นายคารม กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับคุณประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือสาขาสาธารณสุข (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) เพื่อนํามาใช้แทนบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ ด้านสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขสาธารณรัฐประชาชนจีนและกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทย (บันทึกความเข้าใจฉบับเดิม) ที่สิ้นสุดการมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2550 โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ ยังคงมีสาระสำคัญคล้ายกับ บันทึกความเข้าใจฉบับเดิมที่เป็นการกำหนดกรอบสาขาความร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายประสงค์ ที่จะมีการดำเนินงานร่วมกัน (เช่น สาขาโรคติดต่อ สาขาโรคไม่ติดต่อ) ซึ่งได้มีการปรับปรุงด้านสุขภาพ) และยังคงกำหนดรูปแบบความร่วมมือในลักษณะเดิม (เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และผู้เชี่ยวชาญ) ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ลงนาม และจะต่ออายุออกไปอีก 5 ปี โดยอัตโนมัติ เว้นแต่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งความประสงค์ที่จะยกเลิกร่างบันทึกความเข้าใจฯ

    เห็นชอบผลประชุม รมต.ท่องเที่ยวอาเซียนครั้งที่ 28

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอดังนี้

    1. เห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์สำคัญของการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้ง 28 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (ร่างเอกสาร ผลลัพธ์ฯ) (การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนฯ) จำนวน 4 ฉบับ ได้แก่

      (1) ร่างถ้อยแถลงสื่อร่วม การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 28
      (2) ร่างถ้อยแถลงสื่อร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม [สาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน) สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ญี่ปุ่น] ครั้งที่ 24
      (3) ร่างถ้อยแถลงสื่อร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน – อินเดีย ครั้งที่ 12 และ
      (4) ร่างถ้อยแถลงสื่อร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน – รัสเซีย ครั้งที่ 4 ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ขอให้ กก. ดำเนินการได้ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก และ

    2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนฯ ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรี ท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Tourism Minister) ของไทย และร่วมรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ จำนวน 4 ฉบับ โดยไม่มีการลงนาม โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

      1. การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ปี พ.ศ. 2568 จะจัดขึ้น ในวันที่ 19 – 20 มกราคม 2568 ณ เมืองยะโฮร์บาห์รู สหพันธรัฐมาเลเซีย ซึ่งประกอบด้วย (1) การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 28 (2) การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 24 (3) การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน – อินเดีย ครั้งที่ 12 และ (4) การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน – รัสเซีย ครั้งที่ 4 โดยรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจะต้องให้การรับรองเอกสารผลลัพธ์ฯ จำนวน 4 ฉบับ (ตามข้อ 1) ซึ่งจะมีการแถลงข่าวร่วมกันในวันที่ 20 มกราคม 2568

      2. ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ จำนวน 4 ฉบับ มีสาระสำคัญ ดังนี้ 1) ร่างถ้อยแถลงสื่อร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 28 มีเนื้อหาแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในการดำเนินกิจกรรมภายใต้แผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน ปี พ.ศ. 2559 – 2568 และแผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยวอาเซียนหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) เพื่อมุ่งสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่สามารถรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืน ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนผ่านการดำเนินกิจกรรมการตลาด การส่งเสริมให้อาเซียนเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเรือสำราญ รวมทั้งการจัดทำมาตรฐานด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอาเซียน 2) ร่างถ้อยแถลงสื่อร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 24 มีเนื้อหาสนับสนุนการดำเนินการตามแผนงานด้านการท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม ปี พ.ศ. 2564 – 2568 การพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยว การแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ในการส่งเสริมความยั่งยืนระหว่างอาเซียนและประเทศบวกสาม รวมถึงศูนย์อาเซียน – จีน อาเซียน – เกาหลีใต้ และอาเซียน – ญี่ปุ่น การเข้าร่วมงานด้านการตลาดท่องเที่ยวระหว่างประเทศ เช่น World Exposition 2025 ณ เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น การส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกอาเซียน ร่วมมือกับเกาหลีใต้ในการจัดกิจกรรมภายใต้โครงการข้อริเริ่มภาคีเกาหลีใต้เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 3) ร่างถ้อยแถลงสื่อร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยว อาเซียน – อินเดีย ครั้งที่ 12 เนื้อหามุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนในระดับภาคประชาชนระหว่างอาเซียนและอินเดียผ่านการประกาศให้ปี พ.ศ. 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวระหว่างกัน และ 4) ร่างถ้อยแถลงสื่อร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน – รัสเซีย ครั้งที่ 4 มีเนื้อหาสนับสนุนความร่วมมือระหว่างอาเซียนและรัสเซีย ในการพัฒนาช่องทางเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในภาคประชาชน และการใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจ

    “การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนปี พ.ศ. 2568 เป็นช่องทางสำคัญให้ประเทศสมาชิกอาเซียนรับทราบผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการท่องเที่ยวอาเซียนตลอดปี 2567 เพื่อร่วมกันกำหนดกรอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานในอนาคตเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศสมาชิกอาเซียน ในปี พ.ศ. 2568 ต่อไป” นายคารม กล่าว

    ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯจังหวัดชายแดนใต้ 3 เดือน ปรับ อ.ยะหา ออกไปใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ

    นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส ยกเว้นอำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง อำเภอยะหา อำเภอรามัน อำเภอกาบัง และอำเภอกรงปินัง ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 19 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นการขยายระยะเวลาครั้งที่ 79

    และเห็นชอบให้ปรับลดพื้นที่อำเภอยะหา จังหวัดยะลา ออกจากพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เพื่อนำพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาบังคับใช้แทน ตั้งแต่ 20 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 เพื่อให้การบริหารจัดการการรักษาความสงบและความปลอดภัยมีเอกภาพและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

    อ่าน มติ ครม.ประจำวันที่ 13 มกราคม 2568 เพิ่มเติม