ThaiPublica > เกาะกระแส > เกาะกระแสนโยบายการเงิน > ธปท.ยืนยันยังไม่เห็นสัญญาณเงินฝืด ย้ำใช้เครื่องมือหลายอย่าง ไม่ได้ใช้นโยบายดอกเบี้ยอย่างเดียว

ธปท.ยืนยันยังไม่เห็นสัญญาณเงินฝืด ย้ำใช้เครื่องมือหลายอย่าง ไม่ได้ใช้นโยบายดอกเบี้ยอย่างเดียว

28 สิงหาคม 2024


วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2567 ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปาฐกถาพิเศษ ที่งานสัมมนาประจำปี “Thailand’s Monetary Policy Challenge: How to Manage the Risks in a Changing Global Environment” (ความท้าทายนโยบายการเงินไทย: บริหารความเสี่ยงในสภาวะแวดล้อมโลกที่เปลี่ยนแปลง) ในงาน Thailand Focus 2024 : Adapting to a Changing World ที่จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่สาขาต่างๆ ฟื้นตัวไม่เท่ากัน โดยเศรษฐกิจไตรมาสสี่ปีที่แล้วโตติดลบ จีดีพีลดลง 0.5% จากไตรมาสก่อนหน้า จากผลของงบประมาณรัฐบาลล่าช้า ส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด เศรษฐกิจไทยในไตรมาสหนึ่งของปีนี้เติบโต 1.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และจีดีพีไตรมาสสองโต 0.8% จากไตรมาสแรก

การฟื้นตัวจะดำเนินต่อไปในครึ่งหลังของปี และธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่า จีดีพีทั้งปีจะเติบโต 2.6% ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของหน่วยงานรัฐบาลอื่น และนักวิเคราะห์

ในขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 0.8% ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ 1-3% แต่เงินเฟ้อจะเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงครึ่งหลังของปี

“แม้เงินเฟ้อจะต่ำกว่าเป้าหมาย แต่ยังไม่เห็นสัญญาณเงินฝืด ราคาสินค้าเพียงบางรายการที่มีราคาลดลง แต่ยังไม่ลดลงในวงกว้าง ผู้บริโภคไม่ได้หยุดใช้จ่ายเพื่อรอให้ราคาสินค้าลดลงไปอีก” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว

ในการดำเนินนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติ 6 ต่อ 1 เสียง คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% ต่อปี ในการประชุมเมื่อ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา

  • กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ต่อปี
  • ในการดำเนินนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญกับแนวโน้มข้างหน้า มากกว่าที่จะอิงกับข้อมูลตลาด โดยให้ความสำคัญกับสามเรื่องดังต่อไปนี้

    เรื่องแรก การเติบโตของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะโต 2.6% ในปีนี้ และ 3% ในปีหน้า ระดับการเติบโตถือว่าไม่สูง แต่สอดคล้องกับศักยภาพในการเติบโตระยะยาวของไทยที่ระดับ 3% บวกลบ

    การเติบโตได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านประชากร โดยประชากรกำลังแรงงานลดลง การที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตสูงกว่าระดับนี้ มีทางเดียวคือการเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน การลงทุน การพัฒนาเทคโนโลยี การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะได้ผลระยะสั้นเท่านั้น ศักยภาพการเติบโตระดับนี้ถือเป็นภาวะปกติใหม่ของไทย (New Normal)

    เรื่องที่สอง เงินเฟ้อไทยลดลง และกำลังกลับเข้าสู่เงินเฟ้อเป้าหมาย เศรษฐกิจไม่ได้ไหลลงสู่ภาวะเงินฝืด เงินเฟ้อไทยต่างจากประเทศอื่น เงินเฟ้อภาคบริการของไทยไม่สูง ค่าเช่าทรงตัวและดึงเงินเฟ้อลง

    เรื่องที่สาม คือ เสถียรภาพการเงิน ซึ่งเป็นถือว่าเป็นปัญหาท้าทายมาก จากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% ของจีดีพี ปัญหาน่ากังวลเพราะหนี้เงินกู้บ้านของไทยมีประมาณเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น เทียบกับหนี้ครัวเรือนของประเทศพัฒนาแล้วที่หนี้จำนองบ้านถือเป็นส่วนใหญ่ของหนี้ครัวเรือน ยอมรับว่าแก้ไขยากและต้องใช้เวลา ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการทำให้หนี้ครัวเรือนลดลงมาที่ระดับ 80% ต่อจีดีพี

    จากที่ภาคเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไม่เท่ากัน ภาคท่องเที่ยวและที่เกี่ยวข้องฟื้นตัวดี แต่ภาคการผลิตอ่อนแอ การฟื้นตัวของรายได้ของประชาชนก็ไม่เท่ากัน ผู้ประกอบอาชีพส่วนตัวเช่น แม่ค้า คนขับแท็กซี่ยังได้รับผลกระทบ รายได้ยังไม่ฟื้นตัวดี หลังจากที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากช่วงโควิดระบาด

    แม้เศรษฐกิจมหภาคฟื้นตัว แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้รู้สึกว่าฟื้นตัวตามไปด้วย นอกจากนี้ ธปท.คาดสินเชื่อด้อยคุณภาพจะเพิ่มขึ้นไป แต่ไม่ถึงขึ้นรุนแรง และคุณภาพสินเชื่อจะด้อยลงต่อไป

    ผู้ว่า ธปท. กล่าวต่อว่า นโยบายการเงินนั้น เน้นนโยบายผสมสาน นโยบายดอกเบี้ยเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการหลายอย่าง และพร้อมปรับหากสถานการณ์เปลี่ยน ไม่ได้ยึดติดจนเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญกับมาตรรองรับความเสี่ยง เพราะสถานการณ์ในโลกไม่แน่นอนคาดการณ์ไม่ได้ จึงต้องทำนโยบายเผื่อไว้หลายๆ ทาง นอกจากนโยบายดอกเบี้ยก็ยังมีมาตรการอื่นๆ เช่น การให้เงินกู้อย่างรับผิดชอบของสถาบันการเงินเพื่อส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้

  • ผู้ว่าธปท. แจง More Openness ที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายดอกเบี้ยตามสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป