แพทองธาร ชินวัตร ขอบคุณทุกเสียงโหวตหลังสภาผู้แทนราษฎรมีมติ 319 เสียงเห็นชอบ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 เชื่อสามารถจัดการกับความกดดันและทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ เพราะมีทีมที่ดีมีประสบการณ์ในการทำงาน ขณะที่หัวหน้าพรรคประชาชน ย้ำจุดยืนไม่โหวตนายกฯ ผสมข้ามขั้ว เรียกร้องทุกฝ่ายร่วมมือแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่ออำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนแท้จริง

วันที่ 16 สิงหาคม 2567 สภาผู้แทนราษฎรได้จัดประชุมเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งปรากฎว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เห็นชอบ ให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ด้วยคะแนนเห็นชอบ 319 ไม่เห็นชอบ 145 งดออกเสียง 27 เสียง
ทั้งนี้ในจำนวนที่เห็นชอบได้เสียงจากสส.พรรคไทยสร้างไทยซึ่งเป็นฝ่ายค้าน 6 คน เห็นชอบให้น.ส.แพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรีประกอบด้วย นางสุภาพร สลับศรี สส.ยโสธร นายหรั่ง ธุระพล สส.อุดรธานี นายอดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ สส.อุดรธานี นายชัชวาล แพทยาไทย สส.ร้อยเอ็ด นางรำพูล ตันติวณิชชานนท์ สส.อุบลราชธานี และนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ
นอกจากนี้มีเสียงเห็นชอบจากพรรคเล็กอีก 3 พรรค พรรคละ 1 เสียง ได้แก่ พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน พรรคใหม่ เห็นชอบให้น.ส.แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย
ขณะที่เสียงไม่เห็นด้วย 145 เสียงนั้น เป็นเสียงของพรรคประชาชน 143 เสียง พรรคเป็นธรรม 1 เสียง และพรรคไทยก้าวหน้า ของนายไขยามพวาน มั่นเพียรจิตติ์ 1 เสียง ส่วนคะแนนงดออกเสียงมาจากพรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง

“แพทองธาร ชินวัตร” ขอบคุณทุกเสียงโหวต
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ได้แถลงข่าวหลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวว่า ” ขอบพระคุณเสียงโหวตจากตัวแทนประชาชนทุกท่าน ดิฉันและทีมจะทำหน้าทีอย่างเต็มความสามารถไม่ว่าจะเป็นหน้าที่อะไรที่รับมอบหมาย”
“ ก่อนอื่นต้องขอบพระคุณ นายกฯเศรษฐา ทวีสินที่ท่านทำงานหนักมาตลอดเกือบ 1 ปีเต็ม แน่นอนค่ะว่าเราทุกคนจะทำงานหนักเพื่อพี่น้องประชาชนต่อไปค่ะ”
ผู้สื่อข่าวถามถึง การตั้งคณะรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า จะขอให้มีการโปรดเกล้าอย่างเป็นทางการจึงจะขอพูดเรื่องการบริหารอีกครั้ง และคิดว่าวันนี้ตั้งใจจะมาเพื่อขอบคุณคะแนนโหวตมากกว่าและตอนนี้เองก็รู้สึกตื่นเต้น ซึ่งต่างจากปกติที่เวลาพูดต่อหน้าไมโครโฟนจะไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นมาก แต่วันนี้รู้สึกตื่นเต้นมาก
ผู้สื่อข่าวถามว่า ลุ้นผลโหวตที่ไหน น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “อยู่กับ พี่ชาย และพี่สาว และสามี ขณะที่ได้โทรคุยกับคุณพ่อ ได้เฟซไทม์และขอให้ทำให้เต็มที่ และ แซวว่าดีใจมีหวังว่าจะได้เห็นลูกสาวได้รับตำแหน่งก่อนที่ท่านจะเป็นอัลไซเมอร์ หรืออะไรไป เพราะท่านอายุเยอะแล้วก็พูดกันเล่นๆและเป็นกำลังใจให้กันเสมอ ส่วนคุณแม่ ก็อย่างที่ทุกคนทราบว่าเป็นห่วงบ่อย บอกว่าทานข้าวหรือยังเพราะระหว่างที่รับโทรศัพท์ของแม่กำลังทานข้าวอยู่พอดี แม่เลยบอกให้ค่อยๆทาน ก็เลยบอกคุณแม่ว่าจะดูแลตัวเองให้ดี”
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีแรงกดันมากหรือไม่กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี น.ส.แพรทองธาร กล่าวว่า ความกดดันสามารถจัดการกับมันได้ และในการทำงานขอบอกตรงนี้เลยว่าใน mindset ตั้งแต่ก้าวมาเป็นการเมือง ไม่เคยคิดว่าตัวเก่งดีที่สุด เก่งที่สุดในห้อง แต่คิดว่าตัวเองมีแรงผลักดันที่้ชัดเจน และเรามีทีมที่ดีและเราโชคดีตรงนี้ที่ทีมของเราเข้มแข็ง มีประสบการณ์ความตั้งใจ และคิดไปในแนวทางเดียวกัน ทำให้ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม เมื่อเรามีทีมที่ดี ก็จะประสบความสำเร็จได้
ผู้สื่อข่าวถามถึงนโยบายของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขอรอทูลเกล้าก่อน เพราะยังไม่ได้อยากลงรายละเอียดมากมาย รวมถึงเรื่องของ คณะรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน เพราะว่าในวันนี้ที่มาพูดยังเป็นในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

พรรคประชาชน ย้ำจุดยืนไม่โหวตนายกฯ ผสมข้ามขั้ว
สำหรับบรรยากาศในการประชุมสภาผู้แทนราฏร ก่อนโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานนการประชุมวันนี้ ได้เปิดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอภิปรายไม่เกิน 20 นาที โดยไม่ให้อภิปรายเรื่องคุณสมบัติ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของรัฐสภา
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปรายระบุว่า วันนี้เป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการยืนยันอำนาจสูงสุดที่เป็นของประชาชนให้กลับมายืนหยัดสง่างามอีกครั้ง วันนี้พรรคประชาชนเลยจะยังไม่ใช้เวทีนี้ในการอภิปรายคุณสมบัติของผู้ที่ถูกเสนอชื่อหรืออภิปรายถึงความเหมาะสมของนโยบายรัฐบาล
“แต่วันนี้ในฐานะพรรคประชาชน จะอภิปรายเพื่อเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญที่จะอยู่ในรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ว่าพวกเราไม่เห็นด้วยกับกระบวนการนิติสงครามที่ดำเนินการโดยกลุ่มชนชั้นนำที่ทุบทำลายอำนาจที่มาจากพี่น้องประชาชน วันนี้ไม่ว่าเพื่อนสมาชิกจะลงมติอย่างไร เชื่อว่าภารกิจของพวกเราในฐานะ สส. รวมถึงภารกิจของนายกรัฐมนตรีคนถัดไป คือการกลับไปแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ ที่ทำให้พวกเราต้องมานั่งอยู่ในสภาฯ วันนี้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของผม ของ สส. คนใดคนหนึ่ง หรือของพรรคการเมืองใด แต่เป็นเรื่องของทุกคน” นายณัฐพงษ์กล่าว
นายณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า นับแต่ พ.ศ.2541 ที่มีการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ 2540 มีการยุบพรรคการเมืองไปแล้ว 111 พรรค รวมถึงพรรคก้าวไกล หลายคนอาจบอกว่า 111 พรรคเป็นตัวเลขจากการยุบพรรคที่นับรวมกรณีที่พรรคขาดหลักเกณฑ์ขาดคุณสมบัติด้วย แต่หากนับเฉพาะคดียุบพรรคซึ่งเป็นคดีทางการเมือง ก็มีหลายกรณี อาทิ การยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย และการยุบพรรคไทยรักษาชาติ พรรคอนาคตใหม่ จนถึงพรรคก้าวไกลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเพื่อน สส. หลายคนในห้องประชุมนี้ ล้วนเป็นเหยื่อจากคำตัดสินทางการเมืองและเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากระบบที่ให้อำนาจล้นเกินกับศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณายุบพรรคการเมือง

นอกจากการยุบพรรค ยังมีกรณีอื่นที่เกี่ยวข้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เช่น กรณีการถือหุ้นสื่อที่ส่งผลให้เพื่อน สส. บางคนต้องพ้นสมาชิกภาพ ไม่ว่าจะเป็น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ โดยในบางกรณี ศาลวินิจฉัยว่าเพียงแค่มีวัตถุประสงค์ในหนังสือบริคณห์สนธิและถือหุ้นเพียงหุ้นเดียว ก็มีความผิด ทั้งที่ทราบดีว่าบริษัทเหล่านี้ไม่ได้ทำกิจการเกี่ยวกับสื่อแล้ว
นอกจากกรณียุบพรรคและกรณีถือหุ้นสื่อ ที่มีผลกระทบต่อผู้แทนราษฎรฝ่ายนิติบัญญัติโดยตรง ยังมีกรณีที่นายกรัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายบริหารถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งหลายครั้งไม่ว่าจะเป็น สมัคร สุนทรเวช หรือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และล่าสุดที่ทำให้ต้องมาอภิปรายในวันนี้คือกรณีเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งคิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาของการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ อำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ที่จะทำอย่างไรไม่ให้รุกล้ำเขตแดนอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจนล้นเกิน
และยังมีอีกหลายกรณีการถูกประหารชีวิตทางการเมืองตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ด้วยข้อหาผิดจริยธรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็น พรรณิการ์ วานิช อดีต สส. พรรคอนาคตใหม่, ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส. พรรคพลังประชารัฐ, กนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต สส. พรรคภูมิใจไทย และ ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ อดีต สส. พรรคพลังประชารัฐ
“ผมคิดว่า สส. ทุกคนที่นั่งในห้องนี้ น่าจะเห็นปัญหาแบบเดียวกัน ในฐานะที่หลายคนอยู่ในโลกการเมืองมาก่อนนานนัก มีใครที่คิดว่าคนที่ผมเอ่ยชื่อสมควรถูกประหารชีวิตทางการเมืองหรือไม่ ไม่ว่าเขาจะถูกหรือผิดอย่างไร เรามีกลไกตรวจสอบ มีโทษอาญา มีคดีการทุจริตคอร์รัปชันในการตรวจสอบอยู่แล้ว” นายณัฐพงษ์กล่าว
มาตรฐานทางจริยธรรม เป็นมาตรวัดที่ปัจเจกแต่ละคนมองเห็นแตกต่างกัน จึงควรเป็นกฎกติกา กระบวนการที่ตรวจสอบกันในลักษณะ Code of Conduct ไม่ใช่กฎกติกาที่ให้องค์กรอื่นเช่น องค์กรตุลาการมาผูกขาดการนิยามและการวินิจฉัย ดังนั้น หากจะมีใครตัดสินจริยธรรมของนักการเมืองในฐานะที่นักการเมืองมาจากพี่น้องประชาชน ก็คิดว่าควรต้องใช้ความรับผิดรับชอบทางการเมือง ใช้เสียงของพี่น้องประชาชนมาเป็นคนตัดสินเป็นหลัก
เรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวต่อว่า จากประวัติศาสตร์การเมืองไทยโดยย่อที่กล่าวมา จะมีช่วงเวลาไหนที่รองประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง และประมุขของฝ่ายบริหารต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ไปพร้อมๆ กันภายในเวลาไม่กี่วัน ทำให้เกิดสภาพสุญญากาศทางการเมืองในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ผ่านมาได้เห็นเมื่อเกิดปฏิวัติรัฐประหารโดยกองทัพ แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป เรากำลังอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่เต็มใบอีกรูปแบบหนึ่ง
“การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิตของผม แต่ผลการเลือกตั้งวันนั้นต้องเป็นโมฆะ ทำลายเสียงที่ผมออกไปใช้สิทธิ เนื่องด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ที่บอกว่าคูหาเลือกตั้งหันออกนอกหน่วย ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยตรงและลับ คำวินิจฉัยแบบนี้เองที่ทำร้ายจิตใจ สร้างแผลลึกให้ประชาชนคนไทยทุกคน นี่เป็นความจริงที่เราประสบมาร่วมกัน” นายณัฐพงษ์
ภายหลังการรัฐประหารปี 2557 ที่นำมาสู่รัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งคณะผู้ยกร่างมีแนวคิดว่านักการเมืองเป็นสิ่งเลวร้ายที่พวกเขาต้องฉกฉวยโอกาสจากอำนาจที่ได้มาจากการรัฐประหาร โดยการฉีกรัฐธรรมนูญ มาออกแบบกติกาบนพื้นฐานรัฐธรรมนูญที่พยายามนำเสนอว่าเป็น “รัฐธรรมนูญปราบโกง” แต่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา
หลังจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ได้พิสูจน์แล้วว่าแนวคิดแบบนี้ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย ซ้ำร้ายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังถูกเอาไปใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งของกลุ่มชนชั้นนำผู้ถือ “ใบอนุญาต” อีกหนึ่งใบ ที่ใช้อำนาจเหล่านั้นมาทุบทำลายผู้แทนราษฎรที่มาจากประชาชน โจทย์ใหญ่สำคัญของพรรคประชาชนในขณะนี้ คือการสร้างเสถียรภาพให้กับประเทศ ทำอย่างไรให้เรามีนายกรัฐมนตรีคนถัดไปมาทำหน้าที่เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ประเทศเราต้องเกิดสุญญากาศทางการเมืองหรือสุญญากาศในการบริหารราชการแผ่นดิน
นาย ณัฐพงษ์กล่าวว่า ภารกิจที่สำคัญของพวกเราทุกคนในสภาชุดนี้ อยากเชิญชวนให้สานต่อภารกิจ 3 ข้อนี้ด้วยกัน ผ่านการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ รวมถึงปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา หรือ พ.ร.ป. ฉบับใดก็ตามที่เกี่ยวข้อง (1) เพื่อจัดวางตำแหน่งแห่งที่และอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงองค์กรอิสระ ให้มีความเหมาะสม เป็นไปตามหลักสากล (2) ปรับปรุงโทษยุบพรรค กติกาเกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง ทำอย่างไรให้พรรคการเมืองเกิดขึ้นง่ายแต่ตายยาก และมีความยึดโยงกับฐานสมาชิกพรรค เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้ระบอบประชาธิปไตยของประเทศ (3) ทบทวนมาตรฐานทางจริยธรรม ให้เป็นเรื่องความรับผิดชอบทางการเมืองของนักการเมือง ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่องค์คณะกลุ่มคนไม่กี่คนตัดสิน
“ผมเชื่อว่าเราเหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 ปีในรัฐสภาชุดนี้ ในวาระที่เรามีร่วมกัน เราสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้ ในการเลือกตั้งปี 2570 ไม่ว่าพรรคใดชนะการเลือกตั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนนำเสนอ จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญให้กับระบอบประชาธิปไตย ให้กับพรรคการเมือง ให้กับนักการเมือง ผู้ได้รับฉันทามติจากการเลือกตั้งจากอำนาจสูงสุดของพี่น้องประชาชน ให้พวกเราสามารถดำเนินนโยบาย แก้ไขกฎหมาย บริหารประเทศ เพื่อตอบสนองประชาชนที่เลือกเรามาอย่างดีที่สุด” นายณัฐพงษ์กล่าว
“สุดท้าย การลงมติของพรรคประชาชนต่อจากนี้ ผมขอพูดชัดๆ ว่าเราลงมติไม่เห็นชอบโดยใช้หลักการเดียวกันกับกรณีเศรษฐา ทวีสิน เมื่อปีที่แล้ว ว่าเราไม่เห็นด้วยกับการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ ส่วนในเรื่องที่เป็นวาระร่วม ตนอยากให้ทุกคนช่วยกันเดินหน้าภารกิจ ปรับปรุงกติกาเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ ให้นักการเมืองที่มาจากประชาชน ได้ใช้อำนาจสูงสุดที่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง” นายณัฐพงษ์กล่าว