ตลาดหลักทรัพย์ฯ สรุปผลการดำเนินงานปี 2564 มูลค่าหุ้น IPO สูงสุดในอาเซียน – 26 บจ.อยู่ในดัชนี DJSI มากสุดในอาเซียน 9 ปีซ้อน พร้อมเผยทิศทางประจำปี 2566-2568 กับแนวคิดหลัก ‘ทำให้ตลาดทุนเป็นเรื่องง่าย’ ทั้งการเข้าถึงผู้ประกอบการและผู้ลงทุน’ มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกลาง เชื่อมระบบนิเวศการลงทุนในตลาดทุนปัจจุบันกับการลงทุนแห่งอนาคต ดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ (new economy) รวมทั้งสนับสนุนการระดมทุนผ่านการออกโทเคนดิจิทัล และสนับสนุน ESG ทุกมิติ
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงแผนการดำเนินงาาานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำปี 2565 ว่า ในปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีส่วนช่วยสร้างการเติบโตต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะด้านการเชื่อมโยงโอกาสเข้ากับทุกภาคส่วน ซึ่งปี 2565 มี หุ้น IPO มีมูลค่าเสนอขายที่ 127,836 ล้านบาท สูงสุดในอาเซียนและเป็นอันดับ 4 ในเอเชีย โดยมี 9 บริษัทจดทะเบียนอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็น New Economy นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีสภาพคล่องสูงสุดในอาเซียนต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555 โดยในปี 2565 มีมูลค่าการซื้อขายหุ้นเฉลี่ย 76,773 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่TFEX มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย 565,627 สัญญาต่อวัน นับเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน
นายภากร ให้ข้อมูลว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนา 2 ผลิตภัณฑ์ DRx ได้แก่ AAPL80X ซึ่งอ้างอิงหลักทรัพย์ บริษัท แอปเปิ้ล อิงค์ และ TSLA80X ซึ่งอ้างอิงหลักทรัพย์ บริษัท เทสล่า อิงค์ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อขยายโอกาสในการลงทุนที่ใช้เงินลงทุนจำนวนน้อยให้แก่ผู้ลงทุนโดยเฉพาะรายเล็กและยังเพิ่มโอกาสในการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ อีกทั้งมี 3 หลักทรัพย์แรกเข้าจดทะเบียนใน LiVE Exchange (LiVEx) ได้แก่ บมจ. แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส (AWS22) บมจ. สิทรอน เพาเวอร์ (SITRON22) และ บมจ. สตอเรจ เอเชีย (ISTORE22)
นายภากร กล่าวถึงด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานว่า ปีที่ผ่านมาได้พัฒนาระบบ e-Meeting สำหรับการจัดประชุมผู้ถือหุ้นแบบ end-to-end โดยให้บริการแก่บริษัทจดทะเบียน 80 บริษัท ในปี 2565 และพัฒนา ESG Data Platform ฐานข้อมูลด้าน ESG
ทั้งนี้ TDX ได้รับใบอนุญาตการประกอบธุรกิจ และมีระบบพร้อมให้บริการ โดยปัจจุบันมีความร่วมมือกับพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ให้บริการ ICO Portal 3 ราย / FundConnext มีธุรกรรมซื้อขายกองทุนรวม 31,400 รายการต่อวัน และมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 11 ราย (selling agent และบลจ. รวม 78 ราย คิดเป็น 73% ของอุตสาหกรรมกองทุนรวม/FinNet ครอบคลุมการชำระเงินตลาดหุ้นประมาณ 25% ของทั้งอุตสาหกรรม และปัจจุบันได้เพิ่มบริการ Interbank, Intrabank, QR Code, Direct Debit Registration (DDR) ไปยังธุรกรรมอื่น ๆ ในตลาดทุน เพื่อให้ครอบคลุมธุรกรรมกองทุน สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง
ส่วนมิติด้านการส่งเสริมความยั่งยืน นายภากร กล่าวว่าปัจจุบันมี 26 บจ. อยู่ในดัชนี DJSI มากที่สุดในอาเซียนเป็นปีที่ 9 โดย S&P Global อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สร้างการเรียนรู้ทางการเงินสำหรับคนไทย ผ่านสื่อในแคมเปญ Happy Money รู้สู้หนี้ จำนวน 4.5 ล้านวิว และ มีผู้ประกอบการเข้าร่วม LiVE Platform จำนวน 180,632 ราย และเสริมสร้างกิจการเพื่อสังคม โดยมี 62 business co-creation ระหว่าง บจ. และธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)
นายภากร เสริมว่า กว่า 400 บจ. ไทยร่วมลดโลกร้อนผ่าน Climate Care Collaboration และนำเสนอโครงการ Care the Bear แก่นานาชาติในการประชุม APEC 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ รวมทั้งอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)
นายภากร กล่าวต่อว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า (2566-2568) ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมุ่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย ควบคู่ไปกับการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล เพื่อให้ตลาดทุนเป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ตามวิสัยทัศน์ตลาดหลักทรัพย์ฯ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” ผ่านกลยุทธ์ 4 ด้าน ดังนี้
ด้านที่ 1 ทำตลาดทุนให้เป็นเรื่องง่าย (Make fundraising & investment simple)
ด้านที่ 2 ยกระดับมาตรฐานเพื่ออุตสาหกรรม (Move industry & ecosystem with standard) พัฒนาระบบซื้อขายใหม่ภายในไตรมาส 1/2566 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบนิเวศการลงทุน และรองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ พร้อมยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ร่วมกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม รวมทั้งปรับปรุงกฎเกณฑ์การซื้อขายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย และให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนไปและระบบซื้อขายใหม่
ด้านที่ 3: ร่วมสร้างโอกาสเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัด (Match partners for synergy) พัฒนาการเผยแพร่ข้อมูลผ่าน SMART Marketplace เพิ่มข้อมูลและฟังก์ชันที่ใช้ในการวิเคราะห์เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน รวมทั้งต่อยอดงานวิจัยแบบ Thematic และ Issue-based เพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้จริงในการพัฒนาตลาดทุนด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน จะมีการรวบรวมข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ของบริษัทจดทะเบียนมาไว้บน ESG Data Platform โดยเริ่มเผยแพร่ข้อมูลได้ในไตรมาส 2/2566 นอกจากนี้ จะพัฒนาการจัดทำ ESG Ratings เพื่อสนับสนุนการออกสินค้า ESG-Linked
ด้านที่ 4: ยึดหลักความยั่งยืนเป็นแกนขับเคลื่อนการทำงาน (Merge ESG with substance) ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้นำมิติด้าน ESG ขับเคลื่อนการดำเนินงานทั้งกระบวนการภายใน และภายนอกองค์กรโดยทำงานร่วมกับพันธมิตร นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
นายภากรกล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งหวังว่าการดำเนินกลยุทธ์ 4 ด้านดังกล่าวจะมีส่วนในการสร้างโอกาสที่มากกว่าสำหรับผู้เกี่ยวข้องกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขยายโอกาสการระดมทุนและการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการและผู้ลงทุน การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมตลาดทุน และดูแลสังคม ควบคู่กับสิ่งแวดล้อมเพื่อการเติบโตที่สมดุลและยั่งยืน