ครบ 4 เดือนสำหรับรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จัดตั้งในเดือนกรกฎาคม 2562 และเป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ค่อนข้างล่าช้าอย่างมาก ท่ามกลางเศรษฐกิจขาลง ส่งผลให้การออกพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 2563 ต้องถอยออกไป 1 ไตรมาส
แม้รัฐบาลจะพยายามบอกว่าเศรษฐกิจไม่ได้แย่ แค่ชะลอตัวก็ตาม แต่อาการดูจะหนักหนาทีเดียว ถึงกับต้องงัดทุกมาตรการมาช่วย ทั้งมาตรการการเงินที่ลดดอกเบี้ย และเปิดทางให้เงินไหลออกนอกประเทศได้ง่ายขึ้นเพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไป รวมทั้งมาตรการการคลัง ที่อัดฉีดเม็ดเงินมากมายให้กับประชาชนลงทุนและใช้จ่าย เพื่อพยุงเศรษฐกิจโดยหวังว่าจะทำให้เงินมันหมุนไปๆ
สำหรับมาตรการเงิน การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ถึง 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 หลังจากเพิ่งขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบหลายปีไปเมื่อสิ้นปี 2561 ด้วยความกังวลต่อเสถียรภาพของระบบการเงินไทย ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 1.25% ต่ำที่สุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และประเทศไทยเคยมี เทียบกับกับช่วงวิกฤติการเงินโลกในปี 2551
ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2562 จนกระทบกับราคาและรายได้เงินบาทของผู้ส่งออก ธปท.ได้ออกมาตรการสกัดเงินร้อนในช่วงเดือนกรกฎาคม 2562 ระลอกแรกด้วยการจำกัดปริมาณการพักเงินของชาวต่างชาติและกำหนดให้รายงานการเคลื่อนไหวเงินเข้มงวดขึ้น ก่อนที่ระลอกที่ 2 ต้องออกมาตรการเปิดเสรีการลงทุนและย้ายเงินออกนอกประเทศของคนไทย เพื่อช่วยสร้างสมดุลของดุลบัญชีเดินสะพัดไม่ให้เกินดุลมากเกินไป
ด้านมาตรการการคลัง รัฐบาลได้อัดฉีดเม็ดเงินไปแล้วเท่าไหร่และไปทำอะไรบ้าง
“กระตุ้นเศรษฐกิจ-อุดหนุนเกษตรกร” เกือบหมด
สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า รวบรวมการใช้จ่ายเม็ดเงินจากการประชุมและมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่มีขอบเขตกว้างกว่าการใช้งบประมาณและสะท้อนภาพรวมของการใช้จ่ายของรัฐบาลได้ดีกว่า บ่อยครั้งที่รัฐบาลมักอาศัยกลไกอื่นๆ เข้ามาช่วยออกมาตรการอย่าง เช่น การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การพักชำระหนี้ การลดดอกเบี้ยชั่วคราว การช่วยค้ำประกันสินเชื่อ ฯลฯ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น สถาบันการเงินเฉพาะกิจ รัฐวิสาหกิจ และกองทุนหมุนเวียน
นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวไม่ตรงกับแพกเกจมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งมักจะมัดรวมมาตรการส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น มาตรการสวัสดิการสังคมที่ช่วยเหลือคนยากจนโดยเฉพาะ การอุดหนุนเกษตรกรโดยตรง (หลายครั้งแยกไม่ออกว่าเป็นการช่วยเหลือจากภัยพิบัติหรือเป็นเพียงการอุดหนุนโดยปกติ) การแจกจ่ายเงินกับประชาชนโดยทั่วไป หรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กในชุมชน ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะจำแนกประเภทการใช้จ่ายอย่างไร ระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา ครม.ประยุทธ์ 2 ได้ใช้จ่ายเงินไปแล้วไม่น้อยกว่า 793,160.81 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละเกือบ 200,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
-
-สินเชื่อผ่านสถาบันการเงินของรัฐ วงเงินสินเชื่อรวม 262,000 ล้านบาท
-การค้ำประกันสินเชื่อผ่านรัฐวิสาหกิจอย่าง บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) วงเงินสินเชื่อค้ำประกัน 150,000 ล้านบาท
-การพักชำระหนี้กองทุนหมู่บ้าน โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีกองทุนฯ สมัครใจพักหนี้อย่างน้อยประมาณ 50,000 ล้านบาท
-
-การลดดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินของรัฐที่รัฐบาลต้องชดเชย วงเงิน 11,135.23 ล้านบาท
-การแจกเงินหรือลดราคาสินค้า อย่างมาตรการชิม ช้อป ใช้, ร้อยเดียว เที่ยวทั่วไทย ฯลฯ วงเงิน 27,209.5 ล้านบาท
-การลดภาษีหรือค่าธรรมเนียม อย่างเช่นลดหย่อนภาษีกระตุ้นให้เอกชนลงทุน ลดภาษีเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival วงเงิน 18,416.2 ล้านบาท
-
-ข้าว วงเงิน 88,843.5 ล้านบาท
-ปาล์ม วงเงิน 15,408 ล้านบาท
-มันสำปะหลัง วงเงิน 12,607 ล้านบาท
-ประมง วงเงิน 766.9 ล้านบาท
-ปศุสัตว์ 240 ล้านบาท
-ยางพารา 34,000 ล้านบาท
-ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเขียว 374.52 ล้านบาท
นี่คือ 4 เดือนของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ที่ใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่เกือบ 800,000 ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2563 จำนวน 3.22 ล้านล้านบาท