“ปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล” เงินติดล้อ ชี้ “ประเทศไทยไปต่อได้” ต้องกล้าพอที่จะเลือก-กำหนดโจทย์ให้ชัด

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน)

ท่ามกลางความมั่นใจที่ถูกบั่นทอนอย่างต่อเนื่อง จากการที่ไทยเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายด้านทำให้ความเชื่อมั่นต่ออนาคตประเทศเสื่อมถอย ทั้งในด้านเศรษฐกิจที่การเติบโตอ่อนแอลงเรื่อยๆ ศักยภาพในการแข่งขันลดลง ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น การบริหารปกครองประเทศที่การใช้อำนาจบิดเบี้ยว นโยบายสาธารณะที่เอื้อต่อบางกลุ่ม หลักนิติธรรมตกต่ำ การศึกษาที่ทำให้เด็กไทยตกหลังประเทศเพื่อนบ้าน และอื่นๆ

แล้วถ้าประเทศไทยต้องรอด จะต้องทำกันอย่างไร จึงเป็นที่มาของซีรีส์ข่าว “ประเทศไทยต้องรอด” ความเชื่อมั่นต้องกลับมา ความเชื่อที่ว่ายังมีประชาชนที่ไม่หมดหวัง พร้อมที่จะลุกขึ้นมา สร้างค่านิยม สร้างจุดร่วม รวมพลังในสถานการณ์ที่เรายังมี “ทุน” ที่ซ่อมได้ ฟื้นฟูได้ ต่อ ยอดกับ “ทุน” ที่ดีอยู่แล้ว เพื่อเดินหน้า “ประเทศไทยต้องรอด”

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวกลางทางการเงิน “ไมโครไฟแนนซ์” โดยมุ่งให้บริการทางการเงินที่ทั่วถึงและครอบคลุม (financial inclusion) แก่กลุ่มเปราะบางมานานกว่าทศวรรษ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “ปัญหาแก้ได้ ถ้าเรามุ่งมั่นตั้งใจ” แม้ไทยจะอยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยงกับการถดถอย แต่ส่วนตัวเชื่อว่าการเดินหน้า… progress มันใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ “แต่เป็นสิ่งที่เราต้องเลือก”

พร้อมเล่าว่า “ใน 3-4 ปีที่ผ่านมา เงินติดล้อพยายามจะไปลงทุนในต่างประเทศ มีข้อสังเกตว่าในบางประเทศเขามีมุมมองในทางบวก มีความเชื่อมั่นกับอนาคตที่สูงกว่าเรา มีการเติบโตในเศรษฐกิจที่เร็วกว่าเรา แล้วมีบางอย่างที่เราเคยมี อย่างแรงงานในอาเซียนหลายประเทศ อายุเฉลี่ยกว่า 20 ปี เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเขา ซึ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่เราเลยจุดนั้นมาแล้ว”

“นี่คือความเสี่ยงของอนาคตประเทศไทย สิ่งที่คิดและสังเกตว่าเราอยู่ในจุดที่เสี่ยงจะ deteriorate as a country (เป็นประเทศที่เสื่อมถอย) บางประเทศมีความนิ่งเรื่องการเมืองมากกว่าเรา บางประเทศมีความสัมพันธ์กับคู่ค้าที่อาจจะดีกว่าเรา หรือว่ามีกรอบในการแข่งขันหรือว่ากรอบในการสร้างประเทศที่อาจจะชัดกว่าเรา ซึ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่ทำให้มีความรู้สึกว่าเราอยู่ในขั้นที่อาจจะกำลังเสี่ยงต่อการถดถอย แต่เชื่อว่าปัญหาประเทศไทยทุกเรื่องแก้ได้ แต่ต้อง “อยาก” ที่จะทำ พร้อมกับการศึกษาประเทศอื่นที่ผ่านจุดนี้มาแล้ว”

“อย่างที่เห็นก็คือ เรื่องหนี้ครัวเรือน ที่อื่นหนี้ครัวเรือนเขาต่ำกว่าเรา การจะขับเคลื่อนการเติบโต เหมือนกระสุนเราเริ่มหมด อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องไปคิดว่าเราจะสร้างกระสุนใหม่อะไรมาใช้”

ประเทศไทยยังมี ‘ทุน’ ที่ดี เราต้อง ‘เลือกและตั้งใจที่จะทำ’

ในแง่โครงสร้างประชากรซึ่งเป็นทุนที่สำคัญ แต่ประเทศไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ นายปิยะศักดิ์ยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกาว่า “ผมโตที่อเมริกา เมื่อ 20 ปีที่แล้ว อเมริกามีการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากร ทั้งในเรื่องของอายุ และองค์ประกอบของคนขาว เทียบกับคนที่มาจากอเมริกาใต้ มาจากทั่วโลก ซึ่งประชากรของอเมริกาตอนนั้น 200 กว่าล้านคน วันนี้ 300 กว่าล้านคน แต่เขาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว”

นายปิยะศักดิ์กล่าวว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วจะเจออาการคล้ายๆ กัน รูปแบบคล้ายๆ กัน คนส่วนใหญ่อยากให้ลูกมีคุณภาพชีวิตที่ดี ส่วนใหญ่มีลูกน้อยลง แล้วจำนวนประชากรก็จะลดลงหรือว่าจะทรงตัว ญี่ปุ่นเองเป็นประเทศที่พัฒนาไปล่วงหน้ากว่าประเทศอื่น ประเทศไทยเองน่าจะเป็นประเทศแรกที่ไปไม่ถึงจุดที่เรียกว่าประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในแง่โครงสร้างประชากรไปถึงจุดของประเทศพัฒนาแล้ว

สิ่งที่อเมริกาทำ คือ นโยบายคนเข้าเมือง (immigration policy) ปล่อยคนที่ไม่ใช่คนของเขาเข้าไป แล้วให้มีงานทำ ส่วนคนที่เป็นอเมริกันแท้ ที่โดยปกติเรานึกถึงคนผิวขาว ตอนนี้เป็นคนกลุ่มน้อย (minority) เมื่อองค์ประกอบเปลี่ยน เราต้องมีนโยบายที่ยอมรับและต้องมีสังคมที่ยอมรับด้วยว่า “เราเดินอยู่บนท้องถนนแล้วไม่ได้เจอแต่คนไทย”

พร้อมย้ำว่าในแง่ทางออกนั้นมี เพราะโลกใบนี้มีประชากรอยู่ 7,000 กว่าล้านคน ประเทศไทยพัฒนาไปได้ขั้นหนึ่ง แต่หลายๆ ประเทศอยู่ในขั้นที่ล้าหลังกว่าไทย หลายอย่างที่ไทยมี เขายังไม่มี แล้วไทยยังเป็นประเทศที่น่าดึงดูดสำหรับเขา หากเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน อย่างฟิลิปปินส์มีประชากรประมาณ 100 กว่าล้านคน แต่โครงสร้างพื้นฐานสู้ไทยไม่ได้ มีภัยธรรมชาติเยอะ มีฤดูกาลที่เจอพายุไต้ฝุ่น เมื่อมีความไม่นิ่งของดินฟ้าอากาศ การทำโครงสร้างพื้นฐานเพื่อระยะยาวก็จะหยุดชะงัก ประกอบกับลักษณะภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะ มีเกาะเป็นพันเกาะ เพิ่มอุปสรรคในการขนส่งอย่างมหาศาล เพิ่มอุปสรรคในเรื่องของการโยกย้ายสัญจรมาก

“พูดถึงการสร้างในมุมนักธุรกิจ ตอนที่เราไปวิเคราะห์หลายๆ ประเทศเพื่อการลงทุน เราจะมองว่าสิ่งที่เป็นปัญหาที่บ้านเขา เราไม่เคยเจอมาก่อน ยากกว่าบ้านเราเยอะมาก บ้านเราคนอีสานมาอยู่กรุงเทพฯ คนใต้มาอยู่กรุงเทพฯ คือความคล่องตัวในการโยกย้ายของเราสูงกว่าเยอะมาก”

นอกจากนี้หากวิเคราะห์เวียดนาม กัมพูชา สิ่งที่พบคือ คนของประเทศเหล่านี้มาเรียนมหาวิทยาลัยที่ไทย การศึกษาไทยเมื่อเทียบแล้วก็ดีกว่า แม้อาจจะเทียบอเมริกา ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ไม่ได้ แต่ไทยอาจจะเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ทำให้ไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ ถ้าเรามีจุดยืน ถ้าเราตั้งใจสร้างมัน เขาก็เลือกที่จะมา

ขณะที่ระบบสาธารณสุขไทยเป็นจุดแข็งเมื่อเทียบกับของประเทศอื่น เห็นได้จากชนชั้นกลางระดับสูงกัมพูชา เมียนมา เข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลของไทย นอกจากนี้ ไฟฟ้าของไทยมีความมั่นคง ขณะที่ประเทศอื่นไฟฟ้าดับบ่อยมาก เสถียรภาพเรื่องพวกนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ไทยมีและดีกว่าที่อื่น

สิ่งเหล่านี้จริงๆ มันเป็น ‘ทุน’ของประเทศไทย และเป็นจุดแข็งของเรา โครงสร้างพื้นฐานเราดีกว่า แล้วทำไมเราถึงไม่สามารถดึงดูดคนเก่งๆ จากต่างประเทศมาอยู่ได้

“พอเราเปรียบเทียบ เราต้องเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศที่ดีกว่า และประเทศที่อาจจะยังตามเราไม่ทัน แล้วเราต้องเลือกว่าเราจะเป็นใคร แล้วเราจะเสนออะไรให้กับใคร แต่ผมว่าหลายอย่างที่พูดถึงว่ามันเป็นปัญหา จริงๆ แก้ได้ น่าจะมีโซลูชันถ้าเราตั้งใจ”

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน)

ต้องกล้าลองผิดลองถูก ‘ทัศนคติที่อยากจะทำ-กำหนดโจทย์ให้ชัด’

นายปิยะศักดิ์กล่าวว่า จริงๆ แล้ว ประเทศไทยมี ‘ทุน’ ที่เป็นจุดแข็งหลายอย่าง “แต่เป็น ‘ทางเลือก’ ที่ต้องบอกว่า ความก้าวหน้าไม่ได้มาโดยอัตโนมัติ”

“พอมองภาพใหญ่ ผมจะชอบคิดเล่นๆ ว่าถ้าเราเป็น CEO…เราจะทำอะไร ผมว่าทุกอย่างมันเริ่มต้นจากทัศนคติ คือ เราต้อง ‘อยาก’ ก่อน อันที่สองคือ ชีวิตเราจะง่ายขึ้นเยอะมากถ้าเราระบุตัวคู่แข่งได้ ถ้าชัดว่าเราจะแข่งกับใคร ผมว่าจะทำให้โจทย์คมกว่า ชัดกว่า แล้วเราก็กลับมาประเมินว่า ‘ทุน’ ที่มี สิ่งที่เป็นข้อได้เปรียบของเรา จุดแข็งของเราที่มีคืออะไร”

นายปิยะศักดิ์กล่าวว่า โดยปกติในการวิเคราะห์จะใช้หลัก SWOT analysis คือ Strength (จุดแข็ง), Weakness (จุดอ่อน), Opportunity (โอกาส), Threat (ภัยคุกคาม) แต่ SWOT ไม่ใช่แค่ว่าประเมินตัวเอง ต้องประเมินตัวเองเมื่อเทียบกับคนอื่น แล้วเมื่อประเมินได้ว่ามีจุดแข็งอะไร ต้องเลือกเป้าหมาย ว่าเป้าหมายคือใคร แล้วต้องเลือกว่าใครไม่ใช่เป้าหมาย ใครที่ต้องการและใครที่ไม่ต้องการ แล้วหลังจากนั้นก็ระบุให้ได้ว่า สิ่งที่มีอยู่ปัจจุบันอะไรเป็นอุปสรรค แล้วจัดการขจัดอุปสรรคก่อน ขจัดสิ่งที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นอุปสรรคที่สร้างขึ้นมาเอง ทั้งกฎเกณฑ์ กฎระเบียบต่างๆ หลังจากนั้นคือลงทุน

“การลงทุนมันมีทั้งลองผิดและลองถูก เราต้องยินดีที่จะลองผิดด้วย สมัยนี้เรามีโซเชียลมีเดีย เรามีสื่อ จริงๆ สื่อมีหน้าที่ที่ดีมาก เป็นคนคอยเฝ้า ทำให้หลายอย่างโปร่งใส แต่ ‘คนที่จะสร้างอะไร’ บางทีก็ต้องต้านแรงกดดันจากเสียงรบกวนในโซเชียลมีเดียให้ได้ คือเราต้องมีความมุ่งมั่นพอที่จะสร้างขึ้นมา”

นายปิยะศักดิ์เปรียบเทียบจากการที่เติบโตในอเมริกาโดยกล่าวว่า ที่อเมริกามี 50 กว่ารัฐ มีทั้งรัฐที่อากาศหนาว แล้วก็มีรัฐที่อยู่ภาคใต้ที่อากาศร้อน คนอเมริกาจำนวนมาก พอถึงวัยเกษียณ จะย้ายไปอยู่รัฐฟลอริดา เพราะรัฐฟลอริดามีกฎเกณฑ์เรื่องภาษีที่เอื้อ มีระบบสาธารณสุขที่ดี ทำให้มีต้นทุนที่ต่ำ ที่สำคัญคือมีอากาศที่ดี แล้วมีแรงงานที่ไม่ได้แพง

“แต่ถ้า ‘อยาก(จะทำจริง)’ แก้ไข ไม่ยาก จริงๆ แค่ต้องลงทุนและมองระยะยาว”

นายปิยะศักดิ์ชวนคิดต่อถึงการสร้างโครงสร้าง/ระบบอะไรขึ้นมาว่า เมื่อชัดเจนในสิ่งที่ต้องการทำ ต้องเลือกกลุ่มที่คิดว่าเป็นเป้าหมาย แก้ไขสิ่งที่เป็นอุปสรรคที่สร้างขึ้นมาเอง แล้วลงทุนในสิ่งที่ควรเป็น สิ่งที่จะมาโดยธรรมชาติคืออุตสาหกรรมหรือว่าผลพลอยได้ที่ใกล้เคียง โดยยกตัวอย่างว่า…

“สมมติถ้าเราเป็นเมืองหลวงแห่งผู้เกษียณอายุของโลก คนนึกถึงประเทศไทย วางแผนเกษียณที่นี่ สิ่งที่จะตามมาคือ คนที่เกษียณส่วนใหญ่มีญาติ ญาติจะมาเยี่ยม การท่องเที่ยวก็จะมา คนที่มาก็ต้องเอาเงินมา แล้วสิ่งที่จะเกิดคือคลัสเตอร์ ถ้าเราตั้งใจทำเรื่องนี้ กำหนดให้ชัดเลยว่า ตั้งเป้าไปที่คนยุโรป หรือคนอเมริกา หรือเอเชีย แล้วสิ่งที่จะตามมาอีกก็คือ พอมีคนมา ความเป็นอยู่ที่ดีต้องตามมา การวิจัยเรื่องการรักษาโรคก็ต้องตามมา การก่อสร้างสำหรับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อจะรองรับพวกนี้จะตามมาหมดเลย เราแค่เลือกว่าเราจะทำอะไร ผมว่าเราทำได้”

นายปิยะศักดิ์กล่าวว่า เช่นเดียวกับการสร้างองค์กร สร้างธุรกิจให้เติบโต ต้องเลือก “สิ่งที่ใช่กับสิ่งที่ไม่ใช่” ทุกวันนี้ประเทศไทยมี ‘ทุน’ ที่ดีเต็มไปหมดเลย แต่ปล่อยให้เกิดโดยธรรมชาติ  อย่างการท่องเที่ยว ไม่ต้องทำอะไรมากมาย นักท่องเที่ยวก็มา สะท้อนความแข็งแรงของ ‘ทุน’ ของประเทศมาก ถ้ามีการปรับบ้างและตั้งเป้าไปที่กลุ่มที่ต้องการให้มา และถ้าเราสร้างกลยุทธ์ที่ชัด ก็มีโอกาสอีกมากที่จะเดินหน้าไปได้

“การจะเริ่มอะไรใหม่ๆ เราต้องเริ่มจากจุดเล็กๆ ผมว่า ‘เราต้องเลือก’ ว่าจะทำอันนี้ ถ้าเราเลือก เราเคาะ แล้วตั้งใจ ผมว่าเราต้องทุ่มเท แล้วต้องเคลียร์ทางให้ ‘หนึ่งเรื่องเกิด’ แล้วพอหนึ่งเรื่องเกิด คนอื่นจะเห็นประโยชน์ แล้วอย่างอื่นจะค่อยๆ ตามมา แต่อยู่ดีๆ ไปมองภาพใหญ่และแก้ทุกอย่างทีเดียว ผมว่าไม่ได้ เราต้องเลือก ‘หนึ่งเรื่อง’ ก่อน”

“ถ้าลงตัว แล้วเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ในทุกๆ เรื่อง มันจะมีเรื่องที่คนไม่เห็นด้วยกับเรา แต่สุดท้ายก็ต้องชั่งน้ำหนักว่าความคุ้มค่าในการทำในระยะยาว แต่คนส่วนใหญ่ ใช้ความรู้สึกในระยะสั้น ผมคิดว่าเป็นแนวคิดที่ไม่ได้ต่างกันมาก ไม่ว่าจะองค์กรใหญ่ องค์กรเล็ก หรือว่าประเทศ หรือว่าปัญหาอะไร ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจเรื่องไหน โดยธรรมชาติจะมีคนไม่เห็นด้วยกับเรา ขึ้นอยู่ว่ากลุ่มนั้นใหญ่มั้ย”

ต้องรับฟัง เห็นต่างได้ แต่เจตนาต้องมีก่อน และต้องพลาดได้ด้วย……

ย้อนไปที่ตัวอย่าง หากประเทศไทยต้องการจะเป็นแหล่งเกษียณของคนจากซีกโลกตะวันตก ความสามารถทางภาษาอังกฤษจะตามมา ซึ่งจะเป็นหนึ่งในอินพุต (input) ที่ไม่ต้องไปตั้งเป้าหลายอย่าง เพียงแต่เลือกหนึ่งอย่างให้ชัด อย่างอื่นจะตามมาโดยธรรมชาติ ลงล็อกเอง

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน)

ต้องมุ่งมั่น-เจตนาดี-ตัดเสียงรบกวนทิ้ง-ใช้ตัวชี้วัดถูกหรือไม่

นายปิยะศักดิ์กล่าวเสริมว่าในแง่ของข้อมูลก็สำคัญ ปัจจุบันทคโนโลยีทำให้ข้อมูลมีความพร้อมมากขึ้น ข้อมูลสำคัญมากกับการตัดสินใจ นอกจากสำคัญแล้ว ก็ต้องสื่อสารเป็น ให้คนเข้าใจข้อมูลนั้นด้วย เพราะข้อมูลมีมากและเข้าใจยาก คนทั่วๆ ไปไม่ได้ใช้เวลากับทุกเรื่องเท่ากับคนที่เป็นเจ้าภาพเรื่องนั้น แต่ต้องอธิบายได้ “ก็กลับไปที่คำว่าความมุ่งมั่น เราต้องตัดเสียงรบกวนทิ้ง”

บางครั้งข้อมูลนำไปสู่การตัดสินใจ แต่สุดท้ายไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ก็ไม่เป็นไร แต่เริ่มต้นที่เจตนาต้องดีก่อน ลองผิดได้ ลองวิธีอื่นก็ได้ หนึ่งปัญหาแก้ได้หลายวิธี และบางทีหนึ่งปัญหาอาจจะต้องใช้หลายมาตรการในการแก้ ไม่ค่อยมีสิ่งที่เรียกว่า “silver bullet” (แก้วสารพัดนึก) ไม่ค่อยมี “one size fits all solution” (ทางเดียวแก้ได้ทุกปัญหา)

อย่างไรก็ดี หากประเทศไทยต้องรอด สิ่งที่เป็นข้อควรระวังคือ ตัวชี้วัด ใช้ตัวชี้วัดที่ถูกหรือหรือไม่ รวมทั้งกรอบเวลาที่วัด สิ่งที่น่ากังวลคือ การมองทุกอย่างระยะสั้นมาก บางทีเรามองรายเดือน มองรายไตรมาส บางทีมองรายปี แต่ถ้าพูดถึงประเทศ ประเทศไทยจะอยู่ตลอดไป ฉะนั้น มองอะไรในระยะสั้นแบบนั้น บางทีมันมาทำร้ายเรา “คือผมว่าระยะเวลาในการตั้งเป้าหมายสำคัญ และตัวชี้วัดก็สำคัญ”

นายปิยะศักดิ์ยกตัวอย่างการวัดที่ GDP แต่ GDP มีความซับซ้อน มีองค์ประกอบมาก และไม่มั่นใจว่าเป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกอะไร หลายคนอาจจะมองว่า GDP เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจ ตัวชี้วัดของนักการเงิน แต่อาจจะไม่ได้เป็นตัวชี้วัดของคุณภาพชีวิต ถ้าสินค้าทุกอย่างถูกลง มีการบริโภคได้มากขึ้น แต่ตัวเลข GDP ไม่โต จะมีบางคนมองว่าแย่

แต่หากตัวชี้วัดคือคุณภาพชีวิตของคน การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ บริการต่างๆ เพิ่มขึ้น ตัวชี้วัดนั้นถูกหรือไม่ โลกพยายามจะหาตัวชี้วัดที่ง่ายสำหรับเรื่องที่ยาก

“แต่เราต้องไม่ตกหลุมนั้น โลกพยายามจะดูอะไรในระยะสั้นๆ แต่จริงๆ อันนั้นก็เป็นอีกกับดักหนึ่งเหมือนกัน”

เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ต้องกล้าพอที่จะเดิมพัน

นายปิยะศักดิ์มองว่า “ผมว่า ‘ทุน’ ของไทยมีจุดแข็งเต็มไปหมดเลย เราแค่ต้องดึงมันมา แล้วตั้งใจ โดยต้องเคลียร์อุปสรรค มีอะไรบ้าง ต้องขจัดทิ้ง ผมคิดว่าอุปสรรคมีค่อนข้างเยอะ เช่น หากเป้าหมายประเทศจะรองรับการเกษียณ ระบบสาธารณสุขเราต้องดี มันจะมุ่งไปที่การแพทย์ นิคมอุตสาหกรรมที่มีอยู่แล้ว เป็นโครงสร้างที่เราอาจจะต้องนำไปใช้เรื่องอื่น อาจจะต้องมุ่งไปที่อุปกรณ์ทางการแพทย์แทนที่จะเป็นรถยนต์ นี่คือแนวทางที่ต้องทำ ถ้าเรา ‘เลือก’ แต่ที่ผ่านมาเราให้คนอื่นเลือก เราเป็นแค่ตัวเลือก” 

แต่เนื่องจากคนมีความกลัว “ผิดพลาด” กลัวการถูกมีความเห็นในโลกโซเชียล จึงเป็นแรงกดดันว่าห้ามพลาด ซึ่งจะทำให้ไม่ไปไหน รวมถึงกฎระเบียบด้วย แต่ผมเชื่อว่าประเทศไทยไปต่อได้ มีโอกาส มีความหวัง

“มีคำๆหนึ่งว่า never waste a good crisis คือพอมีวิกฤติ จะมีโอกาส เราต้องขยันหาให้เจอ เราต้องกล้าพอที่จะเดิมพัน แนวคิดของผม นอกจาก ‘ทางเลือก’ แล้วอีกอย่างที่ผมชอบคือ ‘เดิมพัน’ ทุกอย่างที่เราทำ คือการคำนวณความเป็นไปได้ โอกาสในการสำเร็จ ควรจะสูงกว่าโอกาสล้มเหลว แต่โอกาสล้มเหลวมันมี อันนั้นก็ไม่เป็นไร เมื่อคำนวณแล้ว คิดมาดีแล้ว ไตร่ตรองมาดีแล้ว ยังทำอยู่ แต่ทำแล้วไม่เป็นอย่างที่คิด ไม่เป็นไร กลับไปคิดใหม่ทำใหม่”

“ส่วนตัวผมไม่ได้เชื่อว่ามีอะไรถูกกำหนดมา ทุกอย่างมีเหตุและมีผล ถ้าเรามีเหตุ มีผล มีปัจจัย ถ้าเราเลือก เราสร้างเหตุให้มันดีตั้งแต่ต้น ผลมันก็ตามมาแต่บางทีเรามองระยะสั้นเกินไปในผลลัพธ์ที่อยากได้”

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน)

ดาบสองคมของวัฒนธรรม ‘ความเกรงใจ’

นายปิยะศักดิ์เล่าว่า ด้วยภาระงานส่วนหนึ่งทำให้ต้องเดินทางไปต่างประเทศค่อนข้างมาก เมื่อมีโอกาสไปต่างประเทศมักไปสำรวจสลัมประเทศอื่น ซึ่งได้ข้อสรุปว่าขั้นต่ำของประเทศไทยดีกว่าขั้นต่ำของประเทศอื่นในอาเซียน กล่าวคือ ในระดับฐานรากของไทยดีกว่าของที่อื่น

“ผมคิดว่าเรามี ‘ทุน’ มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี แต่เหมือนเราหยุด เราเลือกที่จะหยุด ผมมีความรู้สึกว่าบางอย่างที่เป็น ‘ทุน’ ของที่ดีของไทย แต่อาจจะเป็นข้อเสียหรือจุดอ่อนของเราในบริบทอื่น คล้ายๆดาบสองคม เช่น หนึ่งในเสน่ห์ของวัฒนธรรมคนไทย คือมีคำว่า ‘เกรงใจ’ มีความประนีประนอม มีความสมานฉันท์ แนวคิดของคำว่า ‘เกรงใจ’ ดีมาก ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีความสงบ ในบริบทของสังคมเป็นเรื่องที่ดีและสวยงาม แต่ในบริบทของการทำงาน ในการทำธุรกิจ ในการแข่งขัน อาจจะไม่เหมาะสม ในที่สุดอาจจะต้องชัดว่า ‘เกรงใจ’ กำลังอยู่ในบทบาทไหน

“ถ้าเราอยู่นอกเวทีการแข่งขัน นอกเวทีความเป็นมืออาชีพ ‘ความเกรงใจ’ เป็นสิ่งที่ดี สวยงาม มีเสน่ห์ แต่ถ้าเรากำลังทำหน้าที่ของเราอยู่ ต้องมีความชัดเจน ตรงไปตรงมา ยึดหลักการ ยึดความถูกต้องเป็นที่ตั้ง ผมว่า ‘ความรู้สึกบางอย่าง’ ทำให้หลักการกับสิ่งที่ถูก บิดเบี้ยวไปจากการให้น้ำหนักกับความสัมพันธ์ต่างๆ จริงๆแล้ว ทุกคนเข้าใจได้ว่า เราอยู่ในบริบทธุรกิจ เราก็ต้องสวมหมวกนั้น เราอยู่ในบริบทสังสรรค์ก็อีกหมวกหนึ่ง”

อย่างเช่นเรื่อง rule of law (หลักนิติธรรม) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและถูกมองว่า ‘บิดเบี้ยว’ นายปิยะศักดิ์เชื่อว่าอาการนี้ (บิดเบี้ยว)มีทุกที่ ขึ้นอยู่กับว่ามากหรือน้อย แต่เห็นด้วยอย่างมาก ว่าหลักนิติธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ แล้วบิดเบี้ยวไป เพราะความสัมพันธ์ที่อาจจะใกล้ชิดกันมากๆ ประเทศไทยมีกฎระเบียบที่ดีมาก แต่กฎระเบียบนั้น บางทีก็ไปลอกที่อื่นมา แล้วไม่ได้ดัดแปลงสำหรับบริบทของประเทศไทย

“ก็เลยทำให้มีสองเรื่อง คือ กฎหมายที่มีอยู่ อาจจะไม่ได้เหมาะตั้งแต่ต้น และสองคือกฎหมายที่มีอยู่อาจจะไม่ได้บังคับใช้ สองเรื่องนี้ผมว่าเป็นสิ่งที่แก้ได้ ถ้าตั้งใจ”

นายปิยะศักดิ์กล่าวว่า คำว่า ‘เกรงใจกับสมานฉันท์’ กับการทำให้ ‘หลักนิติธรรม’ มีความบิดเบี้ยว สิ่งที่ทำให้ความตั้งใจที่จะทำเพื่อภาพใหญ่หายไป คือความได้-เสีย ส่วนตัว คือความเห็นแก่ตัว ความได้ผลประโยชน์ เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้การตัดสินใจ หรือว่าวิจารณญาน บิดเบี้ยวไป บางทีเริ่มต้นด้วยเจตนาที่ดี แต่มีปัจจัยอื่นมาหันเห ตัดสินใจผิดหรือไม่เหมาะสม

บทบาทเงินติดล้อ ต่อยอด ‘ทุน’ ให้คนเข้าถึงโอกาส

นายปิยะศักดิ์กล่าวด้วยบทบาทของบริษัทเงินติดล้อที่เห็นปัญหาชีวิตทางการเงินของคนทั่วไปมาอย่างต่อเนื่อง เป็นอาการของความ ความเหลื่อมล้ำ สาเหตุที่มาจากการศึกษา ความรู้ทางการเงิน ประเทศไทยมีคนที่เข้าถึงบัญชีเงินฝากสูงมาก ไม่ได้เป็นประเทศที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน (underbanked) ในเรื่องของเงินฝาก แต่สินเชื่อยังเข้าถึงยากบ้าง แต่ก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ

เงินติดล้อให้บริการสินเชื่อเพื่อรายย่อย ฐานลูกค้าเป็นรายย่อยทั้งหมด ทำให้คนเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น เห็นได้จากสินเชื่อจำนำทะเบียน ในช่วงเริ่มต้นบริการสินเชื่อจำนำทะเบียนทั้งระบบมีมูลค่าในหลักหมื่นล้าน แต่ปัจจุบันแสนล้านแล้ว นอกจากนี้ ยังได้สร้างให้คนรู้จักการทำประกันมากขึ้น

“สิ่งที่เราค้นพบก็คือ คนเข้าไม่ถึงประกัน คนไม่รู้จักประกัน คนไม่รู้จักความเสี่ยง เราก็เริ่มต้นจากประกันทรัพย์สินที่เขามี แล้วการระบาดของโควิดก็ทำให้คนตระหนักถึงประกันสุขภาพมากขึ้น ขณะเดียวกัน ประเทศเราเข้าสู่สังคมสูงวัย ประกันชีวิตเป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นเดียวกัน ซึ่งอันนี้ก็เป็นอีกอย่างที่ยังมีช่องโหว่ในความเข้าใจของคนทั่วๆ ไป ที่เราคิดว่ายังมีโอกาสอยู่”

ก่อนหน้านี้ เงินติดล้อได้จัดทำโฆษณา 2-3 ชิ้น ที่เน้นเรื่องหนี้ เป็นวิดีโอที่พยายามจะเตือนสติคนว่าเขามีทางเลือก ในยุคที่โซเชียลมีเดียทำให้มีวัฒนธรรมที่เป็นบริโภคนิยม ซึ่งป็นส่วนหนึ่งของหนี้ที่ด้อยคุณภาพ และหนี้ครัวเรือนที่สูง โฆษณานี้เพื่อทำให้เห็นว่า เขายังมีทางเลือก ด้วยหลักที่ว่าต้องปล่อยวางแรงกดดันจากสังคม ต้องไม่ใส่ใจ แล้วต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง พลาดได้ แต่ก็ไม่ใช่จุดจบ และก็เริ่มต้นใหม่ได้เช่นเดียวกัน

“โจทย์ของเราคือ impact สังคม เราตีโจทย์กว้างกว่าผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเงินติดล้อ โจทย์ของเราคือเกิดผลกับสังคม จริงๆ”

นายปิยะศักดิ์กล่าวว่า “กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจได้ร่วมกันตั้งสมาคมสินเชื่อจำนำทะเบียน ได้พยายามยกระดับอุตสาหกรรมนี้ ไปหารือหน่วยราชการในประเด็นกฎหมาย กฎเกณฑ์ กฏระเบียบ ในการดูแลรักษาผลประโยชน์ลูกค้าสินเชื่อ ลูกค้าประกันที่ต้องชัดเจน เพื่อสร้างมาตรฐานความโปร่งและเป็นธรรมของสัญญา การปฏิบัติกับลูกหนี้ กลุ่มลูกค้ากลุ่มฐานรากที่ไม่ค่อยมีทางเลือก เขาจะได้มีทางเลือกนอกจากหนี้นอกระบบ หรือโรงรับจำนำ แล้วเราบอกว่ามันจะดีกว่าไหม ถ้าเขามีทางเลือกที่เป็นสิ่งที่เราทำอยู่สินเชื่อที่เราทำอยู่ หรือว่าประกันที่เราทำอยู่ แน่นอนว่าย่อมมีคนที่ไม่ได้เห็นตรงกัน แต่สุดท้ายเมื่อมีกฎหมาย กฎเกณฑ์ ผู้ประกอบธุรกิจทั้งอุตสาหกรรมต้องยกระดับมาตรฐาน ผู้ที่จะได้ประโยชน์มีมากคือลูกค้าหลายล้านคนในอุตสาหกรรมบริการนี้”

“การทำเรื่องมาตรฐานของความโปร่งใสของสัญญา การปฏิบัติกับลูกหนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผลักดันตั้งแต่ต้น อย่างสินเชื่อจำนำทะเบียน เริ่มมีการออกใบอนุญาตเมื่อปี 2562 ก่อนหน้านี้แนวปฏิบัติหลากหลายมาก เช่น เรื่องการคืนกำไรที่บริษัทได้จากส่วนต่างในการขายรถหรือสินทรัพย์ที่ลูกค้าผ่อนไม่ไหวแล้วนำมาคืนบริษัท ซึ่งหลังจากที่หารือกับภาครัฐ มีการบังคับให้คืนกำไรส่วนต่างให้ลูกค้า นี่คือการร่วมกับพัฒนาและสร้างมาตรฐานมากขึ้น “

อีกด้านที่พยายามจะผลักดันอยู่ คือ การใช้ภาษาง่ายในสัญญา (plain language contract) โดยปกติสัญญาที่ผู้ขอสินเชื่อต้องเซ็น เป็นภาษากฎหมาย เป็นภาษาเขียนและภาษากฎหมายที่เข้าใจยาก สิ่งที่ทำคือทำให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย สัญญาที่ใช้ภาษาพูด ไม่ผิดต่อหลักกฎหมายกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น แต่คนทั่วไปต้องอ่านแล้วเข้าใจ

“เราต้องการให้คนเซ็นเอกสารมีโอกาสเข้าใจ เขาอาจจะไม่อ่านก็ได้ อันนั้นค่อยมาว่ากันอีกที แต่อย่างน้อยคนตั้งใจอ่านควรที่จะอ่านมันแล้วเข้าใจว่าสิทธิ์ของเขาคืออะไร และเขากำลังเซ็นอะไรอยู่ ซึ่งพวกนี้เป็นแนวปฏิบัติที่เราไปลอกมาจากประเทศอื่น เราเห็นว่าที่อื่นมี ซึ่งดีมาก แล้วตอนนี้เราก็พยายามจะผลักดันให้เกิดขึ้น แต่ก็มีหลายๆ จุดที่คงต้องไปช่วยกันให้ความรู้”

นอกจากนี้สมาคมฯหารือร่วมกันในเรื่องการให้ความรู้ทางการเงินในชุมชน โดยมีคอร์สเรื่องให้ความรู้ ซึ่งการให้ความรู้ทางการเงินได้มีการพูดกันมา 10 กว่าปีแล้ว แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เมื่อหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น ก็พูดกันมากขึ้นว่าการให้ความรู้ทางการเงินเป็นเรื่องที่จำเป็น น่าเสียดาย ที่ทุกวันนี้เรายังไม่มีเรื่องความรู้ทางการเงินบรรจุอยู่ในหลักสูตรการเรียนของมหาวิทยาลัยกับมัธยม แต่ก็ยังมีโอกาสอยู่

สำหรับหนี้ครัวเรือนที่สูง นายปิยะศักดิ์กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศแรกที่มีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง แต่ทุกประเทศที่เผชิญปัญหานี้ สุดท้ายก็กลับไปที่ว่าเริ่มต้องมีหลักสูตรนี้แล้ว เริ่มต้องบรรจุเข้าไปอยู่ในคอร์สการเรียนต่างๆ ซึ่งก็เริ่มมาถูกทาง และมองว่าเป็นโอกาส

นายปิยะศักดิ์กล่าวเสริมว่า สมาคมฯ กำหนดพบปะกันอย่างน้อยไตรมาสละครั้ง ยกเว้นกรณีพิเศษ แต่ยอมรับว่าสินเชื่อจำนำทะเบียนก็มีจุดอ่อน ตรงที่เพิ่งเริ่มมีการออกใบอนุญาต เริ่มมีกฎระเบียบ แต่ผู้บริโภคจดจำในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว ที่คนทำไม่ดีมากมาย ส่งผลให้ภาพลักษณ์อาจจะติดลบ การที่จะทำให้คนตระหนักว่าธุรกิจเปลี่ยนไปแล้ว ก็ต้องสร้างมาตรฐานที่สูงขึ้น มีการตั้งสมาคมขึ้นมา “แต่เมื่อไหร่ที่คิดอะไรออก เราก็จะพยายามสร้างมาตรฐาน”

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน)

กล้าที่จะทำ กล้าที่จะผิดพลาด กล้าเปลี่ยนทัศนคติ

นายปิยะศักดิ์กล่าวว่า เงินติดล้อให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กร และคุณภาพชีวิตของพนักงาน โดยพยายามศึกษาเรียนรู้จากบริษัทในต่างประเทศชื่อ Zappos ที่สหรัฐอเมริกา เป็นบริษัทแรกๆ ที่ขายรองเท้าออนไลน์ สุดท้ายถูกซื้อโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ว่าเป็นบริษัทที่ผู้ก่อตั้ง (founder) เขียนหนังสือเรื่องวัฒนธรรมองค์กร ที่เป็น value-based company ใช้ค่านิยมเป็นที่ตั้งในการสร้างองค์กร การสร้างกรอบ กฎระเบียบ แนวทางการปฏิบัติ ส่งผลพนักงานมีความสุขในการมาทำงานและทำกำไรได้ ผู้ถือหุ้นความพอใจ พนักงานมีความสุข ลูกค้าพอใจ ก็เลยบินไปดูงาน เพราะอยากสร้างวัฒนธรรมองค์กร 

นายปิยะศักดิ์กล่าวว่า ทั้ง 3 ด้าน “ผู้ถือหุ้นความพอใจ พนักงานมีความสุข ลูกค้าพอใจ” ไม่ใช่ zero-sum game ไม่ใช่ว่าคนใดคนหนึ่งได้ แล้วที่เหลือต้องสูญเสีย เงินติดล้อพยายามเรียนรู้ ลองผิดลองถูก จนประสบความสำเร็จ

แม้การสร้างวัฒนธรรมองค์กร ดูจะเป็นนามธรรมมีความยากในการสร้าง แต่นายปิยะศักดิ์กล่าวว่า “หนึ่งต้องมีความกล้า แค่นั้นเอง เรามีทรัพยากร เราต้องเลือกที่จะทำ เราต้องกล้าที่จะผิดพลาด และเราต้องเปลี่ยน mindset ของตัวเองให้ได้ ไปเรียนรู้ทฤษฎีจากเขา ไป สังเกต แล้วเราก็เปลี่ยนคำถามหลายๆ อย่างที่เป็นอุปสรรค เพราะเราเป็นสถาบันการเงิน เรามี DNA ว่าเรากลัวความเสี่ยง เราไม่อยากผิดพลาด เรามีองค์กรจากรัฐมานั่งตรวจสอบเราหลายๆ องค์กร เรามีผู้ถือหุ้นมาตรวจสอบเราอยู่ด้วยกฎเกณฑ์กฎระเบียบเต็มไปหมดเลย เราต้องทำให้ถูก แตจะทำอย่างไรเราถึงจะสร้างความยืดหยุ่นและความ loose ในการทำงานและ…ทุกเรื่อง เราก็เลยเปลี่ยนคำถามว่า

แทนที่ถามว่าทำไมถึงจะทำอันนี้ ทำแล้วได้อะไร ทำแล้วได้เท่าไหร่ เมื่อไหร่มันจะคืนทุน แทนที่เราจะเริ่มต้นจากตรงนั้น เราถามกลับกัน เราถาม why not เราถามว่า worst case ที่จะเกิดคืออะไร สิ่งที่จะแย่ที่สุดคืออะไร สิ่งที่จะสูญเสียที่สุดคืออะไร และถ้ามันไม่ได้แย่ก็ default คือ say yes , default คืออนุมัติ คือแทนที่จะ default คือปฏิเสธ เราบอกว่า default คืออนุมัติ อันนั้นเป็นสิ่งที่ยาก มันผิดธรรมชาติ

จากการที่ประสบความสำเร็จในการสร้างค่านิยมองค์กร เงินติดล้อได้เปิดโครงการ Culture Camp กับ Culture Wow ให้องค์กรอื่น พร้อมเปิดให้ผู้ประกอบการมาเรียนรู้ และรับรู้ว่าเงินติดล้อถึงมีค่านิยมที่ชัด แล้วใช้ค่านิยมในการพยายามที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของพนักงานทั้งในออฟฟิศและที่ทำงานนอกสถานที่ดีขึ้น

“เราเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เราทำสิ่งที่เราทำได้ เราทำของเราให้รอด ให้ดี แล้วเราก็จุดประกายคนอื่นได้ ถ้าเราจุดประกายคนอื่นได้ เดี๋ยวมันจะไปของมันเอง”

“โครงการCulture Camp กับ Culture Wow ที่เปิดบ้านให้ผู้ประกอบการมาเยี่ยมบ้านเรา แล้วเราก็นั่งเล่าให้เขาฟังว่าทำไมเราถึงมีค่านิยมที่ชัด แล้วเราใช้มันยังไงในการพยายามที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของพนักงานทั้งในออฟฟิศและนอกที่ทำงานดีขึ้น ปรากฏว่ามีบริษัทใหญ่ๆ บริษัทดีๆ ที่ผู้บริหารที่พยายามจะดูแลพนักงาน แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน ก็มาเข้าแคมป์เรา มาร่วมกิจกรรมของเรา ตอนนี้น่าจะเป็นร้อยบริษัทแล้ว สิ่งที่น่าจะตกใจอีกก็คือ มีบริษัทต่างประเทศ อย่างลูกค้ารายใหญ่จากเวียดนาม ทุกปีมีเป็นสิบๆ บริษัทมาดูงานเรื่องการสร้างค่านิยมองค์กร”

พร้อมให้ความเห็นว่า “กฎระเบียบไม่ใช่คำตอบ บางทีความไว้วางใจคนคือคำตอบ เราก็เลยคิดใหม่ เรามีกรอบการทำงานของเราเองเลยว่า คำว่าไว้วางใจคืออะไร what is trust ความไว้วางใจมาจากไหน ไว้วางใจอะไร ไว้วางใจในการตัดสินใจ ไว้วางใจในวิจารณญาณ และสิ่งที่ตรงข้ามกับความไว้วางใจคืออะไร แล้วเราอบรมพนักงาน ผู้บริหาร ถึงสิ่งที่เราอยากได้ พวกนี้เป็นทัศนคติหมดเลย ที่ผมคิดว่ามันง่ายโดยหลักการ แต่ไม่ง่ายที่จะปฏิบัติ ซึ่งคล้ายกับคำว่าธรรมาภิบาล แต่ต้องเลือกจากคัดคนก่อน ซึ่ง กลับไปที่ความเป็นผู้นำขององค์กร ถ้าผู้นำไม่ให้ความสำคัญเรื่องนี้ วัฒนธรรมจะไม่มีทางเกิด คือผมมีความคิดว่าไม่มีกฎระเบียบเลยก็ได้ ถ้าทุกคนดี แต่มันเป็นเรื่องของวัฒนธรรมเรา”

นายปิยะศักดิ์กล่าวว่า ที่เงินติดล้อมีนโยบายเรื่องความถูกต้อง คนที่ทำผิดกฎระเบียบและฝ่าฝืนกฎระเบียบร้ายแรงไล่ออกอย่างเดียว ไล่ออกและดำเนินคดี และไม่เจรจา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะบางคนทำงานกับบริษัทมานายเป็นสิบปี แต่ก็ต้องทำ เพราะยึดสิ่งที่ถูกต้อง แต่การดูสิ่งที่ถูกต้องนั้นยาก แล้วหากมีเรื่องความเกรงใจเข้าไปทาบทับอีกกับหลายๆ อย่าง ก็จะเป็นอุปสรรค

“แต่จริงๆ คือถ้าเรามองภาพใหญ่ตอนนี้องค์กรนี้มี 8,000 กว่าคน ส่วนใหญ่ 99% เป็นคนดี ทำถูก ทำไมเราถึงจะยอมส่วนน้อยเพื่อจะทำให้อีก 99% รู้สึกอึดอัด”

นายปิยะศักดิ์กล่าวย้ำว่า สิ่งที่ทำทั้งหมดป็นการช่วยให้คุณภาพชีวิตของพนักงานดีขึ้น และสุดท้ายก็กลับไปที่การทำให้ได้ ให้เกิดผลกับคนทั่วไปด้วย