ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์
ระบบคุณค่า คือ แกนกลางที่ส่งผลต่อรูปแบบเชิงโครงสร้างและพฤติกรรมของประเทศ
เปลี่ยนระบบคุณค่า -> เปลี่ยนระบบคิด -> เปลี่ยนพฤติกรรมพลเมือง -> เปลี่ยนสถาบัน / นโยบาย / วัฒนธรรม
ระบบคุณค่าเก่า: ระบบอุปถัมภ์-อำนาจนิยม-อภิสิทธิ์ชน กับวัตถุนิยม-บริโภคนิยม-สุขนิยม เป็นอุปสรรคสำคัญต่อ
1) “การสร้างพื้นที่ร่วม” (Common Ground) ที่ไม่ว่าจะมาจากเชื้อชาติใด ภูมิภาคใด พื้นเพอาชีพใด บทบาทหน้าที่ใด ฐานะยากดีมีจน ก็มีความรู้สึกของความเป็นชาติไทยร่วมกัน
2) “การสร้างเจตจำนงร่วม” (Common Goals) ที่ต้องการเห็นชาติไทยเป็นหนึ่งในชาติที่ยิ่งใหญ่ ต้องการเห็นประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศในโลกที่หนึ่ง
คำถามคือ ระบบคุณค่าใหม่ที่จะทำให้เกิดการสร้างพื้นที่ร่วมและเจตจำนงร่วมเป็นอย่างไร จะต้องเป็นระบบคุณค่าที่จะช่วยปรับเปลี่ยนพลเมืองที่เฉยชา ให้เป็นพลเมืองที่รับผิดชอบ เปลี่ยนสังคมที่ถูกครอบงำ เป็นสังคมที่เป็นอิสระ เปลี่ยนเศรษฐกิจการเมืองแบบเอารัดเอาเปรียบ เป็นเศรษฐกิจการเมืองแบบมีส่วนร่วม และเปลี่ยนรัฐที่ไม่น่าเชื่อถือ เป็นรัฐที่น่าเชื่อถือ
ระบบคุณค่า 2 ชุดใหม่ (New Value Systems)
(1) ระบบคุณค่า “ความเป็นมนุษย์ – ความเท่าเทียม – ความยั่งยืน”
เป็นระบบคุณค่าที่เน้นการสร้าง “พื้นที่ร่วม” (Common Ground) ผ่านความเป็นมนุษย์–ความเท่าเทียม–ความยั่งยืน กลุ่มคุณค่าที่อยู่ในระบบนี้ ประกอบไปด้วย
- 1. ปัญญาเหนืออำนาจ คุณธรรมเหนือผลประโยชน์ : ภาวะผู้นำจากภายใน ความฉลาดรู้เชิงคุณธรรม
2. ความเสมอภาคและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์: สิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม
3. จิตที่ตื่นรู้: ความหมายชีวิต การเห็นร่วมในฐานะมนุษย์
4. การเชื่อมโยงธรรมชาติกับชีวิตอย่างกลมกลืน: ความยั่งยืน โลกทัศน์แบบองค์รวม
5. ปัจเจกนิทัศน์: เสรีภาพ การแสดงออก อัตลักษณ์
ระบบคุณค่าทั้ง 5 ข้อนี้ มิได้เป็นเพียงกรอบทางจริยธรรมหรืออุดมการณ์เท่านั้น หากแต่เป็นรากฐานในการ “ปรับระบบความคิด” (Thought Systems) ของผู้คนอย่างลึกซึ้ง ทั้งในระดับปัจเจก สังคม และประเทศ โดยสามารถอธิบายผลกระทบเชิงระบบได้ดังนี้:
1. ความสัมพันธ์กับอำนาจ:
ยึดติดอำนาจภายนอก อำนาจนำ ผลประโยชน์ส่วนตน ->ใช้ปัญญาเป็นเข็มทิศ คุณธรรมเป็นฐานของอำนาจ
2. ความเข้าใจในความเป็นมนุษย์:
ลำดับชนชั้น กดทับความหลากหลาย ยึดรูปแบบ -> เคารพศักดิ์ศรีมนุษย์ทุกคน มองคนเท่ากันโดยเนื้อแท้
3. ความเข้าใจในปัจเจก:
ต้องเหมือนกันเพื่ออยู่รอด ปิดกั้นการแสดงออก -> เคารพอัตลักษณ์ เปิดพื้นที่ให้ปัจเจกเป็นตัวของตัวเองอย่างมีคุณค่า
4. โลกทัศน์เรื่องธรรมชาติ:
ธรรมชาติเป็นทรัพยากรที่มีไว้ใช้ -> ธรรมชาติมีชีวิต และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมอย่างกลมกลืน
5. ภาวะการตื่นรู้ภายใน:
ว่างเปล่า หวั่นไหว ติดโลกวัตถุ -> จิตที่ตื่นรู้ เห็นความหมายของชีวิต เชื่อมโยงตนเองกับสรรพสิ่ง
ผลกระทบต่อการปรับระบบความคิดของผู้คน
1. เปลี่ยนจาก “ความกลัว” เป็น “ความเข้าใจ”:
คุณค่าเหล่านี้ลดแรงผลักดันจากอัตตา การแบ่งแยก และการแข่งขัน จึงช่วยสร้างความไว้วางใจ ความเข้าใจ และความร่วมมือ
2. เปลี่ยนจาก “การอยู่รอด” เป็น “การอยู่ร่วม”:
จากการมุ่งเอาตัวรอดด้วยอำนาจและการช่วงชิงทรัพยากร มาสู่การอยู่ร่วมโดยยึดโยงคุณค่าร่วมของมนุษย์และธรรมชาติ
3. เปลี่ยนจาก “ปัจเจกนิยมแบบแยกขาด” เป็น “ปัจเจกนิยมแบบเชื่อมโยง”:
ปัจเจกมีเสรีภาพในการเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ปฏิเสธหรือทำลายความเป็นส่วนรวม
4. เปลี่ยนจาก “วัตถุนิยม-บริโภคนิยม” เป็น “จิตวิญญาณและความหมาย”:
คนไม่ยึดติดความสำเร็จภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ใฝ่หาชีวิตที่มีคุณค่าจากภายใน
5. เปลี่ยนจาก “การรับบทเหยื่อ” เป็น “ภาวะผู้นำจากภายใน”:
ทุกคนเป็น “ผู้นำของตนเอง” ที่มีจิตที่ตื่นรู้ และเลือกทางเดินชีวิตอย่างมีสติ ปัญญา อัตลักษณ์ และจุดยืน
(2) ระบบคุณค่า “ปกติสุข – ประโยชน์สุข – สันติสุข”
เป็นระบบคุณค่าที่เน้นการสร้าง “เจตจำนงร่วม” (Common Goals) ผ่านการมีปกติสุข-การเกิดประโยชน์สุข-การสร้างสันติสุข กลุ่มคุณค่าที่อยู่ในระบบนี้ประกอบไปด้วย
6.จิตสำนึกพอเพียง: ความพอดี มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน
7.จิตสาธารณะและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม: การมีส่วนร่วม ร่วมรับผิดรับชอบ
8.เกื้อกูลและแบ่งปัน: ความเมตตา ความเป็นครอบครัว ความเป็นชุมชน
9.รู้รักสามัคคี : ความเป็นหนึ่งเดียว แม้มีความคิดเห็นแตกต่าง
10.นิติรัฐ นิติธรรม และ ธรรมาภิบาล: หลักนิติธรรม ความโปร่งใส ความยุติธรรม
ระบบคุณค่าทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นรากฐานสำคัญของการปรับระบบความคิดของผู้คน จากฐานรากวัฒนธรรมเดิมที่เน้นปัจเจกนิยมแบบแยกขาด-บริโภคนิยม-อุปถัมภ์นิยม ไปสู่ ระบบคิดที่ยึดโยงกับความสมดุล ความร่วมมือ และความเป็นธรรมเชิงโครงสร้าง
ระบบคุณค่าทั้ง 5 ข้อ ช่วยเปลี่ยน “ระบบคิด” ของผู้คนใน 5 มิติหลัก ดังนี้:
1.จาก “คิดแบบโลภ-เร่ง-เสี่ยง” เป็น “คิดอย่างพอเพียง มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน”:
ด้วยจิตสำนึกพอเพียง ผู้คนจะเปลี่ยนจากความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด มาสู่ความพอดีช่วยลดแรงขับจากวัตถุนิยม แข่งขันไร้ขอบเขต และความเสี่ยงเชิงระบบนั่นคือ เปลี่ยน “Mindset ของการเอาชนะ” เป็น “Mindset ของการดำรงอยู่ที่ยั่งยืน”
2. จาก “ฉัน-เขา” เป็น “เราโดยส่วนรวม”:
ด้วยจิตสาธารณะและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม คนจะเลิกมองแค่ประโยชน์ส่วนตัว มาใส่ใจส่วนรวม เปลี่ยนจาก “ผู้บริโภค” เป็น “พลเมืองผู้มีส่วนร่วม”นั่นคือ เปลี่ยน “Passive Citizen” เป็น “Engaged Citizen”
3. จาก “แข่งขัน-แย่งชิง” เป็น “เกื้อกูล-แบ่งปัน”
จากระบบคิดจากตลาดเสรีแบบสุดโต่ง เปลี่ยนเป็นระบบคิดแบบชุมชนผู้คนไม่คิดว่าโลกเป็น Zero-Sum แต่เป็น Positive-Sum
นั่นคือ เปลี่ยน “การแข่งขันแบบปิด” เป็น “การสร้างโอกาสแบบเปิดร่วมกัน”
4. จาก “แตกแยกทางอัตลักษณ์” เป็น “ความรักสามัคคีท่ามกลางความหลากหลาย”
ด้วยคุณค่าของ การรู้รักสามัคคี ผู้คนเปลี่ยนจากการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย สู่การมองเห็นความเชื่อมโยงกันในฐานะเพื่อนมนุษย์และพลเมืองชาติเดียวกันนั่นคือ เปลี่ยน “อัตลักษณ์แบบขัดแย้ง” เป็น “อัตลักษณ์แบบประสาน”
5. จาก “อยู่ใต้เงาอำนาจ” เป็น “อยู่ภายใต้หลักนิติธรรมและธรรมาภิบาล”
จากระบบคิดเปลี่ยนจากการพึ่งอำนาจแบบอุปถัมภ์ เป็น สู่การเคารพกฎหมาย ระบบ และความเป็นธรรม ส่งเสริมจิตสำนึกของพลเมืองในรัฐที่ยุติธรรมและตรวจสอบได้นั่นคือ เปลี่ยน “ระบบอุปถัมภ์-อภิสิทธิ์” → “ระบบกฎกติกา-ธรรมาภิบาล”
ระบบคุณค่าใหม่กับการปรับเปลี่ยนจารีตนิยม (Transformation of Traditionalism)
ระบบคุณค่าใหม่ ไม่ได้ปฏิเสธทุกสิ่งจากจารีตเดิมทั้งหมด แต่จะมีแนวทางที่ชัดเจน โดยการ:
แนวคิดหลักของ “การปรับเปลี่ยนจารีตนิยม”
1. เปลี่ยนจากการยึดถือโดยไม่ตั้งคำถาม สู่การตระหนักรู้และตั้งคำถามต่อจารีต
2. เปลี่ยนจากระบบอำนาจบนลงล่าง สู่ระบบที่ทุกคนมีสิทธิ์มีเสียง
3. เปลี่ยนจากการอนุรักษ์เฉย ๆ สู่การฟื้นฟูอย่างสร้างสรรค์
ตัวอย่าง: การปรับเปลี่ยนจารีตนิยม
บทสรุป
ระบบคุณค่าใหม่ไม่ใช่การปฏิเสธจารีตนิยมแบบเบ็ดเสร็จ แต่คือ “การกลั่นกรอง–แปรรูป–ยกระดับ” จารีตที่ยังมีคุณค่าให้เป็นพลังสร้างสรรค์ และในขณะเดียวกัน “ปลดทิ้ง” จารีตที่ฉุดรั้งพลวัตการก้าวไปข้างหน้าของสังคม
ระบบคุณค่าใหม่ทั้งสองชุด ไม่ได้แยกขาด แต่เสริมพลังกัน: