ThaiPublica > คอลัมน์ > ภาคการเงินไทยสุขภาพดีกว่าใคร เหตุใดจึงไปไม่ถึงภาคเศรษฐกิจจริง?

ภาคการเงินไทยสุขภาพดีกว่าใคร เหตุใดจึงไปไม่ถึงภาคเศรษฐกิจจริง?

10 มิถุนายน 2025


ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ


“A ship in harbor is safe, but that is not what ships are built for.”

John Augustus Shedd
Salt from My Attic (1982)

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายจากปัญหาหลายประการ แต่หลายครั้งการเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายก็เป็นส่วนสำคัญของการปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของเราทุกคน เราไม่สามารถหยุดนิ่งเหมือนเรือที่จอดอยู่บนฝั่งเพราะกลัวคลื่นลมได้ หากแต่เราจะต้องมีความหวัง มีกำลังใจในการเอาชนะอุปสรรค เปรียบได้กับเรือที่ออกจากฝั่งเพื่อไปทำหน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์ หากทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แล้ว การออกจาก ‘พื้นที่ปลอดภัย’ (Comfort Zone) จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาตนเองและก้าวข้ามความท้าทายเหล่านั้นได้ในที่สุด

เรามาเริ่มต้นตั้งคำถามกันว่าจุดแข็งของไทยอยู่ตรงไหน ภาคส่วนใดของเศรษฐกิจไทยที่ ‘มีสุขภาพดี’ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หากเราแบ่งผลผลิตรวมของเศรษฐกิจไทยออกตามภาคการผลิต (Economic Sector) แล้วสำรวจว่าภาคการผลิตใดที่เติบโตได้สูงพอประมาณและเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกเมื่อปี 2008-2009 เป็นต้นมา

ภาคการเงินไทยสุขภาพดีมีภูมิคุ้มกัน

จากข้อมูลทางเศรษฐกิจ เราพบว่าภาคส่วนที่สุขภาพดีอย่างโดดเด่นคือภาคการเงิน ถ้านับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมาผลผลิตจากภาคการเงินไทยเติบโตเฉลี่ยแบบเปรียบเทียบปีต่อปี (% Year-over-Year) ได้สูงถึง 5.1% ขณะเดียวกันการเติบโตก็มีเสถียรภาพและมีภูมิคุ้มกันต่อปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ สังเกตได้จากอัตราการเติบโตในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2020 ที่ไทยรับมือกับการระบาดของโควิด 19 พบว่าภาคการเงินไทยก็ยังเติบโตได้ที่ 4.5% 3.2% และ 2.9% ตามลำดับ

ทำไมภาคการเงินไทยจึงเติบโตได้อย่างโดดเด่น นั่นเป็นเพราะว่าภาคการเงินไทย ‘มีความลึก’ และ ‘แข็งแกร่ง’ ความลึกแปลว่าระบบการเงินไทยมีขนาดใหญ่ มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินพื้นฐานครบถ้วน โดยรายงาน Global Financial Development Report2 ของธนาคารโลกระบุว่าในปี 2018 สถาบันการเงินและตลาดการเงินไทยมีความลึกเป็นอันดับที่ 21 และ 18 จาก 181 ประเทศที่สำรวจ

นอกจากความลึกแล้ว ภาคการเงินไทยยังมีความแข็งแกร่ง นั่นคือมีเสถียรภาพและมีภูมิคุ้มกันต่อ Shock ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคธนาคารไทย โดยข้อมูลจากรายงานชุดเดียวกันระบุว่าในปี 2017 ภาคธนาคารไทยมีค่า Bank Z-score หรือโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำเป็นอันดับที่ 111 จาก 144 ประเทศที่สำรวจ ซึ่งก็สอดคล้องกับมูลค่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของระบบธนาคารไทย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2020 ซึ่งคิดเป็นเพียง 3.1% ของสินเชื่อทั้งระบบทั้งที่เศรษฐกิจโดยรวมหดตัวอย่างแรง นอกจากนี้ ในรายงาน IMF Article IV Consultation3 ในปี 2019 มีการประเมินว่าภาคการเงินไทยมีกฎกำกับและการตรวจสอบดูแลที่เข้มแข็งได้มาตรฐานสากล และก็มีการปรับปรุงให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง

ภาคการเงินสุขภาพดีกว่าภาคเศรษฐกิจจริง

การที่ภาคการเงินไทย ‘มีสุขภาพที่ดี’ นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะระบบเศรษฐกิจที่ดีจะต้องมีกลไกการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพซึ่งต้องพึ่งการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินโดยระบบการเงิน เช่น สถาบันการเงินเป็นผู้ระดมเงินฝากจากคนที่มีเงินเหลือแล้วนำไปปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจที่ขาดเงินลงทุนในการสร้างเทคโนโลยีและมูลค่าเพิ่มซึ่งจำเป็นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ระบบการเงินรับบทบาทในการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินเพราะมี ‘ความสามารถพิเศษ’ ในการมองหาและจับคู่ระหว่างคนที่มีเงินเหลือกับคนที่ขาดเงินให้มาเจอกัน โดยใช้ ‘ความเชี่ยวชาญ’ ในการประเมินความต้องการและความเสี่ยงทางการเงินของคน นอกจากนี้ ระบบการเงินยังเป็นนักบริหารความเสี่ยงให้กับภาคเศรษฐกิจจริง โดยใช้เครื่องมือทางการเงินในการช่วยบรรเทาผลร้ายจาก Shock ทางเศรษฐกิจที่ภาคเศรษฐกิจจริงต้องเจอ ดังนั้น ถ้าภาคการเงินสุขภาพดี ภาคเศรษฐกิจจริงก็ควรสุขภาพดีตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ภาคเศรษฐกิจจริงของไทยกลับไม่ได้มีสุขภาพดีเหมือนกับภาคการเงิน รูปที่ 1 แสดงกราฟการกระจายตัวโดยคร่าวของตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2008-20094 โดยพบว่าภาคการเงินมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงที่สุด (ยอดของกราฟรูประฆังอยู่ทางขวาสุด) และมีความผันผวนน้อยที่สุด (กราฟกระจุกตัวอยู่ใกล้กับยอดระฆังมากที่สุด) ขณะที่ภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ใกล้ 0 และมีความผันผวนสูงกว่าภาคการเงินอย่างเห็นได้ชัด

จับ 3 สัญญาณ ภาคการเงินไทยสุขภาพดีไปไม่ถึงภาคเศรษฐกิจจริง

ทำไมภาคเศรษฐกิจจริงของไทยไม่ได้มีสุขภาพดีตามภาคการเงิน? มีความเป็นไปได้ว่าปัญหาอยู่ที่ ‘ข้อต่อ’ ที่เชื่อมภาคการเงินเข้ากับภาคเศรษฐกิจจริงนั่นคือ ‘คุณภาพ’ ของการจัดสรรทรัพยากรทางการเงิน โดยมี 3 สัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาในการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินของไทย โดยสัญญาณทั้งหมดซ่อนอยู่ในข้อมูลการเข้าถึงและการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินไทย

สัญญาณแรก สถาบันการเงินไทยไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจหน้าใหม่เข้าสู่ตลาดมากเท่าที่ควร การเกิดดับของธุรกิจ เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจคล้ายกับการถ่ายเลือดใหม่เข้าไปแทนเลือดเก่า ซึ่งเงื่อนไขสำคัญก็คือ ธุรกิจต้องดับได้ (Exit) และเกิดได้ (Entry) ซึ่งก็มีหลักฐานทางวิชาการออกมาย้ำถึงบทบาทของภาคการเงินในการเอื้อให้เกิดกระบวนการเกิดดับดังกล่าวผ่านการให้จัดสรรทรัพยากรทางการเงินให้กับธุรกิจหน้าใหม่5 อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของธนาคารโลกในปี 2017 พบว่ามีคนไทยที่อายุ 15 ปีขึ้นไปเพียง 11.0% ที่เข้าถึงสินเชื่อเพื่อจัดตั้ง บริหารหรือขยายกิจการ ซึ่งยังตามหลังประเทศพัฒนาแล้วที่มีสัดส่วนสูงถึง 24.8% อยู่มาก (รูปที่ 2) สัญญาณดังกล่าวสะท้อนว่ายังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินพื้นฐานอย่างสินเชื่อเพื่อการดำเนินธุรกิจ

สัญญาณที่สอง คนไทยมีสินเชื่อธุรกิจน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับสินเชื่อเพื่อการบริโภค เราสามารถแบ่งประเภทของสินเชื่อออกเป็นสินเชื่อเพื่อการบริโภค (หรือสินเชื่อครัวเรือน) และสินเชื่อธุรกิจซึ่งมีหน้าที่แตกต่างกัน สินเชื่อเพื่อการบริโภคช่วยให้ครัวเรือนสามารถบริหารการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคได้ตลอดช่วงอายุขัย (Consumption Smoothing) ขณะที่สินเชื่อธุรกิจเป็นเงินทุนสนับสนุนการลงทุนของภาคธุรกิจ (Investment) จากรูปที่ 3 พบว่าประเทศส่วนใหญ่มีสัดส่วนสินเชื่อธุรกิจต่อ GDP ใกล้เคียงหรือสูงกว่าสัดส่วนสินเชื่อครัวเรือนต่อ GDP ขณะที่ประเทศไทยมีขนาดของสินเชื่อครัวเรือนใหญ่กว่าสินเชื่อธุรกิจค่อนข้างมาก ข้อมูลดังกล่าวตั้งคำถามว่าไทยมีสินเชื่อเพื่อการบริโภคมากเกินไปหรือมีสินเชื่อธุรกิจน้อยเกินไปหรือไม่ นอกจากนี้ ความไม่สมดุลดังกล่าวอาจเชื่อมโยงไปยังพฤติกรรมการกู้เงินเพื่อนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น การกู้สินเชื่อเพื่อการบริโภคแต่นำมาใช้ในเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจซึ่งทำให้ผู้กู้ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยในอัตราสูงและเงื่อนไขในการกู้ยืมที่ไม่เหมาะสม

สัญญาณที่สาม สินเชื่อเพื่อธุรกิจส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน ขณะที่สินเชื่อเพื่อการลงทุนอยู่ในระดับต่ำ ผลการสำรวจของธนาคารโลกในปี 2017 พบว่าประเทศไทยมีสัดส่วนของธุรกิจที่ขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับประเทศพัฒนาแล้ว (รูปที่ 4) แต่กลับมีสัดส่วนของธุรกิจที่ขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อเป็นเงินลงทุนต่ำเทียบเท่ากับค่าเฉลี่ยของประเทศรายได้น้อย (รูปที่ 5) น่าคิดว่าสัดส่วนการเข้าถึงสินเชื่อธนาคารเพื่อการลงทุนที่ต่ำเป็นเพราะธุรกิจไม่มีความต้องการลงทุน หรือเป็นเพราะว่ามีความต้องการแต่สถาบันการเงินไม่สามารถปล่อยสินเชื่อให้กันแน่

ภาคการเงินทำงานผิดปกติอาจเหมือนกับเด็กเก่งที่กลัวเกรดตก

ข้อเท็จจริงทั้ง 3 สัญญาณผิดปกติที่กล่าวมานั้นอาจสื่อถึงความบิดเบี้ยวของแรงจูงใจที่ส่งผลให้ภาคการเงินไม่สามารถช่วยจัดสรรทรัพยากรไปให้กับภาคส่วนที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ อันนำไปสู่คำถามสำคัญที่ว่าความบิดเบี้ยวในกลไกการทำงานของภาคการเงินเกิดจากสาเหตุอะไรและเราจะแก้ไขให้ภาคการเงินสามารถส่งต่อ ‘การมีสุขภาพที่ดี’ ไปยังภาคเศรษฐกิจจริงได้อย่างไร

อะไรที่ทำให้สถาบันการเงินไม่กล้าให้สินเชื่อกับผู้กู้อย่างทั่วถึง? เรื่องนี้ชวนให้นึกถึงประสบการณ์การทำงานเป็นอาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัยเมื่อหลายปีก่อน ผมได้มีโอกาสสอนนิสิตกลุ่มหนึ่งที่ความปรารถนามากที่จะให้ได้ผลการเรียนออกมาดี นิสิตกลุ่มนี้จะเลือกลงเรียนแต่วิชาที่ถนัดหรือรู้มาก่อนอยู่แล้ว แต่กลับไม่กล้าลงเรียนวิชายากที่จะได้มีโอกาสพัฒนาและจำเป็นต่อการทำงานในอนาคต ด้วยเหตุผลเพราะ ‘กลัวเกรดตก’ กลยุทธ์นี้อาจได้ผลดีในระยะสั้น แต่นิสิตจะขาดทักษะและองค์ความรู้ที่ตนเองยังไม่มี ซึ่งจำเป็นต่อการเติบโตในระยะยาว คล้ายกับระบบการเงินไทยที่กลัวความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อในวันนี้มากกว่าการคำนึงถึงผลดีที่อาจช่วยให้เกิดการผลิตและนวัตกรรมใหม่สำหรับการเติบโตในวันข้างหน้า … ดูเหมือนกับว่าเรากำลังกลัว ‘Short-term Pain’ เสียจนลืมคิดถึง ‘Long-term Gain’

คำถามคือทำไมสถาบันการเงินไทยจึง ‘กลัวเกรดตก’ เราคงต้องไปตามดูกันต่อว่าอะไรเป็นแรงจูงใจหรือเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ระบบการเงินไทยกลัวความเสี่ยงมากจนไม่สามารถทำหน้าที่นักจัดสรรทรัพยากรทางการเงินซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของสถาบันการเงินได้ดีเท่าที่ควรคล้ายกับ ‘เรือที่ไม่กล้าออกจากฝั่ง’ ปัญหาอยู่ที่สถาบันการเงินเอง ผู้กู้หรือเป็นเรื่องระบบกลไกของโครงสร้างแรงจูงใจที่บิดเบี้ยวกันแน่

เรามาหาคำตอบร่วมกันในตอนต่อไปครับ

หมายเหตุ
1. เผยแพร่ครั้งแรกใน THE STANDARD OPINION 4 มกราคม 2021 (https://thestandard.co/why-thai-financial-sector-better-than-other-but-not-reach-economic-section/)
2. Global Financial Development Report 2019 / 2020: Bank Regulation and Supervision a Decade after the Global Financial Crisis. URL: https://www.worldbank.org/en/publication/gfdr
3. Thailand: 2019 Article IV Consultation-Press Release; Staff Report; and Statement by the Executive Director for Thailand. URL: https://www.imf.org/en/Publications/CR/Issues/2019/10/07/Thailand-2019-Article-IV-Consultation-Press-Release-Staff-Report-and-Statement-by-the-48724
4. โดยนับจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2010 ไปจนถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2020
5. Caballero, Ricardo J., Takeo Hoshi, and Anil K. Kashyap. 2008. “Zombie Lending and Depressed Restructuring in Japan.” American Economic Review, 98 (5): 1943-77.
6. HIC หมายถึง กลุ่มประเทศรายได้สูง (High income countries), UMC หมายถึง กลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง (Upper middle income countries), LMC หมายถึง กลุ่มรายได้ปานกลางระดับล่าง (Lower middle income countries), และ LIC หมายถึง กลุ่มประเทศรายได้น้อย (Low income countries)