
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังการประชุม ครม. ณ ห้องโถงชั้นล่าง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
- นายกฯยัน ‘อนุทิน’ ไม่ได้พูด “ขอเป็นฝ่ายค้าน ถ้าไม่ได้ มท.”
- พร้อมอพยพคนไทยในอิสราเอล 4 หมื่นคน
- ตั้ง “ศบ.ทก” ตามสถานการ์ไทย-กัมพูชารายวัน
- มติ ครม.ไฟเขียว ขสมก.เช่ารถเมล์อีวี 1,520 คัน คาด 7 ปี กำไร 2 หมื่นล้าน
- ควักเงิน ธ.ก.ส. 5,175 ล้าน หนุนชาวไร่เกี่ยวอ้อยสด ลด PM2.5
- ห้ามตั้ง-ขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นทั่วประเทศต่ออีก 5 ปี
- เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัด ‘Formula One’ บริเวณจตุจักร 2,167 ไร่
- อนุมัติรวมสัญญารถไฟสายสีแดงวงเงิน 15,176 ล้าน
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
อนุมัติมาตรการเก็บอ้อย ลด PM2.5 วงเงิน 5.1 พันล้าน
นางสาวแพทองธาร รายงานว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนิน. “มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ฤดูกาลผลิต 2567/68 เฉพาะมาตรการสร้างแรงจูงใจ” กรอบวงเงิน 5,175 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนจาก ธ.ก.ส. และพิจารณาทางเลือกการจ่ายเงินให้เกษตรกรผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการของภาครัฐ
“ที่สำคัญ มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม จัดทำแผนดำเนินงานสนับสนุนให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเปลี่ยนวิธีการเก็บเกี่ยวอ้อยโดยไม่ต้องเผาอีกต่อไป เพื่อจะได้ยั่งยืนและไม่เป็นภาระต่องบประมาณของภาครัฐ” นางสาวแพทองธาร กล่าว
พร้อมอพยพคนไทยในอิสราเอล 4 หมื่นคน
ผู้สื่อข่าวถามถึงสถานการณ์อิสราเอล-อิหร่าน ว่าประเทศไทยเตรียมความพร้อมอย่างไร โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ทั้งกองทัพ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศ ประสานพร้อมหมดแล้วเพื่อจะสามารถอพยพคนไทยออกมาได้ และมีการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือแรงงานและสถานการณ์ความไม่สงบ ณ อิสราเอล เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับข้อมูลต่างๆ”
“กองทัพอากาศเตรียมเครื่องบินในการอพยพคนไทยในอิสราเอลแล้ว เพราะมีแรงงานไทยประมาณเกือบ 40,000 คน พอให้ลงทะเบียนเข้ามา เราถึงทราบตัวเลขว่ามีประมาณเกือบ 40,000 คน ทุกที่ประสานกันหมดและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และทุกมาตรการยืนยันว่ารัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือในเรื่องนี้ครบถ้วนและเต็มที่” นางสาวแพทองธาร ตอบ
ถามต่อว่า สถานการณ์ขั้นไหน นายกฯ จึงจะสั่งอพยพ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “มีอเมริกากับจีนที่สั่งอพยพแล้ว เรากำลังดูว่า คนไทยตรงนั้นมีความพร้อมแค่ไหนด้วย แต่เราดูความพร้อมหมดแล้ว และคงต้องประสานกับหน้างาน ถ้าพร้อมเราก็สามารถอพยพได้เลย”
ถามต่อว่า ได้แจ้งเตือนคนไทยในอิสราเอลแล้วใช่หรือไม่ นางสาวแพทองธาร ยืนยันว่า “ค่ะ” และเสริมว่า “แจ้งเตือนไปก่อนแล้วค่ะ และต้องประสานกับทางสถานทูตด้วย”
ยัน ‘อนุทิน’ ไม่ได้พูด “ขอเป็นฝ่ายค้าน ถ้าไม่ได้ มท.”
เมื่อถามถึงการพูดคุยกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรื่องการปรับ ครม. นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ยังไม่ได้คุย คุยแต่เรื่องเนื้องานนโยบายต่างๆ ที่เรามีการจะขับเคลื่อน ก็ยังมีการติดขัดบางจุด ซึ่งก็ได้บอกไปแล้วว่าตรงไหนอยากให้มีการขยับมากยิ่งขึ้น”
ถามต่อว่า นายกฯ วางแผนงานยาวให้นายอนุทิน สะท้อนว่านายอนุทินจะได้อยู่ในตำแหน่งต่อไป ใช่หรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ก็แล้วแต่จะมองนะ ในการพิจารณา เพราะจริงๆ แล้วทุกกระทรวงไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนรัฐมนตรีก็ต้องทำงานต่ออยู่ดี”
เมื่อถามว่า นายกฯ มีเงื่อนไขในการปรับ ครม. ว่าใครจะอยู่ตำแหน่งยาวด้วยหรือไม่ ทำให้ นางสาวแพทองธาร ทวนคำถาม “เงื่อนไขตอนร่วมรัฐบาลหรือคะ” จากนั้นกล่าวต่อว่า “อ๋อ ไม่ได้มีเงื่อนไข ก็คุยกันเรื่องของกระทรวง”
สุดท้ายถามว่า พรรคภูมิใจไทยจะเป็นฝ่ายค้าน หากมีการปรับ ครม. และไม่ได้กระทรวงมหาดไทยต่อ นายอนุทินได้สื่อสารเรื่องนี้กับนายกฯ หรือไม่ โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ไม่มีนะคะ เมื่อวานก็ไม่เห็นพูดแบบนี้ ไม่ได้มีแบบนี้ ขอบคุณมากนะคะ”
เตรียมพร้อมอพยพคนไทยในอิสลาเอล 24 ชม.
นายจิรายุ รายงานว่า ที่ประชุม ครม. วันนี้ ได้รายงานสถานการณ์คนไทยในประเทศอิสราเอล และอิหร่าน โดย กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงแรงงาน ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสถานเอกอัครราชทูตทั้ง 2 ประเทศ ในการดูแลและเตรียมความพร้อมในทุกมิติ หากมีความจำเป็นต้องอพยพ
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ สั่งการให้มีความพร้อมตลอดเวลา ซึ่งได้รับรายงานว่า คนไทยใน 2 ประเทศ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บต่อการโจมตีแต่อย่างใด แต่ให้เตรียมการไว้ให้พร้อมตลอดเวลา
ตั้ง “ศบ.ทก” ตามสถานการ์ไทย-กัมพูชารายวัน
นายจิรายุ กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชาว่า พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รายงานการแก้ไขปัญหา ทั้งระดับหน้างานและชายแดนที่นายกรัฐมนตรีได้เคยมอบหมายให้กองทัพที่รับผิดชอบดำเนินการต่อไปตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ซึ่งต้องประชุม เพื่อขออนุมัติดำเนินการต่างๆ เพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์เป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้นตามสถานการณ์ทุกวัน จึงได้ตั้งศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เพื่อบูรณาการการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งหมายที่จะแก้ไขความตึงเครียด และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนกับประเทศกัมพูชาอย่างมิตรประเทศที่ใฝ่สันติจะพึงปฏิบัติต่อกันบนหลักการทวิภาคี และด้วยสันติวิธีเคารพซึ่งกันและกันในเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค และบูรณภาพแห่งดินแดน
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหายังมองถึงความเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อสาธารณชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา เรียกโดยย่อว่า “ศบ.ทก.” มีโครงสร้างดังนี้
- รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
- เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
- ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
- ปลัดกระทรวงมหาดไทย
- ปลัดกระทรวงกลาโหม
- ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
- ปลัดกระทรวงพาณิชย์
- ปลัดกระทรวงแรงงาน
- เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
- เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
- ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
- ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
- ผู้บัญชาการทหารบก
- ผู้บัญชาการทหารเรือ
- ผู้บัญชาการทหารอากาศ
- ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
- อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์
- อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย
- อธิบดีกรมสารนิเทศ
- อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก
- โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย
- นายวรณัฐ คงเมือง รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
- ผู้แทนหน่วยงานของรัฐ หรือผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่พิจารณา
- ผู้ช่วยเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
- เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร
- ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า “ศบ.ทก.” มีหน้าที่และอำนาจติดตาม ตรวจสอบ วิเคราะห์ กลั่นกรอง และประเมินสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา อย่างใกล้ชิด ทุกเวลาและให้ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการที่จำเป็นเพื่อเป็นประโยชน์ในการบริหาร สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีแล้วแต่กรณี และร่วมกันบูรณาการการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ให้มีความเป็นเอกภาพ และเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อสาธารณชน
ทั้งนี้ ให้มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือมอบหมายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และรายงานผลการปฏิบัติงานและการบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี เพื่อทราบเป็นระยะ
นายจิรายุ เสริมว่า ศบ.ทก. ยังมีหน้าที่และอำนาจตามความมุ่งหมายที่จะแก้ไขความตึงเครียดและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนกับประเทศกัมพูชาให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติอย่างเช่นมิตรประเทศที่ใฝ่สันติจะพึงปฏิบัติต่อกันบนหลักการทวิภาคี อย่างเท่าเทียม และด้วยสันติวิธี เคารพซึ่งกันและกันในเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน และเอกลักษณ์ของทั้งสองประเทศ และโดยปราศจากการแทรกแซงของประเทศที่สามหรือองค์กรระหว่างประเทศทั้งปวง
ทั้งนี้ เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ ให้ผู้อำนวยการศูนย์รายงานต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบ และมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งนี้ โดยคณะกรรมการ ศบ.ทก.จะประชุมนัดแรก วันนี้ เวลา 13.30 น.ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ
มติ ครม.มีดังนี้

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี , นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษก ฯ และนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกฯร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
ยกเว้นภาษีซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Hub) ของโลก เป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไรส่วนทุน (Capital Gains) จากการขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ได้แก่ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Broker) และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Dealer) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572 เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงิน (Financial Hub) ของโลก
ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศแรก ๆ ของโลกที่มีกฎหมายกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล และกฎหมายภาษีสินทรัพย์ดิจิทัล และต่อมาได้มีการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อส่งเสริมให้มีการระดมทุนด้วยโทเคนดิจิทัล และส่งเสริมให้การซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลเกิดขึ้น ผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ในการกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัลในคราวนี้จะทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย รวมถึงธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและธุรกิจเกี่ยวเนื่องในประเทศไทยเติบโตเพิ่มขึ้น ตลอดจนการระดมทุนด้วยโทเคนดิจิทัลและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศไทยเพิ่มขึ้น อันจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นและรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นในระยะปานกลางไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท
นายจุลพันธ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการภาษีนี้เป็นการสนับสนุนการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทยที่อยู่ในการกำกับดูแลของ ก.ล.ต. และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งมีการดำเนินการตามข้อแนะนำของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (Financial Action Task Force (FATF)) จึงเชื่อมั่นได้ว่า จะมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างดำเนินการตามกรอบการรายงานข้อมูลสินทรัพย์ดิจิทัลแบบอัตโนมัติ (Crypto-Asset Reporting Framework: CARF) ของ OECD ซึ่งเป็นการเเลกเปลี่ยนข้อมูลสินทรัพย์ดิจิทัลกับประเทศทั่วโลก อันจะทำให้การทำธุรกรรมทางสินทรัพย์ดิจิทัลมีความโปร่งใสเพิ่มขึ้นอีก”
เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัด ‘Formula One’ บริเวณจตุจักร 2,167 ไร่
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบผลการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One ในประเทศไทย และผลการศึกษารายละเอียดด้านสนามแข่งขันที่เหมาะสมและการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสนามแข่งขัน และเห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโครงการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP ประจำปี พ.ศ. 2571 – 2575 (5 ปี) (การจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One) สำหรับกรอบงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ให้ดำเนินการตามความเห็นสำนักงบประมาณ (สงป.) และเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยให้รับความเห็นหน่วยงานไปพิจารณาด้วย โดยมีสาระสำคัญของเรื่องดังนี้
หลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (23 เมษายน 2567) มอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ (1) ให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) ศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One ในประเทศไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการประมูลสิทธิการจัดการแข่งขันรถยนต์ดังกล่าวต่อไป (2) ให้การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ศึกษารายละเอียด ด้านสนามแข่งขันรถยนต์ Formula One ที่เหมาะสมและการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับสนามแข่งขันดังกล่าว (3) ให้กรุงเทพมหานครพิจารณาจัดทำแผนการพัฒนาพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการจัดการแข่งขันรถยนต์ดังกล่าว และ (4) ให้ สสปน. ร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงบประมาณ (สงป.) กกท. กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One ในประเทศไทยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป กกท. และ สสปน. จึงได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One ในประเทศไทยในด้านต่าง ๆ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
ไฟเขียว ขสมก.เช่ารถเมล์อีวี 1,520 คัน คาด 7 ปี กำไร 2 หมื่นล้าน
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
- อนุมัติการขอขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 ที่อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 3,183 คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซลในวงเงินรวม 13,162.20 ล้านบาท โดยเปลี่ยนเป็นโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) จำนวน 1,520 คัน ระยะเวลา 7 ปี ซึ่งมีความพร้อมในการดำเนินการในขณะนี้ในกรอบวงเงินลงทุนโครงการ 15,355.60 ล้านบาท และให้ ขสมก. เป็นผู้บริหารโครงการโดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2575
- อนุมัติให้ ขสมก. ดำเนินโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) จำนวน 1,520 คัน ระยะเวลา 7 ปี ซึ่งมีความพร้อมในการดำเนินการในขณะนี้ในกรอบวงเงินลงทุนโครงการ 15,355.60 ล้านบาท และให้ ขสมก. เป็นผู้บริหารโครงการโดยใช้งบประมาณรายจ่ายประมาณ พ.ศ. 2568 – 2575
ทั้งนี้ คค.ได้มอบหมายให้ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงบประมาณ (สงป.) และกระทรวงการคลัง (กค.) ไปพิจารณาประกอบการดำเนินงานโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) ต่อไปด้วยแล้ว
นายอนุกูล กล่าวว่า โครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) จำนวน 1,520 คัน มีสาระสำคัญสรุปดังนี้
- วงเงินโครงการ 15,355.60 ล้านบาท เช่น ค่าเช่าตัวรถ (10,134.70 ล้านบาท) ค่าซ่อมบำรุงรถ (3,240.03 ล้านบาท) ค่าเช่าสถานีอัดประจุไฟฟ้า (967.40 ล้านบาท) โดยใช้จ่ายจากงบฯ ปี 2568 ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วจำนวน 368.40 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจำนวน 14,987.20 ล้านบาท ผูกพันงบฯ ปี 2569-74
- ระยะเวลาโครงการ 7 ปี
- ประมาณการรายได้ 52,654.19 ล้านบาท เช่น รายได้ค่าโดยสาร รายได้โฆษณา
- ประมาณการค่าใช้จ่าย 32,798.54 ล้านบาท เช่น ค่าเช่ารถโดยสารปรับอากาศพลังงานสะอาด ค่าเช่าตู้ชาร์จพลังงานไฟฟ้า เช่น ค่าเช่าพื้นที่จอดและชาร์จไฟรถโดยสารบางแห่ง
- โครงการมีกำไรสุทธิตลอดระยะเวลาโครงการเท่ากับ 19,855.64 ล้านบาท
อนุมัติรวมสัญญารถไฟสายสีแดงวงเงิน 15,176 ล้าน
นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
- อนุมัติให้รวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน – ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีสะพานพระราม 6 สถานีบางกรวย – กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) (โครงการฯ ช่วงตลิ่งชัน – ศาลายา) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช (โครงการฯ ช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช) เข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว และเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น “โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงศิริราช – ตลิ่งชัน – ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีสะพานพระราม 6 สถานีบางกรวย – กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี)” (โครงการฯ ช่วงศิริราช – ตลิ่งชัน – ศาลายา)
- อนุมัติกรอบวงเงินโครงการฯ ช่วงศิริราช – ตลิ่งชัน – ศาลายา โดยแบ่งเป็น ค่าจ้างที่ปรึกษาจัดประกวดราคา จำนวน 14.78 ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงาน จำนวน 392.13 ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ จำนวน 39.55 ล้านบาท ค่างานโยธา และระบบราง จำนวน 10,774.72 ล้านบาท ค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล จำนวน 3,955.03 ล้านบาท รวมกรอบวงเงินโครงการ จำนวน 15,176.21 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7) ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี
- อนุมัติรายละเอียดอื่นที่มิได้มีการเปลี่ยนแปลงของทั้งสองโครงการให้ยึดถือ ตามมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติไว้เดิมเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 และเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2562 ตามลำดับ
นายอนุกูล กล่าวว่า เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 อนุมัติในหลักการให้การรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน – ศาลายาและสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีสะพานพระราม 6 สถานีบางกรวย – กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) (โครงการฯ ช่วงตลิ่งชัน – ศาลายา) ในกรอบวงเงิน 10,202.38 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี และมีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2562 อนุมัติในหลักการให้ รฟท. ดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช (โครงการฯ ช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช) ในกรอบวงเงิน 6,645.03 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี ซึ่งทั้งสองโครงการดังกล่าวเป็นโครงการ ส่วนต่อขยายจากโครงการก่อสร้างระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางชื่อ – ตลิ่งชัน
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองโครงการมีพื้นที่ในการดำเนินโครงการบางส่วนทับซ้อนกัน ประกอบกับจะต้องมีการปรับปรุงระบบควบคุมการเดินรถของทั้งสองโครงการให้สอดคล้องกัน ดังนั้น เพื่อลดความซับซ้อนของงานเชื่อมต่อกับระบบเดิม และเพื่อให้ทั้งสองโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้พร้อมกัน รฟท. จึงเห็นสมควรรวมทั้งสองโครงการเข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว ภายใต้ชื่อโครงการใหม่ คือ โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงศิริราช – ตลิ่งชัน – ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีสะพานพระราม 6 สถานีบางกรวย – กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) (โครงการฯ ช่วงศิริราช – ตลิ่งชัน – ศาลายา) และเสนอคณะรัฐมนตรีทบทวนมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ โดยการรวมโครงการในครั้งนี้ จะส่งผลให้กรอบวงเงินรวมของโครงการลดลง จากเดิม 16,847.21 ล้านบาท (วงเงินรวมของ 2 โครงการ) เป็น 15,176.21 ล้านบาท (ลดลง 1,671 ล้านบาท)
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ พิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเห็นว่า เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาได้ตามที่เห็นสมควร ส่วนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาแล้วเห็นชอบการรวมโครงการเป็นสัญญาเดียว โดยหน่วยงานดังกล่าวมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น แหล่งเงินลงทุนโครงการ : กค. และ สงป. เห็นควรใช้แหล่งเงินทุนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 และวันที่ 5 มีนาคม 2562
กำหนดเขตเวนคืนที่ดินใน อ.แม่แตง – สันทราย จ.เชียงใหม่
นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลกื้ดช้าง ตำบลอินทขิล ตำบลสันมหาพน ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง และตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ
นายอนุกูล กล่าวว่า ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลกื้ดช้าง ตำบลอินทขิลตำบลสันมหาพน ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง และตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. …. ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ ตำบลกื้ดช้าง ตำบลอินทขิล ตำบลสันมหาพน ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง และตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ในการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง – แม่งัด อาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น และระบบท่อส่งน้ำแม่งัด – แม่แตง พร้อมอาคารประกอบ ตามโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ เพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด และเพื่อนำที่ดินไปชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน มีกำหนดใช้บังคับ 4 ปีโดยให้เริ่มต้นเข้าสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืน ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ และเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จจะเพิ่มเสถียรภาพการส่งน้ำช่วงฤดูฝน เพิ่มพื้นที่เพาะปลูกช่วงฤดูแล้ง และเป็นการสนับสนุนน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค การท่องเที่ยว และภาคอุตสาหกรรม ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำพูน
รวมทั้งสร้างความมั่นคงในการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำแม่กวง ในอนาคต 20 ปีโดยเขตที่ดินที่จะเวนคืนมีปริมาณทรัพย์สินที่ต้องจัดกรรมสิทธิ์จำนวน 59 แปลง เนื้อที่ประมาณ 26 – 1 -96 ไร่ โดยแบ่งเป็นการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำ ช่วงแม่แตง – แม่งัด อาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ประมาณ 14 – 0 – 32 ไร่ และการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำแม่งัด – แม่แตง พร้อมอาคารประกอบ จำนวน 57 แปลง เนื้อที่ประมาณ 12 – 1 – 64 ไร่ ค่าทดแทนทรัพย์สินทั้งโครงการคิดเป็นเงินประมาณ 11,570,000 บาท แบ่งเป็นค่าทดแทนที่ดินเป็นเงินประมาณ 7,331,400 บาท ค่าทดแทนต้นไม้หรือต้นผลไม้ โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นเป็นเงินประมาณ 3,574,900 บาท ค่ารื้อถอน ค่าขนย้าย ค่าปลูกสร้างโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างใหม่และอสังหาริมทรัพย์อื่นอันติดอยู่กับค่าที่ดิน และค่าเสียหายอื่นอันเกิดจากเจ้าของต้องออกจากที่ดินที่ถูกเวนคืน เป็นเงินประมาณ 445,600 บาท และค่าทดแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เป็นเงินประมาณ 218,100 บาท โดยใช้งบประมาณจากงบลงทุนในการเบิกจ่ายเงินค่าทดแทน (งบประมาณปี พ.ศ. 2568)
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว และได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว กรมการปกครองได้ตรวจสอบแผนที่ท้ายร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้แล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีการตราร่างกฎหมายหรือร่างอนุบัญญัติที่ต้องจัดให้มีแผนที่ท้าย) และสำนักงบประมาณแจ้งว่าจะจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ตามความจำเป็นและเหมาะสม เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับแล้ว
ไฟเขียวอีอีซีเปิดเช่าศูนย์ซ่อมเครื่องบินอู่ตะเภาแทนการบินไทย
นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 4 /2567 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 และพิจารณายกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 เรื่อง ขออนุมัติโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เสนอ
นายอนุกูล กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 4/2567 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ที่เห็นชอบให้ปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา และขอให้พิจารณายกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 เรื่อง ขออนุมัติโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้อนุมัติในหลักการ โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา โดยมอบหมายให้กองทัพเรือดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานใหม่และให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมลงทุนกับเอกชน เพื่อออกแบบ จัดหา และติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องมือในอาคารศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานใหม่ ให้บริการและซ่อมบำรุงรักษาของโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา เป็นระยะเวลาไม่เกิน 50 ปี
แต่โดยที่ปัจจุบันบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พ้นจากสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้ไม่สามารถอยู่ในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการได้ ตามประกาศ กพอ. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 (PPP EEC Track) จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน 30 ตุลาคม 2561 ได้ และ สกพอ. จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินการจากการให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมลงทุนกับเอกชน เพื่อออกแบบจัดหา และติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องมือในอาคารศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานใหม่ ให้บริการซ่อมบำรุงรักษาของโครงการดังกล่าวเป็นเวลาไม่เกิน 50 ปี เป็น การให้เอกชนเช่าที่ดินเพื่อประกอบกิจการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไม่ขัดข้องในหลักการตามที่ กพอ. เสนอ
ควักเงิน ธ.ก.ส. 5,175 ล้าน หนุนชาวไร่เกี่ยวอ้อยสด ลด PM2.5
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ 5 (ด้านเศรษฐกิจและการเกษตร) ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) เป็นประธานกรรมการ พิจารณาเรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ฤดูการผลิตปี 2567/2568 ในคราวประชุม ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2568 แล้วมีมติ ดังนี้
- รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะกลั่นกรองฯ คณะที่ 5 ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
- อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดี เพื่อลดฝุ่น PM2.5 ฤดูการผลิตปี 2567/2568 เฉพาะมาตรการสร้างแรงจูงใจแก่ชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีร้อยละ 100 กรอบวงเงิน 5,175 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไปพลางก่อน และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาทางเลือกการจ่ายเงินให้กับเกษตรกรผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐ
- เห็นควรให้ ธ.ก.ส. ปรับปรุงข้อมูลค่าใช้จ่ายในการดำเนินการภายใต้มาตรการสร้างแรงจูงใจแก่ชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีร้อยละ 100 กรอบวงเงิน 5,175 ล้านบาท โดยเห็นควรให้ชดเชยต้นทุนเงินในอัตราต้นทุนทางการเงินของ ธ.ก.ส. ประจำไตรมาสบวก 1 พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม และ ธ.ก.ส. ปรับปรุงรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป
- เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาจัดทำแผนการสนับสนุนให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการเก็บเกี่ยวอ้อยโดยไม่เผาได้อย่างต่อเนื่องยั่งยืนและไม่เป็นภาระงบประมาณในระยะต่อไป
เห็นชอบ กฟน.ขยายระบบจำหน่ายไฟเฟส 13 วงเงิน 68,783 ล้าน
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ดำเนินการตามโครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ระยะที่ 13 (โครงการฯ ระยะที่ 13) ส่วนที่ 2 วงเงินลงทุนรวม 68,783.90 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ จำนวน 50,900 ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟน. จำนวน 17,883.90 ล้านบาท โดยมีสาระสำคัญของเรื่องดังนี้
- เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 เห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ดำเนินโครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ระยะที่ 13 (โครงการฯ ระยะที่ 13) ส่วนที่ 1 วงเงินลงทุนรวม 7,403.50 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน โดยมีเหตุผลความจำเป็น เช่น (1) เป็นงานที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่มีพันธสัญญากับหน่วยงานอื่นหรือผู้ขอใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ (โครงการศูนย์ราชการ Zone C) และ (2) เป็นงานที่ต้องดำเนินการไปพร้อมกับหน่วยงานอื่นเพื่อให้แผนงานสอดรับกัน (โครงการรถไฟฟ้า) โดยในครั้งนี้กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้ขอเสนอโครงการฯ ระยะที่ 13 ส่วนที่ 2 วงเงินลงทุนรวม 68,783.90 ล้านบาท เพื่อให้สามารถดำเนินการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และเพื่อเสริมความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ตลอดจนเพื่อตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ “Innovation for Smart Living and Growth” ของ กฟน.
- โครงการฯ ระยะที่ 13 ส่วนที่ 2 มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
2.1 ขอบเขตและเป้าหมาย ประกอบด้วย (1) งานพัฒนาระบบสถานีต้นทางและสถานีย่อย (2) งานพัฒนาระบบสายส่งพลังไฟฟ้า และ (3) งานเพิ่มประสิทธิภาพในการจ่ายไฟฟ้า โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
2.2 เป้าหมายการดำเนินงาน สรุปได้ ดังนี้
2.3 งบประมาณลงทุน สรุปได้ ดังนี้
2.4 แหล่งเงินทุน สรุปได้ ดังนี้
ทั้งนี้ กฟน. ได้ประมาณการฐานะการเงินตั้งแต่ปี 2566-2572 พบว่า มีรายได้รวมเฉลี่ย ปีละ 314,764 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายรวมเฉลี่ยปีละ 305,418 ล้านบาท (กำไรสุทธิเฉลี่ย ปีละ 9,346 ล้านบาท) โดยมีอัตราความสามารถในการชำระหนี้ (DSCR) 1.91 เท่า ดังนั้น กฟน. ยังสามารถรองรับการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 13 ส่วนที่ 2 และโครงการลงทุนอื่น ๆ ในอนาคตได้
- กระทรวงการคลัง (กค.) [สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)] กระทรวงพลังงาน (พน.) [สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)] สำนักงบประมาณ (สงป.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒนาฯ) และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง
ห้ามตั้ง-ขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นทั่วประเทศต่ออีก 5 ปี
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ทุกขนาด ทุกห้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
นายคารม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการยกร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต หรือ เหล็กแท่งเล็ก สำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตทุกขนาดทุกท้องที่ในราชอาณาจักรออกไปอีกเป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 9 มกราคม 2573 (เดิมสิ้นสุดการใช้บังคับเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568) โดยขยายมาตรการควบคุมกำลังการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตและเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เพื่อแก้ไขปัญหากำลังการผลิตเกินความต้องการบริโภค (Over Supply) และปัญหาการใช้อัตรากำลังการผลิตต่ำ (Under Utilization) อันเป็นการรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศและส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศ สรุปรายละเอียดได้ ดังนี้
(1) กำหนดนิยาม “เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต” หมายถึง เหล็กเส้นที่มีลักษณะหน้าตัดกลมหรือเหล็กเส้นกลมที่มีบั้งหรือครีบ ซึ่งอาจนำไปใช้เสริมคอนกรีตสำหรับงานก่อสร้างทั่วไปได้ และ “เหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต” หมายถึง เหล็กแท่งเล็ก สี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีภาคตัดขวางเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือเหล็กแท่งเล็กสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่มีภาคตัดขวางเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีด้านยาวไม่เกิน 1.25 เท่าของด้านกว้าง โดยมีความยาว ด้าน 50 มิลลิเมตร ถึง 150 มิลลิเมตร
(2) ห้ามตั้ง หรือ ขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต หรือ โรงงานผลิตเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ซึ่งรวมถึงโรงงานที่ใช้เครื่องจักร ที่สามารถนำไปใช้รีดเหล็กเส้นได้ทุกขนาด ทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร โดยมิให้ใช้บังคับกับโรงงานที่ผลิตเหล็กเพลา เหล็กลวดหรือเหล็กรูปพรรณที่ทำขึ้นด้วยกรรมวิธีการรีดร้อน หรือลวดเหล็ก ที่ทำขึ้นด้วยกรรมวิธีการรีดเย็นที่ได้รับเอกสารการตรวจสอบกระบวนการผลิต เครื่องมือเครื่องจักร อุปกรณ์ และลูกรีด จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ร่างข้อ 2-3)
(3) กำหนดให้ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากสิ้นกำหนดระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. 2562 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 (วันที่ 10 มกราคม 2568) และมีระยะเวลาบังคับใช้ 5 ปี นับแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ (ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 9 มกราคม 2573) (ร่างข้อ 4)
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างประกาศดังกล่าวผ่านระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) เว็บไซต์ของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (www.oie.go.th) และเว็บไซต์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (www.diw.go.th) โดยมีผู้แสดงความคิดเห็น ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ ผู้ผลิตเหล็ก ผู้ค้าเหล็ก และประชาชนทั่วไป รวมทั้งได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามกฎกระทรวงกำหนดร่างกฎที่ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบ พ.ศ. 2565 แล้ว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระพรวงทรัพยากรรรรมชาติและสิ่งแวดสัอม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเห็นว่า ควรพิจารณากำหนดข้อยกเว้นในการใช้มาตรการดังกล่าว ในกรณีของการปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการอนุรักษ์พลังงานและการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่า กระทรวงอุตสาหกรรมควรคาดการณ์ความต้องการเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตในระยะต่อไป เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กเส้นดังกล่าวให้เหมาะสมควบคู่ไปกับการกำหนดมาตรการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของโลกที่มุ่งไปสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)
เห็นชอบ กฟภ.กู้ในประเทศ 9,931 ล้าน
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินในประเทศ เพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวใหม่ ปี 2567 จำนวน 6 แผนงาน และงานรายปีใหม่ ปี 2567 จำนวน 2 งาน ภายในกรอบวงเงินรวม 9,931 ล้านบาท โดยให้ทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญของแผนงานระยะยาวใหม่ ปี 2567 จำนวน 6 แผนงาน และงานรายปีใหม่ ปี 2567 จำนวน 2 งาน ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มีกรอบวงเงินเต็มแผนงาน รวมทั้งสิ้น 13,600.86 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินรายได้ จำนวน 3,669.86 ล้านบาท และเงินกู้ในประเทศ จำนวน 9,931 ล้านบาท [บรรจุอยู่ในกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 แต่ยังไม่ได้บรรจุวงเงินกู้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ] โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
- แผนงานระยะยาวใหม่ ปี 2567 จำนวน 6 แผนงาน
(1) แผนงานปฏิบัติการดิจิทัลด้านสื่อสารและโทรคมนาคมของ กฟภ. ปี 2567 วงเงินเต็มแผนงาน 726.36 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 544.00 ล้านบาท และเงินรายได้ 182.36 ล้านบาท
(2) แผนงานปรับปรุงระบบป้องกันและควบคุมสถานีไฟฟ้าชั่วคราว วงเงินเต็มแผนงาน 264.01 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 197.00 ล้านบาท และเงินรายได้ 67.01 ล้านบาท
(3) แผนงานปรับปรุงประสิทธิภาพระบบควบคุมและป้องกันสถานีไฟฟ้า ระยะที่ 3 วงเงินเต็มแผนงาน 584.30 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 437.00 ล้านบาท และเงินรายได้ 147.30 ล้านบาท
(4) แผนงานจัดหาพร้อมติดตั้งระบบบริหารไฟฟ้าขัดข้อง (Outage Management System : OMS) วงเงินเต็มแผนงาน 952.20 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 503.00 ล้านบาท และเงินรายได้ 449.20 ล้านบาท
(5) แผนงานก่อสร้างสายส่ง 115 เควี เชื่อมโยงระหว่างสถานีไฟฟ้าเกาะสมุย 1 – สถานีไฟฟ้าเกาะสมุย 2 วงเงินเต็มแผนงาน 619.00 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 410.00 ล้านบาท และเงินรายได้ 209.00 ล้านบาท
(6) แผนงานย้ายแนวและงานเปลี่ยนทดแทนอุปกรณ์ในระบบจำหน่ายและสายส่งไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความมั่นคง ปี 2567 วงเงินเต็มแผนงาน 6,032.87 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 4,524.00 ล้านบาท และเงินรายได้ 1,508.87 ล้านบาท
- งานรายปีใหม่ ปี 2567 จำนวน 2 งาน
(1) งานขยายเขตระบบจำหน่ายและระบบสายส่งสำหรับผู้ใช้ไฟ ปี 2567 วงเงินเต็มแผนงาน 1,700.00 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 1,275.00 ล้านบาท และเงินรายได้ 425.00 ล้านบาท
(2) งานปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพระบบจำหน่ายแรงต่ำ วงเงินเต็มแผนงาน 2,722.12 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 2,041.00 ล้านบาท และเงินรายได้ 681.12 ล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน (พน.) สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง
ตั้ง ‘จิตรา หมีทอง’ นั่งรองเลขานายกฯสังกัด ‘อนุทิน’
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานของรัฐมีรายละเอียดดังนี้
1. เรื่อง ขออนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (กระทรวงยุติธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรม เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จำนวน 3 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
- นายชาติพงษ์ จีระพันธุ
- พลตำรวจโท อภิชาติ เพชรประสิทธิ์
- พันเอก ผ่านศึก อนันตพงษ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
2. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสนอ แต่งตั้งนายจักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
3. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวัฒนธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เสนอ แต่งตั้ง นางเกษร กำเหนิดเพ็ชร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
4. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง บุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้
- นางจิตรา หมีทอง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
- นายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
อ่าน มติ ครม.ประจำวันที่ 17 มิถุนายน 2568 เพิ่มเติม