ThaiPublica > เกาะกระแส > Financial Centre ศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกแข่งกันตรงไหน

Financial Centre ศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกแข่งกันตรงไหน

13 มิถุนายน 2025


ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ(International Financial Centre) ถือเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจยุคใหม่ จากการเป็นช่องทางของเงินทุน อำนวยความสะดวกในการค้า และขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมทั่วโลก โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ความต้องการเงินทุนของเศรษฐกิจโลกมีมากขึ้นกว่าที่เคย ทั้งจากการจัดหาเงินทุนระยะยาวทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงทางประชากร และปัญหาทางสังคม จากเดิมที่ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศบางแห่ง โดยเฉพาะประเทศหมู่เกาะที่มีภาพลักษณ์ในฐานะ Tax heaven ดินแดนปลอดภาษีให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทและนักธุรกิจ

ขณะเดียวกันบริการทางการเงินทั่วโลกก็มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น พัฒนาการใหม่ๆ กำลังเกิดขึ้นการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาด นวัตกรรมทางการเงิน และการเงินที่ยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของตลาดที่เปิดกว้างและมีการแข่งขัน ไม่เพียงนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ สำหรับผู้เล่นทางการเงินที่จะตอบสนองความต้องการของสังคม แต่ยังดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในระดับสูง ดังนั้น ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจจริงและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศที่มีเครือข่ายผู้เล่นระดับโลก ระดับภูมิภาคและระดับประเทศ ยังช่วยส่งเสริมความเชี่ยวชาญด้านบริการทางการเงิน การทำธุรกรรมในประเทศและข้ามพรมแดนผ่านระบบที่มีประสิทธิภาพ มีส่วนสนับสนุนการแข่งขันในตลาดการเงินในภูมิภาคที่ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศนั้นตั้งอยู่ ด้วยเหตุนี้หลายประเทศที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาจึงวางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ

สำหรับประเทศไทย คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. … เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อผลักดัน 1 ใน 8 วิสัยทัศน์จากโครงการ Ignite Thailand ของรัฐบาล ในการตั้งเป้าพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) ที่จะดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศเข้ามาจัดตั้งธุรกิจในประเทศไทย โดยได้เปิดรับฟังความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. (ร่างฯ ที่ สคก. ตรวจพิจารณาแล้ว) ตั้งแต่วะที่ 30 พฤษภาคม ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2568

  • ‘เศรษฐา’ ชูวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND” ดัน 8 ฮับ ก้าวสู่ที่ 1 ในภูมิภาค
  • ครม. ไฟเขียว พ.ร.บ. ศูนย์กลางการเงิน Fin Hub
  • อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในหลายประเทศมีหลายเมืองเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ และศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศเหล่านี้ในภูมิภาคเช่น โตเกียว ฮ่องกง สิงคโปร์ นอกจากมีการแข่งขันระหว่างกันเองที่เข้มข้นในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ยังเผชิญกับการแข่งขันจากศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ อื่นๆในระดับโลก เพื่อครองการเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศชั้นนำ (International Financial Centre) ซึ่งจากการจัดอันดับเมืองศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำของโลกประจำปีล่าสุด Global Financial Centres Index (GFCI) ของ Z/Yen Partners ที่ร่วมกับ China Development Institute โดย Global Financial Centers Index พบว่า นิวยอร์กยังคงเป็นศูนย์กลางการเงินอันดับหนึ่งของโลก ลอนดอนอยู่ในอันดับสอง ฮ่องกงยังคงอยู่ในอันดับที่ 3 และสิงคโปร์ อันดับ 4 ส่วนซานฟรานซิสโก ชิคาโก ลอสแองเจลิส เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ยังคงอยู่ในอันดับที่ 5 ถึง 9 ตามลำดับเช่นเดิม ขณะที่โซลกลับเข้าสู่ 10 อันดับแรกในการประเมินล่าสุด

    ศูนย์กลางทางการเงิน หรือ Fin Hub ของประเทศไทยจะแข่งขันและโดดเด่นในภูมิภาคได้หรือไม่ ยังไม่ต้องพูดถึง แต่เรามาเริ่มต้นตั้งคำถามกันว่าจุดแข็งของศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ ทั้ง โตเกียว ฮ่องกง สิงคโปร์ ที่ติดอันดับโลกมาตลอด แม้แต่ดูไบติดอันดับ 12 ว่าคืออะไร ใช้อะไรมาแข่งขัน บางทีอาจจะได้คำตอบของ Fin Hub ประเทศไทย

    จากประสบการณ์ต่างประเทศ การจะเป็น Financial Hub ที่ประสบความสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน โดยมีการประเมินจุดแข็ง ความคุ้มค่าในการจัดตั้งและความเสี่ยงต่างๆ อย่างรอบด้าน

    โดยต้องกำหนดเป้าหมายว่าจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินในด้านใด มีความได้เปรียบคู่แข่งอย่างไร และสร้าง ecosystem ที่สอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายนั้นๆ

    ในกรณีของศูนย์กลางทางการเงินที่ประสบความสำเร็จเช่น สิงคโปร์ ที่ผ่านมามีเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในเอเชีย โดยสร้างจุดเด่นในด้าน Wealth management (ลักษณะคล้ายคลึงกับสวิตเซอร์แลนด์ที่โดดเด่นด้านการจัดการสินทรัพย์และการรักษาความลับของลูกค้า) และด้าน Fintech ทั้งนี้ นอกจากเกณฑ์การประกอบธุรกิจที่คล่องตัวและการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว ยังต้องมีระบบกฎหมายที่เป็นสากล (UK common law) มีการบังคับใช้กฎหมาย law enforcement และธรรมาภิบาลที่แข็งแกร่ง รวมถึงมี Ecosystem อื่น ๆ ที่เหมาะสม เช่น เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง นโยบายของภาครัฐที่มีความต่อเนื่อง แรงงานที่มีทักษะสูง มีปัจจัยสนับสนุนทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม

    ทั้งนี้ ปัจจัยที่ใช้สำหรับจัดอันดับและประเมินความสามารถในการแข่งขันของศูนย์กลางทางการเงินในดัชนีชี้วัด Global Financial Centres Index (GFCI)1 ประกอบด้วยหลายปัจจัย ทั้งสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ ทรัพยากรบุคคล โครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาการของภาคการเงิน รวมไปถึงชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศ ดังภาพแนบ

    สรุปปัจจัยที่สำคัญต่อความสามารถในการแข่งขัน
    1.สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ (Business Environment) ที่เอื้อต่อการจัดตั้งและดำเนินธุรกิจของชาวต่างชาติ (Ease of doing business) และเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ซึ่งประกอบด้วยหลายองค์ประกอบที่สำคัญ ดังเช่น

  • เสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งจะส่งผลกับความต่อเนื่องในการดาเนินนโยบายระยะยาว

  • มีหลักนิติรัฐ (rule of law) ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง และการกากับดูแลที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะด้าน AML/CFT ที่ต้องมีกรอบกฎหมาย กลไกการบังคับใช้กฎหมาย และการกากับดูแล ที่เข้มงวด

  • มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและเข้มงวด รวมไปถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เช่น อัตราการเกิดอาชญากรรมที่ต่ำ

    2.บุคลากรในประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น การเงิน กฎหมาย เทคโนโลยี และทักษะด้านภาษา ที่จะพร้อมทำงานที่รองรับการเข้ามาของต่างชาติและต่อยอดเพื่อประโยชน์ของประเทศได้ ซึ่งรวมไปถึงนโยบายด้านการศึกษา และกระบวนการที่เอื้อต่อการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในประเทศ

    3.โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และทรัพยากรในประเทศที่พร้อมต่อการสนับสนุนการประกอบธุรกิจและอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติ ทั้งปัจจัยพื้นฐานอย่างการคมนาคม สาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง อาทิ โครงสร้างตลาดการเงิน และระบบการชำระเงิน รวมไปถึง มีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Digital Infrastructure) ที่ต้องปรับตัวให้สอดคล้องเทคโนโลยีทางการเงินในอนาคต เช่น digital solutions และ fintech innovations

    4.กฎหมายและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

  • Financial Hub ในหลายประเทศเลือกที่จะใช้ระบบ Common law เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีความคุ้นเคยมากกว่าจากประสบการณ์ที่เคยลงทุนหรือประกอบธุรกิจในประเทศอื่นที่มีการใช้ระบบนี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในประเทศอังกฤษ สหรัฐฯ สิงคโปร์ ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเลเซีย ฯลฯ ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจไม่ต้องเสียเวลาทำความเข้าใจกับระบบกฎหมายเป็นรายประเทศ ซึ่งอาจไม่คุ้มค่ากับต้นทุนทั้งด้านเวลาและทรัพยากร
  • ระบบ Common Law ยังมีลักษณะเป็น case law ที่นักลงทุนต่างชาติสามารถศึกษากรณีตัวอย่าง ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตและประเมินได้เบื้องต้นว่าจะได้รับผลทางกฎหมายอย่างไร โดยไม่ต้องพึ่งพา judgement ของผู้พิพากษาเป็นหลัก
  • ในบางประเทศเช่นในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากจะใช้ English common law สำหรับพิจารณาและดำเนินคดีใน Financial Hub แล้ว ยังมีการจัดตั้งศาลขึ้นมาเพื่อตัดสินคดีแพ่งและพาณิชย์ที่เกิดขึ้นใน Financial Hub โดยใช้ภาษาอังกฤษในกระบวนการชั้นศาล ซึ่งช่วยให้นักลงทุนต่างชาติมั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรม และยังช่วยให้กระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

    5.ระบบภาษี (Taxation) สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งในการดึงดูดนักลงทุน โดยจะเห็นได้จาก Financial Hub ของหลายประเทศ เช่น ดูไบและหมู่เกาะเคย์แมน ที่ไม่มีการเรียกเก็บภาษีเงินได้จากการประกอบธุรกิจ อีกทั้งยังให้สิทธิประโยชน์ในการถือครองอสังหาริมทรัพย์แก่ต่างชาติและการให้สิทธิในการถือครองกิจการโดยชาวต่างชาติอย่างเต็มที่ด้วย

    6.ภาพลักษณ์ของประเทศ (Reputation) การมีภาพลักษณ์ที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดการลงทุน การประกอบธุรกิจ และบุคลากรที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำให้ชื่อเสียงของประเทศมีความน่าเชื่อถือ และป้องกันไม่ให้ประเทศมี bad reputation เชิงลบ เช่น การฟอกเงินหรือการทำธุรกรรมผิดกฎหมาย ซึ่งหากเกิดขึ้นแล้วจะเรียกคืนความเชื่อมั่นกลับมาได้ยากและจะไม่สามารถดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศได้

    สิงคโปร์ ศูนย์กลางการเงินชั้นนำของเอเชีย

    สิงคโปร์เป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องด้านความสะดวกในการดำเนินธุรกิจแห่งหนึ่งของโลก มีระบบการจดทะเบียนบริษัทที่รวดเร็วผ่าน one-stop digital service portal อย่าง Bizfile อีกทั้งการมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์สามารถดึงดูด ผู้ประกอบธุรกิจที่มีคุณภาพสูงมีหลายประการ ได้แก่

  • มีหลักนิติรัฐ (rule of law) และธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและเข้มงวด
  • การใช้หลักกฎหมาย Common Law ซึ่งเป็นกฎหมายที่บริษัทข้ามชาติมีความคุ้นเคยในการใช้ดำเนินธุรกิจ ช่วยเพิ่มความสะดวก ลดต้นทุนด้านกฎหมาย รวมทั้งมีกระบวนการแก้ไขข้อพิพาทและล้มละลายมีประสิทธิภาพ
  • มีเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ มีความต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐ
  • มีบุคลากรในประเทศมีความรู้ความสามารถด้านการเงินสูง สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษและภาษาจีนเป็นหลัก จึงมีความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับบริษัทต่างประเทศ
  • มีโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรในประเทศที่พร้อมและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนและดึงดูดธุรกิจต่างชาติ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานทางด้านคมนาคมทางอากาศ และนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมการบิน โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจเริ่มต้น
  • การมีระบบนิเวศ (ecosystem) และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ (business environment) อื่น ๆ ที่เอื้อต่อการจัดตั้งและการดาเนินธุรกิจของชาวต่างชาติ (ease of doing business)

    นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังมีการพัฒนา ecosystem อย่างต่อเนื่อง โดยได้ประกาศแผน Financial Services Industry Transformation Map 2025 ที่มีเป้าหมายในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้เป็นดิจิทัล (Digitalized Financial Infrastructure) และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ Asia’s Net-Zero Transition เพื่อผลักดันให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางของ green finance และ sustainable investing

    ใน GFCI 37 สิงคโปร์ติด อันดับ 4 มีผลงานที่โดดเด่นใน 4 ด้านจาก 5 ด้านความสามารถในการแข่งขันที่ประเมินโดย GFCI โดยอยู่ในอันดับที่ 4 ในด้านสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ บุคลากร โครงสร้างพื้นฐาน ภาพลักษณ์ของประเทศ และปัจจัยทั่วไป ในขณะที่ยังอยู่ในอันดับที่ 5 ในด้านการพัฒนาภาคการเงิน

    รายงาน GFCI 37 ยังแบ่งการจัดอันดับตามภาคอุตสาหกรรมด้วย สิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 1 ในด้านบริการระดับมืออาชีพ อันดับที่ 2 ในด้านการค้า อันดับที่ 3 ในด้านรัฐบาลและกฎระเบียบและเทคโนโลยีทางการเงิน อันดับที่ 4 ในด้านประกันภัย อันดับที่ 5 ในด้านการจัดการการลงทุน และอันดับที่ 6 ในด้านธนาคาร

    นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามยังระบุว่าสิงคโปร์เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินที่คาดว่าจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

    ที่มาภาพ: https://www.gov.ky/economy

    สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ศูนย์กลางการเงินของตะวันออกกลาง

    ใน Global Financial Centres Index(GFCI) 37 ศูนย์กลางการเงินดูไบติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของศูนย์กลางการเงินระดับโลกโดยขยับขึ้น 4 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 12

    รัฐบาล UAE มีเป้าประสงค์ในการลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมัน และมียุทธศาสตร์ระดับชาติในการพัฒนารอบด้าน จึงได้ออกกฎหมายให้แต่ละรัฐสามารถตั้งเขตการเงินพิเศษ (Financial Free Zone) ได้ โดยมีจุดแข็งที่สามารถดึงดูดนักลงทุนจากทั้งทำเลของประเทศซึ่งอยู่ใจกลางภูมิภาคตะวันออกกลาง อันเป็นจุดเชื่อมระหว่างหลายภูมิภาค ประกอบกับความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ที่สะดวกต่อการเชื่อมโยงกับ stakeholders ใน Financial Hub ประเทศอื่น ๆ เช่น ลอนดอน นิวยอร์ก สิงคโปร์

    นอกจากการให้สิทธิพิเศษทางภาษีแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Free Zone ยังได้รับยกเว้น ไม่ต้องบังคับใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศ แต่ใช้ระบบกฎหมาย Common Law ซึ่งเป็นกฎหมายที่คุ้นชินมากกว่าสำหรับบริษัทข้ามชาติในการประกอบธุรกิจ อีกทั้งยังมีการจัดตั้งศาลเฉพาะเพื่อพิจารณาและตัดสินคดีที่เกิดขึ้นใน Zone เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า กระบวนการตัดสินคดีเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น ผู้กำกับดูแลของผู้ประกอบธุรกิจใน Zone ยังแยกต่างหากจากผู้กำกับดูแลของระบบการเงินหลัก

    โดยปัจจุบัน UAE มีการจัดตั้ง Financial Free Zone 2 แห่ง แยกออกจากพื้นที่อื่นของประเทศอย่างชัดเจน ได้แก่

  • Dubai International Financial Centre (DIFC) จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2547 ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 1.1 ตารางกิโลเมตรในรัฐดูไบ มีความโดดเด่นในการให้บริการ Wealth Management และ FinTech โดย DIFC มี Dubai Financial Services Authority (DFSA) เป็นหน่วยงานกำกับดูแล
  • Abu Dhabi Global Market (ADGM) จัดตั้งบน 2 เกาะของรัฐอาบูดาบีเมื่อปี 2558 เน้นการให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและด้าน Sustainable Finance โดยมี Financial Services Regulatory Authority (FSRA) ทำหน้าที่กำกับดูแล

    ที่มาภาพ: https://www.pulaulabuan.com/financial-park-ujana-kewangan/

    มาเลเซีย ศูนย์กลางการเงินที่กำลังเติบโต

    รัฐบาลต้องการเพิ่มบทบาทของภาคการเงินในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับมีเป้าหมายในการพัฒนาเกาะลาบวน จึงได้ออกกฎหมายจัดตั้ง Labuan International Business and Financial Centre (Labuan IBFC) เมื่อปี 2533 โดยใช้ระบบกฎหมาย Common Law เช่นเดียวกับใน ระบบหลักของมาเลเซีย และมีการจัดตั้ง Labuan Financial Services Authority (Labuan FSA) เป็นหน่วยงานกำกับดูแลเฉพาะการประกอบธุรกิจบนเกาะลาบวน ทั้งนี้ IMF เคยประเมินว่า การที่ Labuan IBFC มีพื้นที่เฉพาะแยกออกจากพื้นที่อื่นของมาเลเซีย (offshore) ทำให้การบังคับใช้กฎหมายในการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถดูแลความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจส่งผลไปยังภาคการเงินหลักได้

    หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ Labuan IBFC คือการเป็น International Islamic Financial Center ที่เน้นการให้บริการทางการเงินแก่ชาวมุสลิม โดยมีกฎหมายและเกณฑ์ปฏิบัติที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจตามหลักชารีอะห์ ซึ่งปัจจุบัน Labuan IBFC มีจุดเด่นในการให้บริการ Captive Insurance และการเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยของชาวมุสลิม (Takaful) นอกจากนี้ Labuan FSA ได้พัฒนา Shariah-compliant Blockchain Hub (SBH) Masterplan เพื่อดึงดูดสินทรัพย์ดิจิทัลและ FinTech พร้อมทั้งสร้างจุดแข็งสำหรับ digital Islamic finance และสร้าง digital ecosystem ให้สอดคล้องกับ National Blockchain Roadmap 2021-2025 ของมาเลเซียที่มีเป้าหมายผลักดันประเทศสู่ Blockchain 2.0

    ฮ่องกง ผลิตภัณฑ์ทางการเงินครบครัน

    ฮ่องกงซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเอเชีย เจริญรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางการเงินระหว่างแห่งเดียวในเอเชียที่ก้าวขึ้นเทียบชั้นศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศระดับโลก ทั้ง นิวยอร์ก ลอนดอน ในต้นศตวรรษที่ 21 หลังมีการจัดตั้งในปลายทศวรรษ 1980s

    ฮ่องกงเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศชั้นนำของโลก จึงเป็นที่ตั้งที่สำคัญสำหรับบริการทางการเงินและเป็นที่ตั้งของสถาบันการเงินหลายแห่ง ส่งผลให้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ครบครัน และบุคลากรที่มีความสามารถทางการเงินจำนวนมาก ในปี 2566 ภาคการเงินมีแรงงานมากกว่า 269,100 คน หรือคิดเป็น 7.3% ของประชากรวัยทำงานในฮ่องกง และมีส่วนสนับสนุนโดยตรง 24.9% ต่อ GDP ของฮ่องกงในปี 2566

    ด้วยจุดแข็งด้านการธนาคาร ตลาดทุน และการจัดการสินทรัพย์ ฮ่องกงจึงเป็นศูนย์การเงินคุณภาพสูงที่ครอบคลุมทุกด้านสำหรับนักลงทุน นักการเงิน ผู้จัดการสินทรัพย์ กองทุน และสถาบันการเงินจากทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้ ฮ่องกงยังเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับศูนย์กลางการบริหารเงินขององค์กรอีกด้วย

    โดยสรุป จุดแข็งของฮ่องกงได้แก่:

  • ทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์: เป็นสะพานเชื่อมระหว่างจีนและตลาดต่างประเทศ
  • ระบบกฎหมายที่แข็งแกร่ง: ดำเนินการภายใต้กรอบการกำกับดูแลที่โปร่งใสและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
  • นโยบายภาษีต่ำและตลาดเสรี: อัตราภาษีที่แข่งขันได้และการไหลเวียนของเงินทุนที่เสรีดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก
  • ตลาดการเงินที่ก้าวหน้า: เป็นผู้นำในการจัดการการลงทุน การประกันภัย และการธนาคาร
  • การเติบโตของเทคโนโลยีทางการเงิน: อยู่ในอันดับที่สี่ของโลกในเทคโนโลยีทางการเงิน

    ตลาดการเงินของฮ่องกงดำเนินงานภายใต้กฎระเบียบที่มีประสิทธิผลและโปร่งใสซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากล และรักษาตำแหน่งที่สามของโลกไว้ได้ใน GFCI 37
    ซึ่งสะท้อนถึงสถานะผู้นำและจุดแข็งของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ อันดับของฮ่องกงในด้านบุคลากร โครงสร้างพื้นฐาน และ การพัฒนาภาคการเงิน ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับสองของโลก ขณะที่อันดับในด้านสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและ ภาพลักษณ์และทั่วไป ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับสามของโลก”

    ฮ่องกงยังติดอันดับสูงสุดในภาคอุตสาหกรรมการเงินต่างๆ โดยฮ่องกงติดอันดับหนึ่งของโลกในด้านการจัดการการลงทุน การประกันภัย และ การเงิน และอันดับสามของโลกในด้าน การธนาคาร นอกจากนี้ ในด้าน FinTech หรือเทคโนโลยีทางการเงินของศูนย์กลางการเงิน และอันดับของฮ่องกงก็ขยับขึ้นไปอีก 5 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 4 ของโลก

    แหล่งอ้างอิง
    1 .The Global Financial Centres Index 37 (March 2025)
    2.The Impact of International Financial Centers
    3.BIS Quarterly Review June 2022 International banking and financial market developments
    4.Creating a successful international financial centre
    5.Jean-Pierre Roth: The challenges of an international financial centre: the Swiss case
    6.Islands as offshore financial centres
    7.IMF Survey Offshore banking activities can pose prudential and supervisory issues
    8.Lee Hsien Loong: Financial centres today and tomorrow: a Singapore perspective (Central Bank Articles and Speeches)
    9.MAS launches Financial Services Industry Transformation Map 2025
    10.Laws and Regulations in Dubai International Financial Centre (DIFC)
    11.A Place Where Money Abounds: An Overview of The DIFC Area in Dubai
    12.DIFC 2.0
    13.ADGM, a leading, award-winning, International Financial Centre
    14.Launch of Labuan IBFC’s Strategic Roadmap 2022–2026
    15.Press Release on Launch of Masterplan For World’s First Labuan Shariah-Compliant Blockchain Hub
    16.Our Finance & Economy
    17.Hong Kong as an International Financial Centre