ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ(International Financial Centre) ถือเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจยุคใหม่ จากการเป็นช่องทางของเงินทุน อำนวยความสะดวกในการค้า และขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมทั่วโลก โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ความต้องการเงินทุนของเศรษฐกิจโลกมีมากขึ้นกว่าที่เคย ทั้งจากการจัดหาเงินทุนระยะยาวทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงทางประชากร และปัญหาทางสังคม จากเดิมที่ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศบางแห่ง โดยเฉพาะประเทศหมู่เกาะที่มีภาพลักษณ์ในฐานะ Tax heaven ดินแดนปลอดภาษีให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทและนักธุรกิจ
ขณะเดียวกันบริการทางการเงินทั่วโลกก็มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น พัฒนาการใหม่ๆ กำลังเกิดขึ้นการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาด นวัตกรรมทางการเงิน และการเงินที่ยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของตลาดที่เปิดกว้างและมีการแข่งขัน ไม่เพียงนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ สำหรับผู้เล่นทางการเงินที่จะตอบสนองความต้องการของสังคม แต่ยังดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในระดับสูง ดังนั้น ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจจริงและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศที่มีเครือข่ายผู้เล่นระดับโลก ระดับภูมิภาคและระดับประเทศ ยังช่วยส่งเสริมความเชี่ยวชาญด้านบริการทางการเงิน การทำธุรกรรมในประเทศและข้ามพรมแดนผ่านระบบที่มีประสิทธิภาพ มีส่วนสนับสนุนการแข่งขันในตลาดการเงินในภูมิภาคที่ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศนั้นตั้งอยู่ ด้วยเหตุนี้หลายประเทศที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาจึงวางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ
สำหรับประเทศไทย คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. … เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อผลักดัน 1 ใน 8 วิสัยทัศน์จากโครงการ Ignite Thailand ของรัฐบาล ในการตั้งเป้าพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) ที่จะดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศเข้ามาจัดตั้งธุรกิจในประเทศไทย โดยได้เปิดรับฟังความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. (ร่างฯ ที่ สคก. ตรวจพิจารณาแล้ว) ตั้งแต่วะที่ 30 พฤษภาคม ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2568
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในหลายประเทศมีหลายเมืองเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ และศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศเหล่านี้ในภูมิภาคเช่น โตเกียว ฮ่องกง สิงคโปร์ นอกจากมีการแข่งขันระหว่างกันเองที่เข้มข้นในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ยังเผชิญกับการแข่งขันจากศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ อื่นๆในระดับโลก เพื่อครองการเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศชั้นนำ (International Financial Centre) ซึ่งจากการจัดอันดับเมืองศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำของโลกประจำปีล่าสุด Global Financial Centres Index (GFCI) ของ Z/Yen Partners ที่ร่วมกับ China Development Institute โดย Global Financial Centers Index พบว่า นิวยอร์กยังคงเป็นศูนย์กลางการเงินอันดับหนึ่งของโลก ลอนดอนอยู่ในอันดับสอง ฮ่องกงยังคงอยู่ในอันดับที่ 3 และสิงคโปร์ อันดับ 4 ส่วนซานฟรานซิสโก ชิคาโก ลอสแองเจลิส เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ยังคงอยู่ในอันดับที่ 5 ถึง 9 ตามลำดับเช่นเดิม ขณะที่โซลกลับเข้าสู่ 10 อันดับแรกในการประเมินล่าสุด
ศูนย์กลางทางการเงิน หรือ Fin Hub ของประเทศไทยจะแข่งขันและโดดเด่นในภูมิภาคได้หรือไม่ ยังไม่ต้องพูดถึง แต่เรามาเริ่มต้นตั้งคำถามกันว่าจุดแข็งของศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ ทั้ง โตเกียว ฮ่องกง สิงคโปร์ ที่ติดอันดับโลกมาตลอด แม้แต่ดูไบติดอันดับ 12 ว่าคืออะไร ใช้อะไรมาแข่งขัน บางทีอาจจะได้คำตอบของ Fin Hub ประเทศไทย
จากประสบการณ์ต่างประเทศ การจะเป็น Financial Hub ที่ประสบความสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน โดยมีการประเมินจุดแข็ง ความคุ้มค่าในการจัดตั้งและความเสี่ยงต่างๆ อย่างรอบด้าน
โดยต้องกำหนดเป้าหมายว่าจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินในด้านใด มีความได้เปรียบคู่แข่งอย่างไร และสร้าง ecosystem ที่สอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายนั้นๆ
ในกรณีของศูนย์กลางทางการเงินที่ประสบความสำเร็จเช่น สิงคโปร์ ที่ผ่านมามีเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในเอเชีย โดยสร้างจุดเด่นในด้าน Wealth management (ลักษณะคล้ายคลึงกับสวิตเซอร์แลนด์ที่โดดเด่นด้านการจัดการสินทรัพย์และการรักษาความลับของลูกค้า) และด้าน Fintech ทั้งนี้ นอกจากเกณฑ์การประกอบธุรกิจที่คล่องตัวและการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว ยังต้องมีระบบกฎหมายที่เป็นสากล (UK common law) มีการบังคับใช้กฎหมาย law enforcement และธรรมาภิบาลที่แข็งแกร่ง รวมถึงมี Ecosystem อื่น ๆ ที่เหมาะสม เช่น เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง นโยบายของภาครัฐที่มีความต่อเนื่อง แรงงานที่มีทักษะสูง มีปัจจัยสนับสนุนทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ใช้สำหรับจัดอันดับและประเมินความสามารถในการแข่งขันของศูนย์กลางทางการเงินในดัชนีชี้วัด Global Financial Centres Index (GFCI)1 ประกอบด้วยหลายปัจจัย ทั้งสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ ทรัพยากรบุคคล โครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาการของภาคการเงิน รวมไปถึงชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศ ดังภาพแนบ

สรุปปัจจัยที่สำคัญต่อความสามารถในการแข่งขัน
1.สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ (Business Environment) ที่เอื้อต่อการจัดตั้งและดำเนินธุรกิจของชาวต่างชาติ (Ease of doing business) และเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ซึ่งประกอบด้วยหลายองค์ประกอบที่สำคัญ ดังเช่น
2.บุคลากรในประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น การเงิน กฎหมาย เทคโนโลยี และทักษะด้านภาษา ที่จะพร้อมทำงานที่รองรับการเข้ามาของต่างชาติและต่อยอดเพื่อประโยชน์ของประเทศได้ ซึ่งรวมไปถึงนโยบายด้านการศึกษา และกระบวนการที่เอื้อต่อการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในประเทศ
3.โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และทรัพยากรในประเทศที่พร้อมต่อการสนับสนุนการประกอบธุรกิจและอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติ ทั้งปัจจัยพื้นฐานอย่างการคมนาคม สาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง อาทิ โครงสร้างตลาดการเงิน และระบบการชำระเงิน รวมไปถึง มีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Digital Infrastructure) ที่ต้องปรับตัวให้สอดคล้องเทคโนโลยีทางการเงินในอนาคต เช่น digital solutions และ fintech innovations
4.กฎหมายและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล
5.ระบบภาษี (Taxation) สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งในการดึงดูดนักลงทุน โดยจะเห็นได้จาก Financial Hub ของหลายประเทศ เช่น ดูไบและหมู่เกาะเคย์แมน ที่ไม่มีการเรียกเก็บภาษีเงินได้จากการประกอบธุรกิจ อีกทั้งยังให้สิทธิประโยชน์ในการถือครองอสังหาริมทรัพย์แก่ต่างชาติและการให้สิทธิในการถือครองกิจการโดยชาวต่างชาติอย่างเต็มที่ด้วย
6.ภาพลักษณ์ของประเทศ (Reputation) การมีภาพลักษณ์ที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดการลงทุน การประกอบธุรกิจ และบุคลากรที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำให้ชื่อเสียงของประเทศมีความน่าเชื่อถือ และป้องกันไม่ให้ประเทศมี bad reputation เชิงลบ เช่น การฟอกเงินหรือการทำธุรกรรมผิดกฎหมาย ซึ่งหากเกิดขึ้นแล้วจะเรียกคืนความเชื่อมั่นกลับมาได้ยากและจะไม่สามารถดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศได้

สิงคโปร์ ศูนย์กลางการเงินชั้นนำของเอเชีย
สิงคโปร์มีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนของภูมิภาคเอเชีย จึงผลักดันผ่านการสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ (business environment) ที่เอื้อต่อการเริ่มต้นและการดำเนินธุรกิจของชาวต่างชาติ โดยยังคงครองความเป็นผู้นำในด้านความง่ายในการประกอบธุรกิจ (ease of doing business) ด้วยระบบการจดทะเบียนที่สะดวกรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบเบ็ดเสร็จ (Bizfile) รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ได้รับการลงทุนและพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากความพร้อมต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น สิงคโปร์ยังมีปัจจัยที่ส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนของภูมิภาค ทั้งการใช้ระบบกฎหมาย Common Law ที่เป็นที่คุ้นเคยของบริษัทต่างชาติ มีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายโดยไม่เลือกปฏิบัติ มีกระบวนการยุติธรรมและกระบวนการในการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการค้าการลงทุนระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้นักลงทุนต่างชาติมั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรม
ประเทศสิงคโปร์ยังนับว่าเป็นประเทศที่มีสภาพเศรษฐกิจและการเมืองที่มั่นคงที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ทำให้การดำเนินนโยบายมีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบายสำคัญไม่ได้เปลี่ยนตามการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล อีกทั้งประเทศสิงคโปร์ยังมีแผนการพัฒนาคุณภาพของประชาชนมาอย่างยาวนาน ทำให้สามารถผลิตบุคลากรที่มีทักษะสูงทั้งด้านการเงิน ภาษาอังกฤษและภาษาจีน ขณะที่แรงงานคุณภาพสูงจากต่างประเทศก็สามารถย้ายถิ่นฐานไปสิงคโปร์ได้ง่าย ทั้งหมดนี้ทำให้สิงคโปร์สามารถดึงดูดสถาบันการเงินและบุคลากรที่มีคุณภาพสูง ทำให้ภาคการเงินของสิงคโปร์มีทั้งผู้เล่นและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย และมีพัฒนาการที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ใน GFCI 37 สิงคโปร์ติด อันดับ 4 มีผลงานที่โดดเด่นใน 4 ด้านจาก 5 ด้านความสามารถในการแข่งขันที่ประเมินโดย GFCI โดยอยู่ในอันดับที่ 4 ในด้านสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ บุคลากร โครงสร้างพื้นฐาน ภาพลักษณ์ของประเทศ และปัจจัยทั่วไป ในขณะที่ยังอยู่ในอันดับที่ 5 ในด้านการพัฒนาภาคการเงิน
รายงาน GFCI 37 ยังแบ่งการจัดอันดับตามภาคอุตสาหกรรมด้วย สิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 1 ในด้านบริการระดับมืออาชีพ อันดับที่ 2 ในด้านการค้า อันดับที่ 3 ในด้านรัฐบาลและกฎระเบียบและเทคโนโลยีทางการเงิน อันดับที่ 4 ในด้านประกันภัย อันดับที่ 5 ในด้านการจัดการการลงทุน และอันดับที่ 6 ในด้านธนาคาร
นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามยังระบุว่าสิงคโปร์เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินที่คาดว่าจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ศูนย์กลางการเงินของตะวันออกกลาง
ใน Global Financial Centres Index(GFCI) 37 ศูนย์กลางการเงินดูไบติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของศูนย์กลางการเงินระดับโลกโดยขยับขึ้น 4 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 12
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ได้จัดตั้งเขตการเงินพิเศษขึ้นมา 2 แห่ง แห่งหนึ่งในรัฐดูไบ (Dubai International Financial Centre (DIFC)) ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน wealth management และ Fintech และอีกแห่งในรัฐ Abu Dhabi (Abu Dhabi Global Market (ADGM)) ซึ่งเน้นด้าน digital assets และ sustainable finance
เขตการเงินพิเศษทั้ง 2 แห่งมีหน่วยงานกำกับเฉพาะที่แยกจากหน่วยงานกำกับดูแลหลัก ได้แก่ Dubai Financial Services Authority (DFSA) และ Financial Services Regulatory Authority (FSRA) ตามลำดับ และใช้ระบบกฎหมาย Common Law ที่ผู้ประกอบธุรกิจคุ้นเคยมาใช้เฉพาะในเขตการเงินพิเศษ อีกทั้งยังมีระบบศาลที่ตัดสินคดีแพ่งและพาณิชย์แยกออกจากระบบศาลของประเทศโดยใช้ภาษาอังกฤษในกระบวนการที่เกี่ยวข้องและสามารถตัดสินข้อพิพาทได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ UAE ยังมีจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งซึ่งเชื่อมต่อภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกได้ง่าย และโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับผู้เล่นในตลาดการเงินระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มาเลเซีย ศูนย์กลางการเงินที่กำลังเติบโต
รัฐบาลมาเลเซียต้องการพัฒนาเกาะลาบวนให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ (international offshore financial centre) สอดคล้องกับเป้าหมายในการเพิ่มบทบาทของ Financial Services ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและ ecosystem ต่าง ๆ ของเกาะ และจัดตั้ง Labuan International Business and Financial Centre (Labuan IBFC) ขึ้นในปี 2533 โดยให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานเฉพาะ คือ Labuan Financial Services Authority (Labuan FSA) และใช้ระบบกฎหมาย Common Law ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ
จุดเด่นของ Labuan IBFC คือการเป็น International Islamic Financial Centre ที่มีความโดดเด่นด้านการให้บริการและเสนอผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับหลักชารีอะห์ โดยเฉพาะการประกันภัยของชาวมุสลิม โดยปัจจุบัน Labuan FSA อยู่ระหว่างพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาระดับประเทศ เพื่อให้ Labuan IBFC ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลให้แก่ลูกค้าชาวมุสลิมอีกด้วย

ฮ่องกง ผลิตภัณฑ์ทางการเงินครบครัน
ฮ่องกงซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเอเชีย เจริญรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางการเงินระหว่างแห่งเดียวในเอเชียที่ก้าวขึ้นเทียบชั้นศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศระดับโลก ทั้ง นิวยอร์ก ลอนดอน ในต้นศตวรรษที่ 21 หลังมีการจัดตั้งในปลายทศวรรษ 1980s
ฮ่องกงเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศชั้นนำของโลก จึงเป็นที่ตั้งที่สำคัญสำหรับบริการทางการเงินและเป็นที่ตั้งของสถาบันการเงินหลายแห่ง ส่งผลให้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ครบครัน และบุคลากรที่มีความสามารถทางการเงินจำนวนมาก ในปี 2566 ภาคการเงินมีแรงงานมากกว่า 269,100 คน หรือคิดเป็น 7.3% ของประชากรวัยทำงานในฮ่องกง และมีส่วนสนับสนุนโดยตรง 24.9% ต่อ GDP ของฮ่องกงในปี 2566
ด้วยจุดแข็งด้านการธนาคาร ตลาดทุน และการจัดการสินทรัพย์ ฮ่องกงจึงเป็นศูนย์การเงินคุณภาพสูงที่ครอบคลุมทุกด้านสำหรับนักลงทุน นักการเงิน ผู้จัดการสินทรัพย์ กองทุน และสถาบันการเงินจากทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้ ฮ่องกงยังเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับศูนย์กลางการบริหารเงินขององค์กรอีกด้วย
โดยสรุป จุดแข็งของฮ่องกงได้แก่:
ตลาดการเงินของฮ่องกงดำเนินงานภายใต้กฎระเบียบที่มีประสิทธิผลและโปร่งใสซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากล และรักษาตำแหน่งที่สามของโลกไว้ได้ใน GFCI 37
ซึ่งสะท้อนถึงสถานะผู้นำและจุดแข็งของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ อันดับของฮ่องกงในด้านบุคลากร โครงสร้างพื้นฐาน และ การพัฒนาภาคการเงิน ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับสองของโลก ขณะที่อันดับในด้านสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและ ภาพลักษณ์และทั่วไป ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับสามของโลก”
ฮ่องกงยังติดอันดับสูงสุดในภาคอุตสาหกรรมการเงินต่างๆ โดยฮ่องกงติดอันดับหนึ่งของโลกในด้านการจัดการการลงทุน การประกันภัย และ การเงิน และอันดับสามของโลกในด้าน การธนาคาร นอกจากนี้ ในด้าน FinTech หรือเทคโนโลยีทางการเงินของศูนย์กลางการเงิน และอันดับของฮ่องกงก็ขยับขึ้นไปอีก 5 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 4 ของโลก
แหล่งอ้างอิง
1 .The Global Financial Centres Index 37 (March 2025)
2.The Impact of International Financial Centers
3.BIS Quarterly Review June 2022 International banking and financial market developments
4.Creating a successful international financial centre
5.Jean-Pierre Roth: The challenges of an international financial centre: the Swiss case
6.Islands as offshore financial centres
7.IMF Survey Offshore banking activities can pose prudential and supervisory issues
8.Lee Hsien Loong: Financial centres today and tomorrow: a Singapore perspective (Central Bank Articles and Speeches)
9.MAS launches Financial Services Industry Transformation Map 2025
10.Laws and Regulations in Dubai International Financial Centre (DIFC)
11.A Place Where Money Abounds: An Overview of The DIFC Area in Dubai
12.DIFC 2.0
13.ADGM, a leading, award-winning, International Financial Centre
14.Launch of Labuan IBFC’s Strategic Roadmap 2022–2026
15.Press Release on Launch of Masterplan For World’s First Labuan Shariah-Compliant Blockchain Hub
16.Our Finance & Economy
17.Hong Kong as an International Financial Centre