วิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์

ประเทศไทยในอดีตเคยได้รับการยอมรับว่าเป็น “ครัวของโลก” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความมั่นคงทางอาหาร โดยมีศักยภาพในการผลิตอาหารที่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศและเหลือส่งออกไปจำหน่ายยังต่างแดนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อาหารทะเล (seafood)” ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญสำหรับคนไทยมายาวนาน แต่ปัจจุบันสถานการณ์ดังกล่าวกลับพลิกผันไปอย่างน่าเป็นห่วง
นิยามของ “ความมั่นคงทางอาหาร”
ก่อนอื่น คงต้องมาทำความเข้าใจนิยามของ “ความมั่นคงทางอาหาร” กัน ซึ่งองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติได้ให้ความหมายไว้ว่า “สภาวะที่คนทุกคนและทุกขณะเวลามีความสามารถทั้งทางกายภาพและทางเศรษฐกิจที่สามารถเข้าถึงอาหารที่เพียงพอ ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจด้านอาหารเพื่อให้เกิดชีวิตที่มีพลังและมีสุขภาพที่ดี (All people, at all times, have physical and economic access to sufficient, safe and nutritious food to meet their dietary needs and food preferences for an active and healthy life.) ทั้งนี้ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับมวลมนุษยชาติในการจัดสรรและแบ่งปันอาหารให้กับผู้คนอย่างเพียงพอและสามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีข้อจำกัด เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารและความหิวโหย โดยไม่คำนึงถึงฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองใด ๆ ประกอบด้วย 4 ด้านหลัก ได้แก่ :
-
1.การมีอาหารเพียงพอ (Food Availability) : การมีปริมาณอาหารที่เพียงพอและมีคุณภาพ
2.การเข้าถึงอาหาร (Food Access) : ความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรที่เหมาะสม รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
3.การใช้ประโยชน์จากอาหาร (Food Utilization) : การที่ร่างกายสามารถใช้ประโยชน์จากอาหารที่บริโภคได้อย่างเต็มที่ โดยมีปัจจัยสนับสนุน เช่น น้ำสะอาด สุขอนามัย และการดูแลสุขภาพที่ดี
4.การมีเสถียรภาพด้านอาหาร (Food Stability) : การที่ประชาชน ครัวเรือน หรือบุคคล สามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างเพียงพอตลอดเวลา โดยไม่มีความเสี่ยงเมื่อเกิดการขาดแคลนขึ้นอย่างกะทันหัน
ในอดีต ประเทศไทยมีความโดดเด่นอย่างยิ่งในด้าน “การมีอาหารเพียงพอ” โดยเฉพาะอาหารทะเล
จาก “ครัวของโลก” สู่ประเทศผู้นำเข้า
ย้อนกลับไปในราวปี พ.ศ. 2504 เมื่อประเทศไทยได้นำ “เครื่องมืออวนลาก (Trawling)” ซึ่งเป็นเครื่องมือประมงสมัยใหม่จากประเทศเยอรมันเข้ามาใช้ ทำให้การจับปลาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ความสำเร็จนี้ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่ จนสามารถส่งออกได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 และไม่จำเป็นต้องนำเข้าอาหารทะเลเพื่อการบริโภคอีกเลยนานกว่า 51 ปี (ยกเว้นการนำเข้าเพื่อเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปและส่งออกสินค้าบางชนิด เช่น ปลาทูน่า กุ้ง และหมึก ซึ่งเริ่มมีบทบาทหลังปี พ.ศ. 2521) แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและ “ความมั่นคงทางอาหารทะเลอันแข็งแกร่งของไทย” ในยุคนั้น
วิกฤติทรัพยากรที่เกิดจากการไม่จัดการของรัฐไทย
แม้ว่าประเทศไทยจะมีความมั่นคงทางอาหารโปรตีนที่มาจากทะเล จากการจับสัตว์น้ำที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งจากเครื่องมือประมงสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือ “อวนลาก” “อวนล้อม” หรือ “อวนลอย” ที่มีศักยภาพในการจับปลาได้คราวละมาก ๆ ในขณะเดียวกัน เครื่องมือเหล่านี้ ก็มีศักยภาพสูงในการทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจะต้องมีการจัดการ จำกัด และควบคุมโดยหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่า หน่วยงานต่างๆ กลับปล่อยให้มีการทำการประมงโดยไม่มีการจัดการหรือควบคุม หรือบังคับใช้กฎหมาย ทั้งที่ใช้โดยเรือประมงขนาดเล็กและขนาดใหญ่ จนนำไปสู่สภาวะของ “การใช้ทรัพยากรเกินศักยภาพการผลิตทดแทน (Over fishing)” ในเขตน่านน้ำไทยอย่างน่าเสียดาย

วิกฤติจากนโยบาย IUU Fishing ที่ผิดพลาด
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นภายหลังปี พ.ศ. 2558 เมื่อประเทศไทยได้รับ “ใบเหลือง” จากสหภาพยุโรป (EU) เนื่องจากปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported, and Unregulated Fishing : IUU Fishing) เพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลไทยได้เร่งออกกฎหมายประมงฉบับใหม่ที่มุ่งเน้นการปฏิบัติตาม “คำแนะนำของสหภาพยุโรป” แต่จากการวิเคราะห์ของคุณผู้เขียน ชี้ให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้น “ผิดพลาด” เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและสภาพสังคมประมงไทย โดยมีการ “คัดลอกกฎหมายจากต่างประเทศ” ซึ่งไม่สอดรับกับบริบทในมิติต่าง ๆ ของประเทศ
ผลกระทบที่ตามมานั้นรุนแรงและกว้างขวาง :
ความผิดพลาดที่ซ้ำเติม : การเพิ่มศักยภาพการทำลายทรัพยากรชายฝั่ง
นอกจากผลกระทบที่กล่าวมา กฎหมายประมงฉบับดังกล่าวยังมีความผิดพลาดอีกประการคือ การบัญญัติให้มีการ “เพิ่มศักยภาพในการทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นที่ใกล้ฝั่ง” โดยไม่เจตนา โดยอนุญาตให้กลุ่ม “ประมงพื้นบ้าน” สามารถเพิ่มจำนวน (จาก 30,000 ลำ เป็นกว่า 80,000 ลำ) ขยายขนาดเรือ (จากไม่เกิน 5 ตันกรอส เป็นไม่เกิน 10 ตันกรอส) และขยายขนาดเครื่องมือประมง (ความยาวอวน กรณีอวนติดตา จาก 500-1,000 เมตร เป็น 22,000 เมตร) ได้ ด้วยความเข้าใจผิดว่าประมงพื้นบ้านคือ “คนจน” ที่ควรได้รับ “โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร” มากกว่ากลุ่มอื่น (ทั้งๆ ที่เรือประมงเหล่านี้แต่ละลำ (พร้อมเครื่องมือ) มีมูลค่าลำละนับแสนจนไปถึงนับล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ประมงพื้นบ้านทำการอยู่นั้นคือ แหล่งเพาะพันธุ์ อนุบาล และแหล่งเจริญพันธุ์ของสัตว์น้ำนานาชนิด ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่มีความเปราะบางและควรได้รับการอนุรักษ์และจำกัดการใช้ประโยชน์อย่างเข้มงวด การเพิ่มศักยภาพการทำประมง (ทั้งจำนวน ขนาด และเครื่องมือ) ในพื้นที่นี้ จึงไม่ต่างกับการปล่อยให้มีการ “ทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน” บนความผิดพลาดเชิงนโยบายและการจัดการที่ขาดความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง
กรณีศึกษา: วิกฤติทรัพยากรปลาทู
สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการจัดการที่ผิดพลาด คือ “ทรัพยากรปลาทู” ที่พบว่าในรอบกว่า 60 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการ “อนุรักษ์” ทรัพยากรปลาทูอย่างจริงจังด้วยการ “ปิดอ่าว” โดยห้ามเครื่องมือประมงพาณิชย์ทุกชนิดเข้าทำการประมง ในพื้นที่ (บริเวณหมู่เกาะอ่างทอง) และ ห้วงเวลา (กลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม) ที่กำหนด แต่ยังคงอนุญาตให้เรือประมงพื้นบ้านสามารถเข้าทำการประมงได้โดยเสรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรือที่ใช้เครื่องมือ “อวนติดตา” ทั้งในบริเวณผิวน้ำ (อวนลอย) และบริเวณหน้าดิน (อวนจม) ได้ตลอดเวลา
การอนุญาตดังกล่าวส่งผลให้ทรัพยากร “ปลาทู” ทั้งพ่อพันธุ์/แม่พันธุ์และปลาทูวัยอ่อน ลดลงและหายไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีข้อพิสูจน์ที่ชัดแจ้งคือ เมื่อมีการเปิดอ่าว (อนุญาตให้เรือประมงพาณิชย์สามารถเข้าทำการประมงได้ในบริเวณที่เคยห้าม) และในปี 2568 นี้ ภายหลังวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา เรือประมงพาณิชย์ทั้งหมดที่เข้าทำการประมงในบริเวณดังกล่าว ต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “ปลาทูหายไปไหน” เพราะไม่มีใครจับปลาทูกันได้เลย นี่คือบทพิสูจน์ที่ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดในการจัดการทรัพยากรที่สำคัญยิ่งของชาติ

บทสรุปและข้อเสนอแนะ
วิกฤติความมั่นคงทางอาหารทะเลของไทยที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นผลพวงมาจากการแก้ไขปัญหา IUU Fishing ที่ขาดความรอบคอบและไม่สอดคล้องกับบริบทของประเทศ การขาดองค์ความรู้และการเอาใจใส่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบ การออกกฎหมายที่มุ่งเน้นการคัดลอกจากต่างประเทศโดยไม่คำนึงถึงลักษณะเฉพาะของทรัพยากรและสังคมประมงไทย ได้นำไปสู่การสูญเสียปริมาณสัตว์น้ำมหาศาล มีการพึ่งพาการนำเข้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และการล่มสลายของระบบนิเวศและวิถีชีวิตประมง ผลกระทบเหล่านี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน และเป็นบทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยต้องเรียนรู้
ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะร่วมกันแก้ไขวิกฤตนี้ โดยมีข้อเสนอแนะดังนี้ :
-
1.ยอมรับความจริงในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น : เปิดใจรับรู้และวิเคราะห์ถึงข้อผิดพลาดในอดีตอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องโทษกันไปมาว่าเป็นความผิดของใคร
2.ร่วมมือกันฟื้นฟูองค์ความรู้ในการจัดการทรัพยากรประมง : พัฒนาความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับนิเวศวิทยาทางทะเลและรูปแบบการทำประมงที่เหมาะสมกับบริบทและวิถีชีวิตของไทย
3.ร่วมมือกันแก้ไขกฎหมาย : ปรับปรุงกฎหมายประมงให้สอดคล้องกับความเป็นจริงทางทรัพยากร สังคม และเศรษฐกิจของประเทศ โดยไม่ยึดติดกับการคัดลอกของต่างประเทศ โดยอ้างความเป็นสากล
4.ร่วมมือกันปรับปรุงและปรับลดขนาดของเครื่องมือ : พิจารณาการใช้เครื่องมือประมงที่ยั่งยืนทั้งชนิด ขนาด และจำนวนที่เหมาะสมกับศักยภาพของทรัพยากร
5.ร่วมมือกันเฝ้าระวังการทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำ : เสริมสร้างกลไกการเฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
6.ร่วมมือกันปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ : ไม่จับ/ไม่บริโภคสัตว์น้ำวัยอ่อน สัตว์น้ำมีไข่ (ตลอดจนปล่อยคืนธรรมชาติเมื่อจับได้) ทั้งโดยชาวประมงและผู้บริโภค รวมทั้งการไม่ทำลาย และจัดสร้างที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำเพิ่มเติมด้วย

จัดทำโดยสมาคมการประมงสมุทรสาคร

จัดทำโดยสมาคมการประมงสมุทรสาคร

การร่วมมือกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูทะเลไทย ฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำ และฟื้นฟูความมั่นคงทางอาหารทะเลเพื่อคนไทยทุกคนทั้งวันนี้และวันหน้า