
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย คาดแนวโน้มค้าปลีกครึ่งปีหลัง 2568 เผชิญปัจจัยรอบด้านทั้งภายในและภายนอก ภายใต้โลกการค้าใหม่ ชี้แนวทางฟื้นฟูค้าปลีกด้วย กลยุทธ์ 3S “Shield (ตั้งรับ) Strike (รุกกลับ) Shape (ปรับตัว)” เร่งเดินหน้านโยบาย “TRA GREAT” ยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้แข็งแกร่ง
ค้าปลีกชะลอตัว ผลพวงเศรษฐกิจโลก
นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดค้าปลีกและความท้าทายในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 โดยอ้างอิงข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยว่า อัตราการเติบโตของมูลค่าตลาดค้าปลีกในช่วงปี 2567-2568 อยู่ที่ 3.4% หรือ 1.36 แสนล้านบาท มีแนวโน้มชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วงปี 2565-2566 ที่โต 5.9% เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กำแพงภาษีสหรัฐฯ กำลังซื้อผู้บริโภคที่ฟื้นตัวช้า รวมถึงการแข่งขันรุนแรงกับแพลตฟอร์มค้าปลีกต่างชาติอย่าง E-Commerce
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยความเสี่ยงจากการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะสินค้านำเข้าราคาถูกและด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ ที่เข้ามาผ่านทางอีคอมเมิร์ซและผู้ประกอบการรายย่อยข้ามแดน อีกทั้งต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น จากการปรับขึ้นค่าแรง ต้นทุนโลจิสติกส์ ค่าพลังงานและสาธารณูปโภคส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs มากกว่า 3.3 ล้านราย
“จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกที่ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนภาพการบริโภคที่ชะลอตัว ภาคท่องเที่ยวเติบโตลดลง และภาคส่งออกที่กำลังเผชิญกับกำแพงภาษี” นายณัฐกล่าว
โดยปี 2567 ภาคค้าปลีกมีมูลค่าราว 4 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนมูลค่าใน GDP สูงเป็นอันดับ 2 หรือคิดเป็น 16% ของขนาดเศรษฐกิจทั้งประเทศ
นายณัฐ ย้ำว่า ค้าปลีกยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย ในการขับเคลื่อนภาคผลิต ภาคการบริโภค และภาคแรงงาน แม้ช่วงครึ่งปีหลังนักท่องเที่ยวจีนมีจำนวนลดลง จึงจำเป็นต้องหาตลาดทดแทน เช่น นักท่องเที่ยวระยะไกล (Long Haul) หรือยุโรปมากขึ้น เช่น รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี และตะวันออกกลาง เป็นต้น
ทั้งนี้ เทรนด์ภาคค้าปลีกในช่วงครึ่งปีหลังมีดังนี้
- Convergence Commerce as the New Standard สร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อระหว่างช่องทาง Offline และ Online รวมถึงการผสานร้านค้ารายใหญ่และรายย่อยให้เป็นระบบนิเวศ (Ecosystem) เดียวกัน เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
- AI Personalization Engine นำเสนอสินค้า โปรโมชั่น และประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละรายอย่างเฉพาะบุคคล (Personalization) ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อบริหารจัดการสต็อกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มยอดขาย ลดปริมาณสินค้าคงคลังที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า
- Sustainable Retail ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสนใจแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม, ใช้บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน
สินค้าจีนทะลัก ไทยแข่งต้นทุนไม่ได้
อีกหนึ่งความท้าทายสินค้าจีนตีตลาดไทยอย่างหนัก ซึ่งเป็นผลพวงจากกำแพงภาษีของทรัมป์ ซึ่งทำให้จีนต้องหาตลาดระบายสินค้า โดย นายณัฐ อธิบายว่า การแข่งขันภายในประเทศไทยจะรุนแรงขึ้น เพราะสินค้าไทยต้องแข่งกับสินค้าจีน ดังนั้นผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก กลาง หรือใหญ่ จำเป็นต้องปรับตัวอย่างยิ่ง
“สินค้าจีนที่จะล้นทะลักเข้ามา บางอย่างมาตรฐานไม่ได้ดีเท่าที่ควร เพราะต้นทุนที่ต่ำ สินค้าจีนจะเข้ามาเยอะขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และของใช้ในชีวิตประจำวัน”
นายณัฐ แนะนำว่า ผู้ประกอบการจะขายสินค้าราคาถูกอย่างเดียวไม่ได้ เพราะสินค้าจีนราคาถูกและต้นทุนต่ำกว่า ดังนั้นต้องปรับตัว โดยพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพหรือพยายามสร้างมูลค่าเพิ่ม (value added) เข้าไปในสินค้าของเรา หรือหาระบบ-เทคโนโลยีเข้ามาเสริม กระทั่งปรับรูปแบบร้านออนไลน์-เพจ เพื่อดึงดูดลูกค้ามากขึ้น
ปิดจุดเสี่ยง สินค้าด้อยคุณภาพ-ปราบธุรกิจนอมินี
นายณัฐ กล่าวถึงข้อเสนอภายใต้กลยุทธ์ 3S หรือ Shield Strike Shape ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการตั้งรับ รุกกลับ และปรับตัว
ข้อเสนอ (1) ตั้งรับ (Shield)
เน้นการป้องกันสินค้าราคาถูกและด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ เช่น การตรวจสอบสินค้านำเข้า 100% แทนการสุ่มตรวจ ด้วยระบบเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำ และตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่วางจำหน่ายในประเทศอย่างเข้มงวด เช่น การมีมาตรฐาน มอก. และฉลากต้องเป็นภาษาไทย
รวมถึงปราบปรามธุรกิจนอมินี โดยเร่งหามาตรการเชิงรุกในการจัดการธุรกิจนอมินี (Nominee) ที่สวมสิทธิ์คนไทยในทุกระดับ ตั้งแต่รายย่อยถึงรายใหญ่ ครอบคลุมธุรกิจในหลายรูปแบบ เช่น ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และโรงแรมศูนย์เหรียญ เพื่อยับยั้งการรั่วไหลของเม็ดเงิน และผลักดันให้รายได้จากภาคค้าปลีกหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจและผู้ประกอบการไทย และป้องกันการสวมสิทธิ์ผลิตสินค้าที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกไปสหรัฐ (Re-Export) ส่งผลให้ไทยเกินดุลสหรัฐ
เสนอเปิด Paradise Sandbox นำร่องภูเก็ต – Instant Tax Refund คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
ข้อเสนอ (2) รุกกลับ (Strike)
-
-จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT 7% กับสินค้าออนไลน์นำเข้าที่มีมูลค่าตั้งแต่บาทแรก (จากเดิมสินค้าไม่เกิน 1,500 บาทได้รับการยกเว้นภาษี) โดยออกเป็นกฏหมายบังคับใช้เป็นการถาวร
-ปรับปรุงกฏหมายที่มีข้อจำกัดและไม่ครอบคลุมของ “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” หรือการซื้อขายสินค้าออนไลน์ โดยเฉพาะสินค้าไม่ได้มาตรฐานราคาถูกที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มข้ามชาติ เพื่อปกป้องผู้บริโภคคนไทย เช่น จัดให้มีระบบเชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติ (API) กับหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
-ออกมาตรการรับมือกับสถานการณ์สินค้าจากจีนที่ทะลักเข้าสู่ตลาดไทย อันเนื่องมาจากปัญหาการผลิตสินค้าเกินความต้องการภายในประเทศจีน (Oversupply) ซึ่งจีนจำเป็นต้องระบายสินค้าสู่ต่างประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยจนถึงขั้นต้องปิดกิจการหรือมีการเลิกจ้างแรงงาน
-
เสนอการนำร่องมาตรการ Instant Tax Refund คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้กับนักท่องเที่ยวที่มียอดซื้อสินค้าขั้นต่ำ 3,000 บาทขึ้นไป ต่อ 1 วันในร้านค้าเดียวกัน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับประเทศจีนที่ได้ประกาศใช้นโยบาย Instant Tax Refund 500 หยวน (ประมาณ 2,500 บาท) นำร่องที่เมืองท่องเที่ยวอย่างเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว
-
-พิจารณาการลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะในกลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง น้ำหอม โดยอาจเริ่มที่สินค้าอเมริกาก่อน โดยนำร่องทำแซนด์บ็อกซ์เป็นเขตปลอดภาษี (Free Trade Zone) ในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวและเพิ่มศักยภาพให้ไทยเป็น Shopping Paradise ของภูมิภาค
-การลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์จากสหรัฐฯ เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าไทย–สหรัฐฯ และสร้างความหลากหลายให้แก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าไลฟ์สไตล์คุณภาพจากต่างประเทศ
รื้อ กม. ล้าสมัย – ดันเอสเอ็มอีรายเล็ก
ข้อเสนอ (3) ปรับตัว (Shape)
การลดทอนกฏระเบียบที่ล้าสมัยและซับซ้อน (Regulatory Guillotine) โดยผลักดันมาตรการ Regulatory Guillotine เพื่อลดกฎระเบียบที่ล้าสมัยและซับซ้อน เช่น การปรับลดจำนวนและขั้นตอนการขอใบอนุญาตหลายใบให้อยู่ในใบเดียว (Super License) และผ่านระบบกลาง (Biz Portal) ครอบคลุมทั่วประเทศ เช่น ใบอนุญาตเปิดศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร และใบอนุญาตก่อสร้าง
การสนับสนุนเอสเอ็มอีไทย (Championing Thai SME) รัฐสนับสนุนเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษี โดยจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูและพัฒนานวัตกรรมสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ พร้อมผลักดันให้ได้รับการรับรอง ‘Made in Thailand’ จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและขยายโอกาสในการส่งออก ตลอดจนส่งเสริมการมอบสัญลักษณ์ Thai SELECT จากกระทรวงพาณิชย์ เพื่อการันตีคุณภาพอาหารไทยซึ่งเป็นหนึ่งในซอฟต์เพาเวอร์ทั้งในและต่างประเทศ
การมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่าน BOI เพื่อจูงใจนักลงทุนไทยให้ลงทุนในเมืองน่าเที่ยวศักยภาพสูง เพื่อกระจายความเจริญ ลดความเหลื่อมล้ำ
ผลงานสมาคมฯ
นายณัฐ ยังกล่าวถึงโครงการโดดเด่นของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 – เมษายน 2568 เช่น
- การร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์เป็นศูนย์กลางลงทะเบียนร้านค้าเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครอบคลุม 400 บริษัท กว่า 2 แสนแห่งทั่วประเทศ อาทิ ภาคค้าปลีก ค้าส่ง ร้านค้าในศูนย์การค้า ศูนย์อาหาร ร้านอาหาร เป็นต้น
- นำเสนอข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบสินค้านำเข้าราคาถูกและการสวมสิทธิ์นอมินี รวมทั้งสมาคมฯ ได้มีโอกาสหารือกับคณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อให้ข้อเสนอแนะ ส่งผลให้สมาคมฯ กลายเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงสำคัญที่ผลักดันให้เกิดมาตรการปราบปรามอย่างจริงจัง
- สนับสนุนเอสเอ็มอี โดยเฉพาะวิสาหกิจรายย่อย (Micro SME) โดยร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ผ่านการจัดสรรพื้นที่จำหน่ายภายในห้างร้านและศูนย์การค้าของสมาชิก
- นำเสนอมาตรการ Easy E-Receipt ให้กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อช่วยปลุกมู้ดการจับจ่ายใช้สอยได้เป็นอย่างดี
“เราคุยกับภาครัฐเราคุยมาเยอะ แต่ภาครัฐก็มองว่า (ข้อเสนอ) มันจะเกิดประโยชน์อะไรกับภาครัฐด้วย ตอนนี้เราเป็นกระบอกเสียงพูดไปก่อน…ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ คุยกันตอนนี้เกิดปีหน้าได้ก็เก่งแล้ว”