ThaiPublica > คอลัมน์ > 72 ปี Tokyo Story: โลกเปลี่ยนไปกับความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง

72 ปี Tokyo Story: โลกเปลี่ยนไปกับความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง

3 มีนาคม 2025


Hesse004

Tokyo Story ที่มาภาพ : Wikipedia.org

ใครที่เป็นคอภาพยนตร์ญี่ปุ่นยุคคลาสสิคคงต้องนึกถึงชื่อผู้กำกับชั้นบรมครูอย่าง อาคิระ คุโรซาวา (Akira Kurozawa) ที่ภาพจำของผม คือ เจ็ดเซียนซามูไร (Seven Samurai)

ขณะที่ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นขั้นเทพอีกคน คือ ยาสุจิโร โอซุ (Yasujirō Ozu) นับเป็นผู้กำกับหนังชาวญี่ปุ่นที่ถ่ายทอดเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้อย่างกลมกล่อมโดยเฉพาะนำเสนอภาพจุดเปลี่ยนของครอบครัวและสังคมเมือง

หลังความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง… ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

สังคมเกษตรกรรมดั้งเดิมถูกแทนที่ด้วยการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม… เมืองใหญ่อย่าง โตเกียว โอซาก้า และนาโกย่า กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ คนรุ่นใหม่จำเป็นต้องออกจากชนบทเพื่อมุ่งหาโอกาส ทิ้งพ่อแม่ไว้ข้างหลัง

เดิมทีสังคมญี่ปุ่นยึดถือระบบ “ครอบครัวขยาย” (Extended Family หรือ 家制度 – Ie System) ที่ทุกคนอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นรุ่น ๆ แต่หลังสงคราม ระบบนี้เริ่มล่มสลายเมื่อ “ครอบครัวเดี่ยว” (Nuclear Family) กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่

ความเจริญของเมืองใหญ่ไม่ได้หมายถึงความมั่นคงของความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่กลับกัน มันยิ่งทำให้พ่อแม่และลูก ๆ ห่างเหินกันทั้งทางกายและจิตใจ

Tokyo Story (1953) เป็นผลงานที่ Ozu ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง Make Way for Tomorrow (1937)

สิ่งที่ทำให้ Tokyo Story เป็นมากกว่าการเล่าเรื่องพ่อแม่ที่ถูกทอดทิ้ง คือ เขาได้สอดแทรกมุมมองต่อการเปลี่ยนแปลงในสังคมญี่ปุ่นสมัยใหม่

นี่ไม่ใช่แค่หนังครอบครัว แต่เป็นภาพสะท้อนของ “อนิจจลักษณะ” ของชีวิต

Ozu ถ่ายทอดปรัชญา Mono no Aware (もののあわれ – ความเศร้าของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา) ลงไปในภาพยนตร์ ไม่มีฉากอารมณ์รุนแรง ไม่มีคำพูดกล่าวโทษลูก ๆ แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาอย่างแหลมคมคือ “พวกเขาไม่ได้เป็นลูกที่เลว แต่เป็นเพียงคนธรรมดาที่ถูกสังคมเมืองดูดกลืนไป”

…ความห่างเหินเกิดขึ้นโดยไม่มีใครตั้งใจ

ใครที่ชมภาพยนตร์ไทยเรื่อง “หลานม่า” คงรู้สึกคล้าย ๆ กันถึงความเหงาของคนแก่ในเมืองใหญ่

Ozu ไม่ได้สร้างหนังแค่เรื่องของคนแก่ที่ถูกลืม แต่เขาสร้างภาพยนตร์ที่เปลี่ยนโฉมวงการภาพยนตร์โลกไปเลยก็ว่าได้

สิ่งที่ทำให้ Tokyo Story กลายเป็นตำนาน คือ หนังเล่าเรื่องชีวิตผู้คนได้อย่างเหนือกาลเวลา

แม้เราจะอยู่ในยุคที่มีโซเชียลมีเดีย วิดีโอคอล และเทคโนโลยีที่เชื่อมคนเข้าหากัน แต่ปัญหาที่ Ozu ถ่ายทอดใน Tokyo Story ยังคงเป็นจริง—และอาจรุนแรงกว่าเดิม

… คนยุคนี้ยุ่งกว่าเดิม

ปี 1953 คนออกจากชนบทมาอยู่เมืองใหญ่

ปี 2025 คนอยู่เมืองเดียวกัน กลับไม่มีเวลาให้กัน

เรามีสมาร์ทโฟนที่ติดต่อกันได้ตลอดเวลา แต่กลับพบกันน้อยลงกว่าเดิม

….เทคโนโลยีทำให้เราใกล้กันทางกายภาพ แต่ไกลกันทางจิตใจ

เราคุยกับพ่อแม่ผ่าน ไลน์ วิดีโอคอล แต่แทนความอบอุ่นของการอยู่ด้วยกันไม่ได้

เรามีกลุ่มแชตครอบครัว แต่กลับไม่รู้ว่าแต่ละคนใช้ชีวิตอย่างไร

โลกดิจิทัลทำให้เรา “เชื่อมต่อกัน” แต่ไม่ได้ทำให้เรา “เข้าใจกัน”

หลายคนคิดว่า “เดี๋ยวค่อยกลับไปเยี่ยมพ่อแม่” แต่สุดท้ายอาจไม่มีโอกาสนั้น

เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว…พอเจอกันเรากลับก้มหน้าใส่กันและโฟกัสที่หน้าจอเล็ก ๆ ในมือเรา

เช่นเดียวกับใน Tokyo Story ที่แม่จากไปโดยที่ลูก ๆ ไม่ทันตระหนักถึงความสำคัญของเธอ

Tokyo Story ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ แต่มันคือ บทเรียนของชีวิต ที่เตือนให้เราเห็นว่า “อย่าปล่อยให้ความสัมพันธ์จางหายไปเพราะชีวิตที่เร่งรีบ”

ความสำเร็จทางการงานซื้อความสะดวกสบายได้ แต่ไม่อาจแทนที่ความอบอุ่นของครอบครัว

ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ถ้าไม่ดูแลกันในวันนี้ อาจไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ทำเช่นนั้นอีก

72 ปีผ่านไป โลกเปลี่ยนไปอย่างมาก เรามีเครื่องมือที่เชื่อมโยงกันได้ตลอดเวลา แต่ความสัมพันธ์ยังคงห่างเหินอย่างที่ Ozu เคยบอกเราไว้ในหนัง Tokyo Story