ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup เวียดนามอุดหนุนการลงทุน 50% ดึงนักลงทุนเซมิคอนดักเตอร์-AI

ASEAN Roundup เวียดนามอุดหนุนการลงทุน 50% ดึงนักลงทุนเซมิคอนดักเตอร์-AI

5 มกราคม 2025


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 29 ธันวาคม 2567-4 มกราคม 2568

  • เวียดนามอุดหนุนการลงทุน 50% ดึงนักลงทุนเซมิคอนดักเตอร์-AI
  • เวียดนามเร่งทำแผนปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจเสร็จไตรมาส 1
  • เวียดนามส่งออกสินค้าเกษตรทุบสถิติในปี 2567
  • อินโดนีเซียตั้งเป้าเลิกนำเข้าน้ำมันดีเซลปี 2569 จากการใช้ B50
  • อินโดนีเซียกำหนดจำหน่ายไบโอดีเซล 15.6 ล้านกิโลลิตรในปี 2568
  • อินโดนีเซียผู้นำเข้าข้าวอันดับหนึ่งของเมียนมาในช่วงเม.ย.-พ.ย
  • รัฐบาลทหารพม่าออกกฎหมายความปลอดภัยทางไซเบอร์
  • กัมพูชาประกาศแนวทางธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัล

    เวียดนามอุดหนุนการลงทุน 50% ดึงนักลงทุนเซมิคอนดักเตอร์-AI

    ที่มาภาพ: https://vietnamnet.vn/en/vietnam-seeks-to-attract-large-projects-from-global-semiconductor-manufacturers-2179564.html
    เวียดนามได้ออกกฎหมายที่อนุญาตให้รัฐบาลสนับสนุนเงินทุนได้มากถึง 50% ของมูลค่าการลงทุนเริ่มแรกสำหรับธุรกิจที่มีส่วนร่วมในโครงการเซมิคอนดักเตอร์และการวิจัยและพัฒนา(R&D) AI

    การสนับสนุนนี้ระบุไว้ในกฎหมายฉบับที่ 182 ซึ่งได้มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เพื่อจัดตั้ง จัดการ และดำเนินการกองทุนสนับสนุนการลงทุน(Investment Support Fund )

    ภายใต้กฎหมายนี้ ธุรกิจที่มีสิทธิ์ได้รับการสนับสนุนจะต้องไม่มีหนี้สินที่เกี่ยวข้องกับภาษีหรืองบประมาณ โครงการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาจะต้องส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศนวัตกรรม และมีส่วนช่วยในการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ล้ำสมัยสำหรับเวียดนาม

    โครงการศูนย์ R&D จะต้องสอดคล้องกับรายชื่ออุตสาหกรรมไฮเทคที่ได้รับการจัดลำดับความสำคัญ และต้องมีเงินลงทุนขั้นต่ำ 3 ล้านล้านด่องเวียดนาม (117.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยจะมีการเบิกจ่ายอย่างน้อย 1 ล้านล้านด่องเวียดนามภายใน 3 ปีหลังจากได้รับการอนุมัติลงทุน

    นอกเหนือจากการสนับสนุนเฉพาะสำหรับเซมิคอนดักเตอร์และ AI ยักษ์ใหญ่แล้ว องค์กรเทคโนโลยีอื่นๆ ยังมีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือทั่วไปอีกด้วย ซึ่งรวมถึงองค์กรที่มีเทคโนโลยีสูง บริษัทที่มีโครงการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีสูง และผู้ที่ลงทุนในศูนย์ R&D หรือการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง

    การสนับสนุนทั่วไปประกอบด้วยเงินทุนสำหรับการฝึกอบรมและการพัฒนาบุคลากร ต้นทุนด้านการวิจัยและพัฒนา การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนกรณีอื่น ๆ จะได้รับการพิจารณาอนุมัติโดยรัฐบาล

    กองทุนสนับสนุนการลงทุนเป็นกองทุนระดับชาติที่จัดการโดยกระทรวงการวางแผนและการลงทุน มีหน้าที่รับ จัดการ และใช้งบประมาณของรัฐและทรัพยากรทางกฎหมายอื่นๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ธุรกิจ

    ก่อนที่จะมีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกานี้ เวียดนามพลาดโครงการลงทุนหลายโครงการจากยักษ์ใหญ่ระดับโลก

    ในรายงานถึงเหตุที่ต้องร่างกฎหมายนี้ กระทรวงการวางแผนและการลงทุนเปิดเผยว่าบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งมองหาโอกาสในการลงทุนในเวียดนาม แต่ย้ายไปประเทศอื่นเนื่องจากขาดกฎระเบียบที่เฉพาะเจาะจง

    โครงการไฮเทคขนาดใหญ่บางโครงการก็หยุดชะงักเพื่อรอการตอบสนองเชิงนโยบาย และระงับการลงทุนหรือการขยายใหม่ชั่วคราว หากไม่มีมาตรการสนับสนุนที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น LG ระงับแผนการลงทุนในโครงการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐชั่วคราว

    วันที่ 11 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการถาวรแห่งสมัชชาแห่งชาติเวียดนาม ให้ความชอบในการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการลงทุน (Investment Support Fund) เพื่อช่วยเหลือบริษัทข้ามชาติและบริษัทต่างประเทศที่ลงทุนในเวียดนาม ที่จะต้องเจอกับการใช้อัตราภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก (global minimum tax) ในอัตรา 15% โดยมอบหมายให้รัฐบาลเวียดนาม ออกกฎหมายจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการลงทุน

    เวียดนามเร่งทำแผนปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจเสร็จไตรมาส 1

    รองนายกรัฐมนตรี โฮ่ ดึ๊ก ฟ้อก เวียดนาม ที่มาภาพ:https://en.baochinhphu.vn/plans-for-restructuring-soes-must-be-finalized-in-first-quarter-111250104093015951.htm
    เมื่อวันศุกร์(3 ม.ค.2568) การประชุมเพื่อทบทวนความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างและการจัดการรัฐวิสาหกิจใหม่สำหรับช่วงปี 2564-2569 ที่กรุงฮานอย เวียดนาม รองนายกรัฐมนตรี โฮ่ ดึ๊ก ฟ้อก ได้ขอให้กระทรวง หน่วยงาน และท้องถิ่นจัดทำแผนการปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจ ให้เสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปี 2568

    ปัจจุบัน รัฐบาลลงทุนในรัฐวิสาหกิจจำนวน 667 แห่ง โดยที่รัฐวิสาหกิจจำนวน 117 แห่งมีแผนการปรับโครงสร้างที่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานผู้มีอำนาจแล้ว คิดเป็น 17% ของจำนวนรัฐวิสาหกิจทั้งหมด

    รัฐได้ทุ่มเงิน 1,752,736 พันล้านด่องในรัฐวิสาหกิจซึ่งมีรายได้ถึง 2,761,271 พันล้านด่องในปี 2566 เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปี 2565 จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง

    หลังจากการยุบคณะกรรมการเพื่อการจัดการทุนของรัฐวิสาหกิจ (Committee for Management of State Capital at Enterprises :CMSC) เมื่อเร็วๆ นี้ สิทธิในการจัดการรัฐวิสาหกิจได้ถูกโอนไปยังกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ

    รองนายกรัฐมนตรียังขอให้กระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ดำเนินการทบทวนการดำเนินการตามมติหมายเลข 12-NQ/TW ขอคณะกรรมการกลางพรรคชุดที่ 12 ว่าด้วยการปรับโครงสร้าง นวัตกรรม และเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอให้กระทรวงและหน่วยงานต่างๆ พิจารณาหาแนวทางการแก้ไขและเพิ่มเติมกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการจัดการและการใช้ทุนของรัฐในวิสาหกิจ

    เวียดนามส่งออกสินค้าเกษตรทุบสถิติในปี 2567

    ที่มาภาพ: https://tuoitrenews.vn/news/business/20241231/vietnam-sets-new-records-for-agricultural-exports-in-2024/83670.html
    การส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของเวียดนามสูงถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนในปี 2567 โดยหลายภาคส่วนบรรลุเป้าหมายที่สำคัญ เช่น การส่งออกกาแฟการส่งออกกาแฟมีมูลค่าเกินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และการขนส่งเม็ดมะม่วงหิมพานต์เกินกว่า 4 พันล้านดอลลาร์

    มูลค่าการส่งออกกาแฟของประเทศทะลุระดับ 5 พันล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก โดยมีรายได้ 5.2 พันล้านดอลลาร์ แม้ปริมาณการส่งออกจะลดลง 14%ก็ตาม

    เหงียน นาม ไฮ ประธานสมาคมกาแฟ-โกโก้เวียดนาม(Vietnam Coffee-Cocoa Association) ชี้ว่า ความสำเร็จในการส่งออกกาแฟมาจากราคาในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งแตะระดับสูงสุดที่ 5,720 ดอลลาร์ต่อตันในเดือนตุลาคม

    ด้วยราคาเฉลี่ยต่อปีที่ 5,580 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน กาแฟโรบัสต้าของเวียดนามมีราคาสูงที่สุดในโลก และยังแซงหน้าเมล็ดอาราบิกาของประเทศอื่นๆ ในบางครั้ง จากข้อมูลของหน่วยงานการค้าต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า

    ในส่วนเม็ดมะม่วงหิมพานต์ก็เป็นปีแห่งความสำเร็จด้วยมูลค่าการส่งออกสูงถึง 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีปริมาณทะลุ 700,000 ตันเป็นครั้งแรก แม้ต้นทุนด้านโลจิสติกส์จะสูงขึ้น แต่ภาคส่วนนี้ก็เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยความต้องการที่แข็งแกร่งจากตลาดเดิม เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป

    T. Diem ผู้ส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดบิ่ญเฟื้อก ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนาม กล่าวว่า เม็ดมะม่วงหิมพานต์แปรรูปของเวียดนามได้รับความนิยมมากขึ้น จากราคาและคุณภาพที่แข่งขันได้

    ส่วนการส่งออกข้าวทำสถิติสูงสุดที่ 9 ล้านตัน ทำรายได้ 5.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 8.1 ล้านตันในปี 2566

    ผู้ส่งออกข้าวในท้องถิ่นในจังหวัดด่งท้าบที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งเน้นพันธุ์ข้าวคุณภาพสูงและมีกลิ่นหอม ได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมากจากผู้ซื้อจากต่างประเทศ

    ผู้ส่งออกข้าวรายนี้เปิดเผยว่าพันธุ์ข้าวหอมที่มีมูลค่าสูงอย่าง Dai Thom 8 และ OM 18 ได้กลายเป็นสินค้ายอดนิยมของนานาชาติ ซึ่งสร้างผลกำไรให้กับทั้งเกษตรกรและผู้ส่งออก

    ความสำเร็จที่ทำลายสถิติครั้งนี้ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งและการเติบโตของภาคส่วนข้าวในปี 2567 เหงียน ง็อก นาม ประธานสมาคมอาหารเวียดนาม(Vietnam Food Association) กล่าวและว่า ราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยที่ 600 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบเป็นรายปี ตอกย้ำตำแหน่งของเวียดนามในฐานะผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก

    มูลค่าการส่งออกผักและผลไม้เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับ 7.1 พันล้านดอลลาร์ปีที่ ในบรรดาสินค้าส่งออก กล้วยเวียดนามแซงหน้าฟิลิปปินส์ในฐานะตัวเลือกอันดับต้นๆ ของผู้บริโภคชาวจีน

    การส่งออกทุเรียน รวมถึงทุเรียนแช่แข็ง เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบรายปี แตะ 3.2 พันล้านดอลลาร์ สินค้าทางการเกษตรอื่นๆ เช่น มะพร้าวสด ก็กลายเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมตัวใหม่ในตลาดจีนเช่นกัน

    ดัง ฟุ๊ก เหงียน เลขาธิการสมาคมผักและผลไม้เวียดนาม (ชVietnam Fruit and Vegetable Association) กล่าวว่า ผักและผลไม้ของเวียดนามมีความได้เปรียบในตลาดโลกมากขึ้น เนื่องจากอุปทานที่อุดมสมบูรณ์ คุณภาพที่ดีขึ้น และราคาที่แข่งขันได้

    แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ภาคเกษตรกรรมของเวียดนามต้องเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ โดยราคาข้าวกำลังลดลง ข้าวหัก 5% ลดลงเหลือ 485 ดอลลาร์ต่อตันในช่วงต้นธีนวาคม ต่ำกว่าราคาข้าวไทยที่ 501 ดอลลาร์ต่อเมตริกตัน และร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 19 เดือน

    การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากอินเดีย อาจกดดันการส่งออกในปี 2568 ต่อไป ขณะที่เหงียน ง็อก นาม ประธานสมาคมอาหารเวียดนาม คาดการณ์ว่าการแข่งขันในตลาดข้าวโลกจะรุนแรงขึ้น

    ผู้ส่งออกข้าวรายหนึ่งในนครโฮจิมินห์ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ โดยย้ำถึงความสำคัญของการมุ่งเน้นไปที่คุณภาพและใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีเพื่อขยายไปสู่ตลาดที่มีมูลค่าสูง

    ในทำนองเดียวกัน ผักและผลไม้ก็เผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะแก้วมังกรต้องดิ้นรนเพื่อแข่งขันกับทางเลือกอื่นของจีนที่มีราคาไม่แพงมาก

    ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมแนะนำให้เวียดนามมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มการส่งออกไปยังตลาดที่มีความต้องการเช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ขณะเดียวกันก็ลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น มะม่วงแช่แข็ง ทุเรียน และขนุน

    กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทได้อนุมัติแผนการปลูกทดแทนและยกระดับพื้นที่ปลูกกาแฟเกือบ 110,000 เฮกตาร์ภายในปี 2568 เพื่อส่งเสริมการเติบโตต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าเพิ่มรายได้จากการส่งออก 12% ต่อปี

    ในขณะเดียวกัน ตั้งเป้าหมายการส่งออกผักและผลไม้ที่ 8 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่กลุ่มอาหารทะเลตั้งเป้าที่จะสร้างรายได้จากการส่งออก 11-12 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2568

    อินโดนีเซียตั้งเป้าเลิกนำเข้าน้ำมันดีเซลปี 2569 จากการใช้ B50

    อันดิ อัมราน สุลไนมา รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรเติมเชื้อเพลิงไบโอดีเซล B50 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 ในการเปิดตัว B50 ที่มาภาพ:https://www.thejakartapost.com/indonesia/2024/08/19/agriculture-minister-launches-b50-biodiesel-in-south-kalimantan.html

    อินโดนีเซียตั้งเป้าว่าปี 2569 ที่จะ ยุติการนำเข้าน้ำมันดีเซลด้วยเชื้อเพลิงชนิดใหม่ B50 ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่มีน้ำมันปาล์มดิบผสม 50% โดยรัฐบาลกำลังเตรียมที่จะเริ่มบังคับใช้ B50 ในปี 2569 เพื่อเลิกการนำเข้าน้ำมันดีเซล จากการเปิดเผยของรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ นายบาห์ลิล ลาฮาดาลีอะ

    รัฐบาลจะเริ่มบังคับใช้น้ำมัน B40 ในปีนี้ ในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ขณะที่เตรียมการใช้น้ำมัน B50 ในปีหน้า โดยมีเป้าหมายที่จะลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดีเซล

    “หากเราทำแบบนี้ได้ จะไม่มีการนำเข้าน้ำมันดีเซลอีกต่อไปในปี 2569” นายลาฮาดาลีอะกล่าวเมื่อวันศุกร์(3 ม.ค.2568) และว่า โครงการ B50 สอดคล้องกับคำสั่งของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโตในการบรรลุความมั่นคงด้านพลังงาน

    นายลาฮาดาลีอะมองว่าการนำ B50 ไปใช้จะเพิ่มปริมาณสำรองพลังงานของอินโดนีเซีย และสนับสนุนเป้าหมายในการเพิ่มความสามารถในการตอบสนองความต้องการพลังงานภายในประเทศ

    “นี่เป็นการทำตามคำสั่งของประธานาธิบดีในเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการนำเข้า” นายลาฮาดาลีอะกล่าว

    ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีช่วยว่าการ นายยูเลียต ตันหยง กล่าวว่า นโยบายบังคับใช้ไบโอดีเซล B40 จะดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้

    B40 เป็นส่วนผสมของน้ำมันดีเซล 60% และเชื้อเพลิงชีวภาพ 40% ที่ทำจากน้ำมันปาล์ม

    นายตันหยงชี้ว่าแม้ B40 จะมีผลบังคับในวันที่ 1 มกราคม แต่โครงการยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านซึ่งมีระยะเวลาประมาณ 1.5 เดือน ในช่วงเวลานี้ สต็อกเชื้อเพลิงที่เหลืออยู่จะถูกนำมาใช้ และมีการอัปเดตเทคโนโลยี พร้อมคาดว่าระยะแรกของโครงการ B40 คาดว่าจะผลิตไบโอดีเซลได้ 15.6 ล้านกิโลลิตร โดยจะมีการผลิตต่อเนื่องเป็นขั้นตอนตลอดทั้งปี

    กระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ตั้งเป้าที่จะสรุปกฎระเบียบสำหรับโครงการไบโอดีเซล B40 ในสัปดาห์นี้

    อินโดนีเซียกำหนดจำหน่ายไบโอดีเซล 15.6 ล้านกิโลลิตรในปี 2568

    ที่มาภาพ: https://en.tempo.co/read/1938466/indonesia-needs-seven-to-nine-additional-biodiesel-plants-to-implement-b40
    รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ของอินโดนีเซียลงนามในคำสั่งเมื่อวันศุกร์ (3 ม.ค.2568) กำหนดปริมาณไบโอดีเซลสำหรับการจำหน่ายในปี 2568 ไว้ที่ 15.6 ล้านกิโลลิตร โดยให้เวลาอุตสาหกรรมจนถึงสิ้นเดือนหน้าเพื่อปรับตัวให้เข้ากับระดับที่สูงขึ้นของไบโอดีเซลในส่วนผสมเชื้อเพลิง

    อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก มีแผนที่จะเริ่มข้อกำหนดบังคับใช้ B40 เชื้อเพลิงไบโอดีเซลที่มีน้ำมันปาล์มผล 40% ในวันที่ 1 มกราคม 2568 เพิ่มขึ้นจาก 35% ในปัจจุบัน

    “กฎกระทรวงได้มีการลงนามแล้ว” รัฐมนตรีนายบาห์ลิล ลาฮาดาลีอะกล่าวกับผู้สื่อข่าว และเสริมว่า รัฐบาลกำลังทำงานเพื่อเพิ่มส่วนผสมไบโอดีเซลภาคบังคับเป็น 50% ในปีหน้า

    เอนิยา ลิสตอานี เดวี เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงกล่าวว่า ผู้ผลิตไบโอดีเซลและผู้ค้าปลีกเชื้อเพลิงจะมีเวลาจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ในการปรับตัวใช้ B40 สำหรับความล่าช้าเกิดจากความท้าทายด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการอุดหนุนน้ำมันเชื้อเพลิง

    การไม่เริ่มใช้ในวันที่ 1 มกราคม ส่งผลให้สัญญามาตรฐานน้ำมันปาล์มของมาเลเซียลดลง 2.6% เมื่อวันพฤหัสบดี(2 ม.ค.) แต่ฟื้นตัวประมาณร้อยละ 1% ในวันศุกร์

    ผู้ค้าปลีกเชื้อเพลิงและผู้ผลิตไบโอดีเซลกล่าวว่า พวกเขาไม่สามารถจัดทำสัญญาจำหน่ายไบโอดีเซลได้หากไม่มีคำสั่ง

    การจัดสรรไบโอดีเซลสำหรับปี 2568 เพิ่มขึ้นจากปริมาณการใช้ไบโอดีเซลโดยประมาณ 12.98 กิโลลิตร ในปี 2567 จากข้อมูลกระทรวงที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์

    จากการจัดสรรทั้งหมดสำหรับปีนี้ ปริมาณ 7.55 ล้าน กล. เป็นภาระผูกพันในการบริการสาธารณะ (PSO) ซึ่งครอบคลุมภาคส่วนต่างๆ เช่น การขนส่งสาธารณะ ซึ่งยอดขายจะได้รับเงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันปาล์มของประเทศ

    “โควต้าที่เหลือจะขายในราคาตลาด โควต้าที่จัดสรรให้กับภาคส่วนที่ไม่ใช่ PSO กำหนดไว้ที่ 8.07 ล้าน กล.” นายบาห์ลิลกล่าวและว่า กองทุนนี้ไม่สามารถอุดหนุนส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันปาล์มและเชื้อเพลิงฟอสซิลสำหรับการจัดสรรโดยรวมได้

    BPDPKS ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการรวบรวมและจัดการกองทุนน้ำมันปาล์ม คาดการณ์ว่าในเดือนพฤศจิกายน B40 จะต้องได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้น 68%

    เพื่อชดเชยการอุดหนุน อินโดนีเซียวางแผนที่จะเพิ่มภาษีการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เป็น 10% จาก 7.5% ในปัจจุบัน แต่ก็ต้องใช้กฎระเบียบอย่างเป็นทางการฉบับอื่น

    อินโดนีเซียผู้นำเข้าข้าวอันดับหนึ่งของเมียนมาในช่วงเม.ย.-พ.ย

    ที่มาภาพ:https://www.gnlm.com.mm/indonesia-tops-myanmar-rice-imports-in-apr-nov/#article-title
    อินโดนีเซียเป็นคู่ค้าค้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของเมียนมาด้วยปริมาณมากกว่า 480,000 ตันในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาของปีงบประมาณปัจจุบัน 2567-2568 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ตามข้อมูลของสมาพันธ์ข้าวเมียนมา (Myanmar Rice Federation:MRF)

    จีนเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่อันดับสองของเมียนมา ด้วยปริมาณกว่า 355,000 ตัน รองลงมาคือเบลเยียม 246,900 ตัน ฟิลิปปินส์กว่า 128,300 ตัน เซเนกัลกว่า 44,300 ตัน โมซัมบิก 43,100 ตัน โกตดิวัวร์ 37,000 ตัน สเปน 30,000 ตัน แคเมอรูนกว่า 27,100 ตัน เนเธอร์แลนด์ 17,500 ตัน ไอวอรีโคสต์กว่า 13,900 ตัน อิตาลีกว่า 13,300 ตัน และโปแลนด์กว่า 12,300 ตัน

    สถิติของ MRF เผยให้เห็นว่าการส่งออกข้าวและข้าวหักของเมียนมาอยู่ที่ 1.7 ล้านตันในช่วงเดือนเมษายน-พฤศจิกายน โดยมีมูลค่าประมาณ 804 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สมาพันธ์มีเป้าหมายที่จะส่งออกข้าว 2.5 ล้านตันในปีงบประมาณ 2567-2568 (เมษายน-มีนาคม)

    กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับหน่วยงานและสถาบันที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการส่งออกรายเดือนและอื่นๆ ขึ้นอยู่กับปริมาณอุปทานข้าว ข้าวหัก ถั่วลันเตา ข้าวโพด ยางพารา และการประมงจากบริษัทที่เกี่ยวข้อง

    กระทรวงพาณิชย์ทำงานร่วมกับสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมแห่งสหภาพเมียนมา สหพันธ์ข้าวเมียนมา(Myanmar Rice Federation) สมาคมพ่อค้าถั่วเมียนมาถั่ว ข้าวโพด และเมล็ดงา (Myanmar Pulses Beans, Maize and Sesame Seeds Merchants Association) สมาคมผู้ผลิตเครื่องนุ่งห่มเมียนมา (Myanmar Garment Manufacturers Association) สมาคมอุตสาหกรรมเมียนมา(Myanmar Industries Association) ยางเมียนมาร์ สมาคมผู้ปลูกยางและผู้ผลิตเมียนมา(Myanmar Rubber Planters and Producers Association) สมาคมผู้แปรรูปผลิตภัณฑ์ประมงและผู้ส่งออกเมียนมา (Myanmar Fisheries Products Processors and Exporters Association) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการส่งออกรายเดือนและอำนวยความสะดวกในการส่งออก

    สหพันธ์ฯ คาดว่าจะส่งออกข้าวได้ 2.5 ล้านตันในปีงบประมาณ 2566-2567 และมีรายได้ 1 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม การส่งออกข้าวไม่เป็นไปตามเป้าหมายโดยส่งออกได้เพียง 1.6 ล้านตัน มูลค่า 845 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    นโยบายการเงินของธนาคารกลางเมียนมาในการควบคุมรายได้จากการส่งออกเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกข้าว ส่งผลกระทบทางการเงินแก่ผู้ส่งออก สภาพอากาศเอลนิโญก็มีผลกระทบต่อการส่งออกข้าว จากการให้ความเห็นของประธานสมาพันธ์ข้าวเมียนมา

    เมียนมาส่งออกข้าวและข้าวหักจำนวน 2,261,203 ตันไปยังคู่ค้าต่างประเทศในช่วงปีงบประมาณ 2565-2566 ที่ผ่านมา (เมษายน-มีนาคม) โดยมีมูลค่าประมาณ 853.472 ล้านดอลลาร์

    รัฐบาลทหารพม่าออกกฎหมายความปลอดภัยทางไซเบอร์

    ที่มาภาพ: https://eng.mizzima.com/2025/01/04/17960
    รัฐบาลทหารประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 กำหนดโทษจำคุกและโทษปรับสำหรับบุคคลที่สร้างหรือให้บริการเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (Virtual Private Network:VPN) โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ ผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดอาจถูกจำคุกตั้งแต่ 1-6 เดือน และปรับระหว่าง 1 ล้านจั๊ต ถึง 10 ล้านจั๊ต หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าวจะถูกยึด

    กฎหมายยังกำหนดบทลงโทษที่เข้มงวดสำหรับความผิดทางไซเบอร์อื่น ๆ รวมถึงการพนันออนไลน์โดยไม่ได้รับอนุญาต การละเมิดทางไซเบอร์ และการใช้สกุลเงินดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต ตัวอย่างเช่น ใครก็ตามที่สร้างระบบการพนันออนไลน์โดยไม่ได้รับการอนุมัติ จะต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปี ปรับระหว่าง 5 ล้านถึง 20 ล้านจั๊ต หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมทั้งการยึดทรัพย์สิน

    รัฐบาลทหารอ้างว่า กฎหมายมีความจำเป็นในการสืบสวนอาชญากรรมไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ และปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ การโจมตี และการใช้เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ในทางที่ผิด

    อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์แย้งว่า กฎหมายเป็นอีกมาตรการหนึ่งในการปราบปรามเสรีภาพในการแสดงออกและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต รัฐบาลทหารจำกัดการใช้อินเทอร์เน็ตหลังรัฐประหารปี 2564 และบล็อก Facebook ส่งผลให้ผู้ใช้จำนวนมากต้องพึ่งพา VPN เพื่อหลีกเลี่ยงการควบคุมเหล่านี้

    “รัฐบาลทหารกำลังใช้การควบคุมในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของตน แต่ไม่สามารถบังคับใช้ข้อจำกัดเดียวกันได้ทุกที่ นี่เป็นเพียงวิธีการกำหนดเป้าหมายและควบคุมบุคคล” อู จี มี้นต์ ทนายความกล่าว

    กฎหมายยังกำหนดให้ผู้ให้บริการความปลอดภัยทางไซเบอร์และแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีผู้ใช้มากกว่า 100,000 รายในเมียนมาต้องลงทะเบียน รัฐบาลขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจสอบหรือควบคุมธุรกิจเหล่านี้ตามที่เห็นสมควร สูตรอาหารพม่า

    ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายความปลอดภัยทางไซเบอร์ว่าเกินขอบเขต

    “ไม่มีหลักนิติธรรม พวกเขาใช้กฎหมายโดยพลการเพื่อเพิ่มอำนาจในมือ ประชาชนจะต้องระมัดระวังเกี่ยวกับพัฒนาการเหล่านี้” ทนายความอีกคนกล่าว

    กฎหมายประกอบด้วยบทบัญญัติในการลงโทษผู้ที่แจกจ่าย ส่ง หรือขายข้อมูลที่ถือว่าไม่เหมาะสมต่อสาธารณะด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีบทลงโทษเช่นเดียวกับการใช้ VPN โดยไม่ได้รับอนุญาต

    นักวิจารณ์กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นอีกก้าวหนึ่งในการจำกัดเสรีภาพทางดิจิทัลในเมียนมา โดยทำให้ประชากรแตกแยกออกไปอีกและปิดปากผู้เห็นต่าง

    กัมพูชาประกาศแนวทางธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัล

    ที่มาภาพ: https://cambojanews.com/explainer-how-cambodias-central-bank-addressed-economic-challenges-during-the-pandemic/
    เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2567 ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) ได้ออกประกาศควบคุมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล(cryptoasset)ในระบบการเงินของประเทศ นับเป็นก้าวสำคัญของกัมพูชาในการยอมรับการเงินดิจิทัล ขณะเดียวกันก็คงการกำกับดูแลด้านกฎระเบียบและความมั่นคงทางการเงิน

    ตามประกาศ ซึ่งสำนักข่าว Khmer Times ได้มานั้น ความคิดริเริ่มของ NBC อยู่บนพื้นฐานของกฎหมายว่าด้วยการธนาคารและสถาบันการเงิน(Law on Banking and Financial Institutions) เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพทางการเงิน ขณะเดียวกันก็จัดการกับความท้าทายและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการใช้สินทรัพย์คริปโท

    “NBC ได้ตัดสินใจที่จะใช้ประกาศกับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ cryptoassets เพื่อควบคุมธุรกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์คริปโทกลุ่มที่ 1 ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารและสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตามประกาศนี้ไม่อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ถือครองกลุ่มที่ 2 ของสกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโทเคอร์เรนซี เช่น unbacked crypto-asset (สินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่มีสินทรัพย์อื่นหนุนหลัง) และสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น Bitcoin” NBC กล่าว

    NBC ระบุว่า ประกาศอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ ผู้ให้บริการการชำระเงินภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งชาติกัมพูชา และนิติบุคคลอื่น ๆ ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ cryptocurrency โดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติล่วงหน้าหรือได้รับอนุญาตจาก NBC

    “ประกาศนี้ใช้กับธนาคารพาณิชย์และสถาบันบริการการชำระเงินทุกแห่งภายใต้การกำกับดูแลของ NBC สถาบันเหล่านี้พร้อมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่ประสงค์จะดำเนินงานในฐานะผู้ให้บริการ Cryptoasset (CASP) จะต้องปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว” ประกาศระบุ

    CASP หมายถึง องค์กรที่นำเสนอบริการต่างๆ เช่น การแลกเปลี่ยน การโอน หรือการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัย ประกาศยังสรุปเกณฑ์สำหรับการอนุญาตและการออกใบอนุญาต โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมในกฎระเบียบแยกต่างหาก

    Cryptoassets หมายถึง หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นด้วยการเข้ารหัสและเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology: DLT) สามารถใช้เพื่อการชำระเงิน การลงทุน หรือการเข้าถึงสินค้าและบริการ ประกาศไม่รวมสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) และหลักทรัพย์แบบดั้งเดิมในคำจำกัดความ

    สินทรัพย์ Crypto ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดย กลุ่มที่ 1 ประกอบด้วยสินทรัพย์แบบดั้งเดิมที่เป็นโทเค็น (token) และเหรียญที่มีความมั่นคงสูงหรือ stablecoins ที่เชื่อมโยงกับสินทรัพย์จริงหรือกลุ่มสินทรัพย์ กลุ่ม 1a รวมถึงสินทรัพย์แบบดั้งเดิมที่เป็นโทเค็น เช่น พันธบัตรหรือหุ้น โดยใช้ DLT สำหรับการบันทึกความเป็นเจ้าของ ในทำนองเดียวกัน กลุ่ม 1b เป็น stablecoins โดยมีกลไกในการรักษามูลค่าที่สัมพันธ์กับสินทรัพย์สำรอง ยกเว้น algorithm-based stablecoins(เหรียญที่ไม่ได้รับการสนับสนุนโดยทุนสำรองใด ๆ แต่อุปทานและการหมุนเวียนของเหรียญนั้นถูกควบคุมโดยอัลกอริทึมเท่านั้น) และกลุ่มที่ 2 ครอบคลุมสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ทั้งหมด รวมถึงสกุลเงินดิจิทัลที่ไม่ได้รับการสนับสนุนและที่ไม่เชื่อมโยงกับสินทรัพย์จริง

    “แต่ละกลุ่มอยู่ภายใต้เกณฑ์เฉพาะเพื่อรับรองเสถียรภาพและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ” ประกาศระบุ

    เพื่อการกำกับดูแลและการบริหารความเสี่ยง ประกาศกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์สร้างโครงสร้างการกำกับดูแลที่แข็งแกร่ง และระบบบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมเพื่อจัดการกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล คณะกรรมการมีหน้าที่ในการอนุมัตินโยบาย การกำกับดูแลที่มีประสิทธิผล และติดตามการปฏิบัติตามกรอบการบริหารความเสี่ยง

    “นโยบายความเสี่ยงจะต้องจัดการกับประเด็นต่างๆ ที่หลากหลาย รวมถึงความเสี่ยงด้านเครดิต การตลาด และการดำเนินงาน ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี รวมถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และ ICT (สารสนเทศ การสื่อสาร เทคโนโลยี) ความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียง และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการฟอกเงิน (AML) ) และมาตรฐานการจัดการกับการสนับสนุนทางการเงินแก่การต่อต้านการก่อการร้าย (CFT)” ประกาศระบุ

    ผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่รับผิดชอบในการนำนโยบายที่ได้รับอนุมัติไปใช้และดูแลให้นโยบายดังกล่าวได้รับการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิผล

    ธนาคารพาณิชย์ที่ต้องการมีส่วนร่วมในกิจกรรม cryptoasset จะต้องได้รับการอนุมัติล่วงหน้าจาก NBC หลีกเลี่ยงการออกสินทรัพย์ crypto ของตนเอง งดเว้นการทำธุรกรรมโดยตรงหรือโดยอ้อมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ crypto กลุ่ม 2

    สำหรับสินทรัพย์กลุ่ม 1 ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามขีดจำกัดความเสี่ยง โดย กลุ่ม 1a จะต้อง ไม่เกิน 5% ของเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นตราสารทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (Common equity tier 1:CET1) และกลุ่ม 1b จะต้องไม่เกิน 3%ของ CET1

    การยื่นขออนุมัติจาก NBC จะต้องมีผลการตัดสินใจของคณะกรรมการ การประเมินผลกระทบทางการเงิน การตรวจสอบสถานะทางกฎหมาย และแผนธุรกิจระยะ 3 ปี โดย NBC จะแจ้งกลับภายใน 60 วันทำการ

    “สำหรับบทบาทของ CASP หน่วยงานที่ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น การแลกเปลี่ยน การโอน หรือการดูแล จะต้องได้รับใบอนุญาตจาก NBC

    “อย่างไรก็ตาม CASP ถูกห้ามไม่ให้ใช้ cryptoassets ของลูกค้าเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจของตนเอง ห้ามส่งเสริม cryptoassets เป็นวิธีการชำระเงิน และห้ามโฆษณา cryptoassets เฉพาะ แม้จะโฆษณาบริการของตนเองก็ตาม

    “CASP จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการปฏิบัติตามมาตรฐานการกำกับดูแลและการบริหารความเสี่ยงที่เทียบเท่ากับมาตรฐานที่กำหนดกับธนาคารพาณิชย์” NBC อธิบาย

    สำหรับมาตรการและการลงโทษ ประกาศได้สรุปบทลงโทษที่เข้มงวดสำหรับการไม่ปฏิบัติตาม คือ ค่าปรับสูงสุด 500 ล้านเรียลต่อธุรกรรมสำหรับกิจกรรมต้องห้าม เช่น การเปิดเผยข้อมูลกลุ่ม 2 ค่าปรับรายวันสำหรับการดำเนินการแก้ไขที่ล่าช้าหรือการรายงานความล้มเหลว และบทลงโทษอื่น ๆ สำหรับการละเมิด การบริหารความเสี่ยงหรือแนวปฏิบัติ

    มาตรการดังกล่าวย้ำถึงความมุ่งมั่นของ NBC ในการบังคับใช้กฎระเบียบและดูแลไม่ให้มีการละเมิด รวมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางที่รอบคอบและการมองไปข้างหน้าของ NBC ในการบูรณาการสินทรัพย์ crypto เข้ากับระบบการเงิน