ThaiPublica > ประเด็นร้อน > Adaptation รับมือโลกเดือด > เอ.เจ.พลาสท์ ชี้ ESG ต้องอยู่ในสิ่งที่เราทำทุกวัน สร้างมิติใหม่ชู “ซัพพลายเชน-คู่ค้า” ร่วมก้าวสู่ความยั่งยืน

เอ.เจ.พลาสท์ ชี้ ESG ต้องอยู่ในสิ่งที่เราทำทุกวัน สร้างมิติใหม่ชู “ซัพพลายเชน-คู่ค้า” ร่วมก้าวสู่ความยั่งยืน

3 มกราคม 2025


นายทศพล จินันท์เดช รองกรรมการผู้จัดการและรักษาการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอ.เจ.พลาสท์ จำกัด (มหาชน)

“อุตสาหกรรมพลาสติก” ถูกมองเป็นผู้ร้ายมาโดยตลอด ท่ามกลางกระแสสังคมจากคู่ค้า คู่แข่ง ผู้บริโภค และสังคม ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ ต่างตระหนักที่จะยกระดับคุณภาพและมาตรฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งมาตรฐานโลก มาตรฐานในประเทศที่เข้มขึ้น

นายทศพล จินันท์เดช รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ.เจ.พลาสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าอุตสาหกรรมพลาสติกมีประเด็นเกี่ยวข้องกับข่าวเชิงลบของพลาสติกค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการต้องพยายามพัฒนาต่อเพื่อไม่ให้พลาสติกถูกมองเป็นผู้ร้าย ประกอบกับปัจจุบันโลกให้ความสนใจในเรื่อง ESG (Environment, Social and Governance ) เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คู่ค้า และลูกค้ามาผลักดันให้เราทำเรื่อง ESG ต่อเนื่อง

“ลูกค้าอย่างกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นบริษัทข้ามชาติระดับโลก มีนโยบายชัดเจน ซึ่งมีส่วนผลักดันให้เราต้องทำ ESG อย่างต่อเนื่อง อย่างการส่งออกไปญี่ปุ่น เน้นความโปร่งใส จรรยาบรรณ รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างไรให้ยั่งยืน เขาไม่ได้มองแค่เรื่องปัจจัยการผลิต แต่มองว่าทำอย่างไรให้บรรจุภัณฑ์ ยืดอายุสินค้าข้างในได้นานที่สุด เพราะมองว่า waste ไม่ใช่หมายถึงแพคเกจจิ้ง แต่เป็นสินค้าที่อยู่ข้างใน อาทิ ขนม อาหาร ขนมปัง ข้าว แม้กระทั่งอาหารสัตว์ เขาต้องการยืดอายุให้นานที่สุดเพื่อไม่ให้กลายเป็น waste เราได้รับการปลูกฝังมาโดยตลอดในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ ว่าต้องช่วยลูกค้าในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน“

ประกอบกับนโยบายตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยมีความชัดเจน มีแนวทางเรื่อง ESG ก็นำมาผนวกกับพื้นฐานที่ บมจ. เอ.เจ.พลาสท์ มีอยู่ ตกผลึกเป็นนโยบายความยั่งยืน

“ผมคิดว่าหลักเกณฑ์ของการเติบโตอย่างยั่งยืนคงคล้าย ๆ กัน จุดที่เราต้องการโฟกัสอย่างมาก เรื่องบรรษัทภิบาล สุดท้ายก็เป็นเรื่องของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการดูแลสังคมและชุมชนที่อยู่รอบข้างของเรา”

ล่าสุด บมจ. เอ.เจ. พลาสท์ ได้รับรางวัล Sustainability Excellence : Highly Commended Sustainability Award และCommended Supply Chain Management Award จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ESG ต้องอยู่ในสิ่งที่เราทำทุกวัน

“เรื่องความยั่งยืน ถ้าทำเพื่อตอบได้ว่ามี ESG อันนี้เราจะเหนื่อยมาก แต่ถ้าเราทำโดยเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องประจำวันที่เราทำอยู่แล้ว สอดคล้องกับแนวทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจความยั่งยืนของบริษัทฯ เราจะไม่หลงทาง ไม่หลงทิศ จะต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ” นายทศพลกล่าว

จุดเด่นที่ทำให้บริษัทฯ ได้รางวัลของตลาดหลักทรัพย์ฯ นายทศพลกล่าวว่า “ผมคิดว่า เราทำในสิ่งที่เราทำแล้วเราไม่เหนื่อย แล้วเราทำประจำ ทำได้จริง ๆ ไม่ไปใช้สูตรของที่ไหนหรือทำตามรูปแบบคนอื่น เราทำจากรูปแบบที่เราทำอยู่ นโยบายการจัดการด้านความยั่งยืน และนโยบายต่าง ๆ มาจากทั้งพนักงานนำเสนอสู่ผู้บริหาร และผู้บริหารถ่ายทอดลงมาสู่พนักงาน (bottom up and top down) แล้วเรามาศึกษากัน จากนั้นคณะกรรรมการบริษัท มากลั่นกรอง ดูว่าอะไรที่เหมาะสมจริง ๆ”

“อย่างที่เรียนว่า นโยบายที่เราทำได้ เป็นเพราะว่าเราทำแล้ว เราทำได้ต่อเนื่องจริง ๆ เป็นจุดเด่นของเรา แล้วเราก็สามารถต่อยอดความยั่งยืนไปได้เรื่อย ๆ เรามองอนาคต ทั้งในแง่ที่เป็นแนวดิ่ง เราสามารถร่วมกับทางSupply Chain ห่วงโซ่อุปทานของเรา ร่วมกับคู่ค้าโดยตรงของเรา ร่วมกับลูกค้าที่เป็นเจ้าของแบรนด์ ลงไปถึงชุมชน สังคม และเราสามารถต่อขยายลงไปได้อีก ซึ่งเรามีโครงการที่จะทำต่อไปเรื่อย ๆ”

สำหรับนโยบาย ESG ในเรื่อง E: Environment เป้าหมาย คือ Net Zero ในปี 2050 ซึ่งตอนนี้เรากำลังเร่งดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ปล่อยน้อยที่สุด เช่น ลดการใช้น้ำด้วยการทำบ่อกักเก็บน้ำฝน แล้วก็มาทำกระบวนการภายในใช้น้ำของเราเอง การติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์ ออกแบบมุมของอาคารให้เหมาะสมกับตำแหน่งของการรับแสงแดดในช่วงพีคตามจุดต่าง ๆ ปัจจุบันนำมาใช้ได้ประมาณ 5 เมกะวัตต์ รวมทั้งการรีไซเคิล เป็นต้น ในปีที่ผ่านมาลดไปได้ประมาณ 3 หมื่นตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า

“ยกตัวอย่างการลดที่ได้ผลจริง ๆ คือเรื่องของ Cooling Tower การระบายความร้อนของระบบปรับอากาศในโรงงาน เนื่องจากพื้นที่ของเราอยู่ค่อนข้างสูง แล้วมีอาคารอยู่ พนักงานสังเกตว่ามีกระแสลมดีมาก การออกแบบโรงงานใหม่ แทนที่หอผึ่ง ปกติอยู่หลังอาคาร อยู่ในพื้นที่อับลม เราจับมาอยู่บนพื้นที่สูงสุดของอาคาร แล้วระบายความร้อนได้ดีมาก ตรงจุดนี้ก็สามารถประหยัดพลังงานในการระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

หรือในกระบวนการผลิตที่มีวัสดุเหลือจากกระบวนการตัด ขอบเศษฟิล์ม เศษวัสดุต่าง ๆ ขายได้กิโลกรัมละ 2-3 บาท แต่เป็นเวลามากกว่า 30 ปี ที่บริษัทฯ ได้นำขยะส่วนนี้กลับมารีไซเคิล ทำเป็นวัตถุดิบหมุนเวียนได้อีกครั้ง นำไปทำสายรัดพลาสติกใช้ในการบรรจุสำหรับส่งสินค้า สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้

ในเรื่องของ S: Social ให้ความร่วมมือกับชุมชนโดยรอบบริษัท เรามุ่งพัฒนาศักยภาพของผู้คนและสังคม เราส่งเสริมการพัฒนาชุมชนและสังคม และสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน เช่น การสนับสนุนและพัฒนาการศึกษาให้เยาวชนในพื้นที่ และการดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมความร่วมมืออื่น ๆ กับชุมชนตลอดเวลา

ในส่วนของ G: Governance ตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่สุด เริ่มจากการทำอย่างตรงไปตรงมา เป็นตัวตนของเราให้มากที่สุด โดยมองว่านโยบายจะกำกับอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าตัวตนของเรายังไม่ทำอย่างตรงไปตรงมา ก็ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้

“อันนี้มาจากคณะกรรมการบริหาร ประธานบริษัท ให้นโยบายที่ชัดเจนว่า Governance เป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นเรื่องที่เราอยากให้ทุกระดับ ทุกคนมีความโปร่งใส แล้วสามารถตรวจสอบกันได้หมด อันนี้เป็นจุดที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน ทำอะไร ที่ทำแล้ว เราไม่เหนื่อย เป็นธรรมชาติให้มากที่สุด และทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ”

ฟิล์มพลาสติกของเอ.เจ.พลาสท์

มิติใหม่ร่วมก้าวสู่ความยั่งยืน ‘ซัพพลายเชน-คู่ค้า”

นายทศพลกล่าวต่อในมิติของความยั่งยืน การทำให้เกิดผลครอบคลุมในวงกว้าง จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีพันธมิตรทางธุรกิจมาร่วมกันทำ โดยมองว่าสังคมในอนาคต ถ้าทำโปรเจกต์อะไรต่าง ๆ คนเดียว โอกาสจะสำเร็จในระดับที่ครอบคลุมทั้งประเทศหรือทั้งโลกนั้นยากมาก จะด้วยสเกลของเราเองหรืออื่น ๆ ฉะนั้นจำเป็นต้องหาคู่ที่จะมาร่วมด้วย ทั้งคู่ค้า หรือพันธมิตรทางธุรกิจ หรือองค์กร หรือสังคมที่มาร่วมทำงานด้วยกัน น่าจะทำแล้วมันต่อเนื่องได้มากที่สุด

สำหรับ เอ.เจ. พลาสท์ มีซัพพลายเชนตั้งแต่ต้นน้ำลงไปถึงปลายน้ำ จากต้นน้ำไปถึงลูกค้าที่เป็นเจ้าของแบรนด์ไปถึงตลาด เป็นเรื่องกระบวนการคิดร่วมกัน เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันได้มากขึ้น อย่างเรื่องโปรดักส์ เรามีสินค้าออกใหม่มาเรื่อย ๆ ได้รับการยอมรับจากลูกค้า หรือลูกค้าเองมีโปรดักส์ใหม่ ๆ หรือต้องการจะพัฒนาผลิตภัณฑ์อะไรต่าง ๆ จะมาคุยกับเรา สามารถพัฒนาร่วมกัน ให้ออกมาเหมาะสมจริง ๆ

“เราร่วมกับคู่ค้าต้นน้ำ พัฒนาอะไรใหม่ ๆ ได้ ทำร่วมกับคู่ค้าของเราโดยตรง หรือจากปลายน้ำต่อไปถึงสังคมต่อได้ ผมว่าเราทำแบบนี้มันจะเห็นผลได้มากกว่า เพราะว่าถ้าเราทำเพียงคนเดียว ยังไงมันก็เป็นเม็ดเล็ก ๆ เม็ดเดียว แต่ถ้าเราทำก้อนใหญ่ได้ ผลที่ได้มันต่อเนื่อง มันจะได้มากกว่า ทั้งผลกระทบที่จะมีต่อสังคม ผลกระทบที่จะขยายต่อไปได้ ก็วนกลับมาคล้าย ๆ เป็นโดมิโนเหมือนกัน ถ้าเราทำอย่างนี้ได้สำเร็จ ก็จะต่อเนื่องไปสู่จุดอื่นต่อไปได้เรื่อย ๆ”

ยกตัวอย่างกรณี สารปรุงแต่งฟิล์มพลาสติก ที่เรามองเป็นฟิล์มใส ๆ แต่จริง ๆ ต้องมีสารปรุงแต่ง สารที่ช่วยให้ฟิล์มมีคุณสมบัติที่ดีขึ้น มีความใส มีความลื่น ป้องกันไฟฟ้าสถิตต่าง ๆ ซึ่งสารตัวนี้ราคาค่อนข้างสูง เราใช้วิธี โดยมีกระบวนการนำ waste ของเรา วนกลับไปหาพาร์ทเนอร์ที่ผลิตให้ เพื่อศึกษาว่าจาก waste แล้วรีไซเคิล เพื่อกลับมาทำเป็นสารที่ช่วยให้ฟิล์มมีคุณสมบัติที่ดีขึ้นได้ และวนกลับมาใช้ใน process การผลิตของเราต่อไป ซึ่งทำออกมาได้สำเร็จ

“นี่คือการพัฒนาร่วมกัน ข้อดีก็คือว่าเราไม่เสียเปล่าในเรื่องของวัสดุที่ปกติต้องทิ้ง สามารถนำกลับมาใช้ได้ ขณะเดียวกันได้ต้นทุนที่ดีขึ้นด้วย ตอบโจทย์การลดคาร์บอน สามารถเอามาทดแทนการใช้ของใหม่ ซึ่งจะมีคาร์บอนที่สูง อนาคตเราก็พยายามดูต่อว่าจะมีอะไรในรูปแบบคล้ายๆ แบบนี้ ทำร่วมกันกับซัพพลายเชนได้อีก อาจจะเป็นเรื่องของต้นน้ำ ลงมาที่เรา แล้วก็ต่อลงไปปลายน้ำ อาจจะต่อลงไปเรื่อยๆ แล้ววนต่อกลับมาใหม่ โดยที่ต้นทุน ไม่ได้กระทบต่อราคาขายนัก แล้วเราก็สามารถคำนวณย้อนกลับได้ว่าสามารถลดคาร์บอนเป็นเท่าไหร่ ตรงจุดนี้เป็นจุดที่เราพยายามดำเนินการอยู่ แล้วก็อยากจะทำต่อเนื่องต่อไปเรื่อยๆ”

หรือกรณีคู่ค้าของเราในญี่ปุ่น ประเทศของเขาเป็นเกาะ พื้นที่ไม่สะดวกในการเก็บมารีไซเคิล เพราะค่าแรงสูงมาก จะไปถมที่ดินก็ไม่ได้ เพราะไม่มีที่จะถม ญี่ปุ่นใช้วิธีเดียว คือเอาขยะทั้งหมดไปเผาเพื่อทำไฟฟ้า แต่เขาต้องการให้สินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เราพัฒนาสินค้าตัวหนึ่งขึ้นมาเป็นไฮบริด เป็นผู้ผลิตรายแรก ๆ ของโลก ในการทำสินค้าที่เป็นฟิล์มไฮบริด คือผสมระหว่างฟิล์มที่มาจากฟอสซิลกับ Bio-based ผสมกันเป็นฟิล์มที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แล้วได้รับการรับรองจากหน่วยงานทางญี่ปุ่น

“คู่ค้าของเราก็ไปทำเสนอลูกค้าของเขา เข้าไปวางใน shelf ได้ แล้วก็มีชื่อเรียกเป็นเฉพาะของเขาว่า โบทานิคัลฟิล์ม (Botanical Film) ซึ่งก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจริงๆ แล้วก็เป็นการลดคาร์บอน ถ้าอนาคตมีการเก็บ carbon tax แพคเกจจิ้งตัวนี้ก็สามารถใช้ในการลด carbon tax ได้”

นายทศพลกล่าวต่อว่าจากการทำเรื่อง ESG กับคู่ค้าอย่างญี่ปุ่นไม่ใช่แรงกดดัน เพราะญี่ปุ่นเองก็ไม่มีใครมาบังคับเขา ญี่ปุ่นใช้ภาคสมัครใจในการทำ คือบริษัทไหนทำปุ๊บ ก็ไปกรอกในเว็บไซต์ว่าเขายินดีให้ความร่วมมือ ไม่มีกฎอะไรทั้งสิ้น แล้วเขาก็อาศัยความร่วมมือ มาปรึกษาเราว่าทำอะไรได้บ้าง ก็เป็นที่มาในการพัฒนาสินค้าตัวนี้ขึ้นมา ดังนั้น การที่คู่ค้าต้นน้ำเขาให้ความร่วมมือเต็มที่ในการพัฒนาสินค้าต่าง ๆ ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เชื่อมมาถึงคู่ค้า (Supplier) ในเมืองไทย สุดท้ายก็ทำออกมาได้สำเร็จ

นอกจากนี้เอ.เจ. พลาสท์ ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ในการนำน้ำมันพืชใช้งานแล้ว เอากลับมาในกระบวนการ ผลิตกลับมาเป็นเม็ดพลาสติก และเรานำมาผลิตต่อเป็นฟิล์มไนลอน (BOPA Flim)

ฟิล์ม BOPA คือฟิล์มพลาสติกชนิดที่เราเรียกว่า ไนลอน เป็นพลาสติกที่มีความเหนียว มีความทนทานต่ออุณหภูมิ นำมาทำบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ทนต่ออุณหภูมิ เช่น บรรจุสินค้าแช่แข็ง อย่างซองอาหารและอาหารทะเลแช่แข็ง หรือซองที่สามารถเข้า เตาไมโครเวฟได้ สำหรับบรรจุอาหารที่พร้อมทานต่าง ๆ หรือถุงข้าวสาร ถุงน้ำยาปรับผ้านุ่ม ถุงน้ำยาซักฟอก สมัยก่อนต้องเป็น แกนลอนพลาสติก เราสามารถพัฒนาได้ เอาจาก waste มารีไซเคิลเป็นเม็ดเรซิ่น แล้วมาทำบรรจุภัณฑ์เป็นตัวซองที่มีความเหนียว มีความทนทาน ทดแทนตัวแกนลอนพลาสติกได้ ประโยชน์คือ 1. ตัวน้ำหนักพลาสติก ถ้าเทียบกับตัวแกนลอนพลาสติกน้ำหนักมากกว่าสิบเท่าของตัวซองพลาสติก 2. เป็นการลดการใช้พลาสติก 3. ลดก๊าซเรือนกระจก และ 4. การรีไซเคิลง่ายขึ้น

พลาสติกเป็นผู้ร้ายจริงหรือ! หรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นายทศพลกล่าวว่า “ถ้ามีปลาวาฬตาย มีเต่าตายสักตัวหนึ่ง ผ่าท้องมาต้องเจอพลาสติกตลอด เจอไมโครพลาสติก แม้กระทั่งน้ำในขั้วโลกก็มีไมโครพลาสติก เหล่านี้เป็นกระแสที่เกิดขึ้นทั่วโลก มองว่าพลาสติกเป็นพิษภัยต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจริง ๆ แล้วพลาสติกก็เหมือนกับวัตถุดิบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก อลูมิเนียม แก้ว สังกะสี หรือโลหะ ทุกอย่างขึ้นกับว่า เราใช้แล้ว เก็บ ดูแลดีหรือไม่ การจัดเก็บหลังจากการบริโภคดีหรือยัง ถ้าเราทิ้ง มันก็เป็นขยะ มันก็วนกลับมาอยู่ดี ในมุมการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเราควรใช้ให้มันถูกต้อง ทิ้งและจัดการให้ถูกต้องเช่นกัน”

อีกมุมหนึ่งเกี่ยวกับพลาสติก ในกระบวนการรีไซเคิล หมุนเวียนในระบบให้ได้มากที่สุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งจะก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด อย่างการหลอมโลหะ หลอมแก้ว หลอมอะลูมิเนียม เปรียบเทียบกับการหลอมพลาสติก พลังงานที่ใช้ของพลาสติกจะต่ำสุด ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่เราพยายามจะนำเสนอให้สาธารณะรับทราบว่า พลาสติกถ้าใช้และจัดการอย่างถูกต้อง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ เราในฐานะผู้ผลิตพลาสติก ก็บริหารและจัดการให้ผลิตภัณฑ์ของเรา ทำอย่างไรให้ยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“ที่ผ่านมาเทรนด์พลาสติกที่บอกว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 1. ฟิล์มพลาสติกไบโอเบส (Bio-based Film) แต่สุดท้ายเทรนด์นี้ก็ยังไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก เพราะมองว่าเรื่องการแย่งทรัพยากรที่เป็นอาหารของมนุษย์ และโดยรวมอาจสร้างคาร์บอนมากกว่า 2. ฟิล์มพลาสติกย่อยสลายได้ (Biodegradable Film) กระแสที่ว่าย่อยสลายแล้วจะกลายเป็นไมโครพลาสติกหรือไม่ ก็เป็นประเด็นอีก 3.เทรนด์ปัจจุบัน ฟิล์มพลาสติก Mono Material คือ ฟิล์มพลาสติกจากวัตถุดิบชนิดเดียวกันในทุก ๆ ชั้นฟิล์ม เพื่อสนับสนุนการรีไซเคิล นำกลับมาใช้ใหม่ และคงอยู่ในระบบ หมุนเวียนให้ได้มากที่สุด”

นายทศพลกล่าวเสริมว่า ปัจจุบันแนวทางในการจัดการเรื่องความยั่งยืนของฟิล์มพลาสติกมี 2 แนวทาง ทางแรกคือเป็น Bio-based Film แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับมากนัก เพราะราคาสูง อีกทางหนึ่งคือ Mono Material Film ถ้ามีการจัดการที่ดีและเหมาะสม สามารถทำให้ฟิล์มพลาสติกวนกลับมาใช้ได้ไม่รู้จบ เพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืน

“เทรนด์ที่มันแตกต่างกันไป มาจากประเด็นหลักๆ คือเรื่องของราคา เพราะว่ารูปแบบของฟิล์ม Bio-based และ Biodegradable ราคาจะสูงกว่าพลาสติกทั่วไป 3-4 เท่า ทุกคนอยากใช้ แต่ไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น จึงไม่ได้รับความนิยมจนมาตกผลึกที่เรื่องของฟิล์ม Mono Material เพราะต้นทุนไม่ต่างจากราคาพลาสติกทั่วไปมาก และสามารถรีไซเคิลได้ ซึ่งตอบโจทย์คือ เรื่องราคาและสามารถรีไซเคิลได้ ไม่เป็นขยะตกค้างอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ” นายทศพลกล่าว

“ถ้าจะมองถึงการต่อยอดพลาสติกให้ได้มากที่สุด ‘ไม่ใช่การรีไซเคิล แต่เป็นการอัพไซเคิล (Upcycle)’ โดยการรีไซเคิลคือการวน หมุนเวียนทั่วไป แต่การอัพไซเคิลคือ วนกลับมาแล้วต้องได้มูลค่าและคุณค่าที่สูงขึ้น นอกจากจะเป็นการเพิ่มมูลค่าแบรนด์แล้ว ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าสินค้าให้สูงขึ้น”

การอัพไซเคิล เช่น จากน้ำมันพืชที่ใช้งานแล้ว ที่ต้องทิ้ง แต่วนกลับมาเป็นเม็ดพลาสติก มาทำบรรจุภัณฑ์เป็นซองพลาสติกที่มีคุณสมบัติเหมาะต่อการบรรจุและช่วยเก็บรักษาคุณภาพต่อไป ซึ่งถ้าเราไม่ได้นำมาอัพไซเคิล น้ำมันพืชดังกล่าวจะถูกทิ้งไปเป็นขยะและไม่ได้สร้างประโยชน์ใด ๆ ซึ่งตอนนี้ในตลาดพยายามอัพไซเคิล เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้นจากตัวต้นกำเนิด ตรงนี้คงเป็นเทรนด์ที่เราต้องพยายามพัฒนากันต่อ ๆ ไป

พร้อมกล่าวเชิญชวนว่าสินค้าของ บมจ. เอ.เจ.พลาสท์ สามารถรีไซเคิลได้ 100% ทุกรายการ เพียงแต่ต้องจัดเก็บ จัดการให้ถูกต้อง ผู้บริโภคแทนที่จะทิ้งลงถนน ทิ้งให้ถูกที่ ทิ้งให้ลงอยู่ในพื้นที่จัดเก็บให้ดี พลาสติกทุกอย่างสามารถรีไซเคิลได้หมด

ในส่วนนี้มีการร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมพลาสติกไทย ในการทำโปรเจกต์ต่าง ๆ เพราะเรื่องนี้เราทำองค์กรเดียวไม่ได้ ต้องทำไปทั้งองคาพยพ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ตั้งแต่การให้ความรู้เรื่องการจัดเก็บและการจัดการ รวมทั้งการบริหารจัดการต่อหลังจากการจัดเก็บแล้ว ปัจจุบันมีองค์กรทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ ที่ตระหนักถึงเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องระดับโลกที่เราต้องร่วมมือกัน

นายทศพล จินันท์เดช รองกรรมการผู้จัดการและรักษาการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอ.เจ.พลาสท์ จำกัด (มหาชน)

เชิญชวนมาร่วมกันทำ ESG

นายทศพลกล่าวถึงประสบการณ์ในการทำเรื่องความยั่งยืนว่า “ถ้าอ่านตามทฤษฎีในหนังสือ อย่างกระบวนการ ขั้นตอนในการเริ่มทำ ESG อ่านแล้วอาจจะท้อ ยิ่งอ่านมาก อาจยิ่งท้อมาก แนะนำว่าต้องกลับมามองภายในองค์กร ในสิ่งใกล้ตัว ทำได้จริง และเหมาะสมกับเรา”

“ไม่ต้องตามแฟชั่น ตัวตนเราเป็นแบบนี้ แล้วเราทำแบบนี้ ทำให้เหมาะสมที่สุด ได้ประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องเหมือนกันหมด เราเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับเรา เพียงแต่ดูแนวทางเพื่อไม่ให้เราหลงทางเท่านั้นเอง ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแนวทางต่าง ๆ ที่ดีมากอยู่แล้ว เราดำเนินการตามแนวทางที่มีอยู่ แล้วเราก็มาเลือกอีกทีว่า ประเด็นไหนที่เหมาะสมกับเราที่สุด แล้วก็มาคิด มาประยุกต์ต่อ”

โดยให้ข้อคิดเอสเอ็มอีว่า สามารถเริ่มในเรื่อง ESG ได้เลย เริ่มจากส่วน G: Governance เป็นส่วนที่ง่ายที่สุด ปฏิบัติอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา เพราะการดำเนินในส่วน Governance ไม่มีต้นทุนเลย

ส่วน E: Environment สิ่งแวดล้อม อาจจะมีการปรับให้สอดคล้องกับบริษัท ถ้าต้องลงทุน ให้มองว่าเป็นการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง และจะได้ผลตอบแทนกลับมา เพียงแต่ต้องหาในส่วนที่เหมาะสมกับธุรกิจของเอสเอ็มอีรายนั้น ๆ สุดท้ายจะวนกลับมาในเรื่องกำไร แล้วเราค่อยมาตอบแทนสังคม (ส่วน S:Social) ขณะเดียวกันก็สามารถต่อยอดกับคู่ค้า ลูกค้า สังคมโดยรอบ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ตรงนี้ค่อย ๆ ต่อยอดต่อไปได้เรื่อย ๆ

“ ต้องกลับมาคิดแบบง่าย ๆ ว่าทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นได้บ้าง อย่าไปยึดถือตามหนังสือ หรือตามทฤษฎีที่เขียนไว้ อาจจะเหนื่อย และอาจไม่สำเร็จ”

พร้อมย้ำว่า “ถ้าเราทำตามเกณฑ์และมีการตรวจสอบ จะไม่หลงทิศทาง ถ้าทำอยู่และทำต่อเนื่อง แต่ละธุรกิจอาจต่างกันในเรื่องการตรวจสอบตามลักษณะของธุรกิจนั้น ๆ อาจเจออุปสรรคในการทำเอกสารและการทวนสอบต่าง ๆ แต่ถ้ามีทิศทางที่ชัดเจน จะสามารถสำเร็จได้อย่างแน่นอน”

“ในอุตสาหกรรมฟิล์มพลาสติก เราคาดหวังมาตรฐานสากลที่ครอบคลุม และอาจสอดคล้องเพียงมาตรฐานเดียว เนื่องจากประเด็นเรื่องต้นทุนในการดำเนินงาน ต้นทุนเวลา ต้นทุนบุคลากร หรือแม้กระทั่งในการขอรับรองที่มีต้นทุนสูง มาตรฐานที่ครอบคลุม เพียงมาตรฐานเดียวที่เป็นสากล ซึ่งจะช่วยลดการขั้นตอนและต้นทุนในการดำเนินงานได้มากขึ้น”