ThaiPublica > ประเด็นร้อน > Adaptation รับมือโลกเดือด > ทีดีอาร์ไอ แนะภาคผลิต-บริการ adaptation รับโลกรวน “จัดโซนนิ่ง-ย้ายโรงงาน-ท่องเที่ยวไม่อิงฤดูกาล”

ทีดีอาร์ไอ แนะภาคผลิต-บริการ adaptation รับโลกรวน “จัดโซนนิ่ง-ย้ายโรงงาน-ท่องเที่ยวไม่อิงฤดูกาล”

14 พฤศจิกายน 2024


 ทีดีอาร์ไอ เสนอภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสู้ภัยพิบัติ จัดโซนนิ่ง หนุนย้ายโรงงานออกนอกพื้นที่เสี่ยง แนะ EEC แก้ปมขาดน้ำด้วยน้ำรีไซเคิล–ขึ้นราคาน้ำดิบ ด้านภาคท่องเที่ยวควรใช้เศรษฐกิจสร้างสรรค์สร้างกิจกรรมท่องเที่ยวใหม่ ไม่อิงฤดูกาล 

ดร.นพรุจ จินดาสมบัติเจริญ นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดงานสัมมนาสาธารณะประจำปี 2567 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 40 ปีของการก่อตั้งทีดีอาร์ไอ ในหัวข้อ “ปรับประเทศไทย…ให้อยู่รอดได้ในยุคโลกเดือด โดยมีการนำเสนอผลการศึกษา และทิศทางด้านนโยบายและมาตรการในการเตรียมปรับประเทศไทยให้ไปสู่เศรษฐกิจและสังคมที่สามารถรับมือกับสภาพภูมิอากาศ

ดร.นพรุจ จินดาสมบัติเจริญ นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ นำเสนองานวิจัย ในหัวข้อ “ช่วยภาคการผลิต…ไม่ติดปัญหาท่วม-แล้ง”โดยกล่าวถึง ภาคอุตสาหกรรมของไทยที่กำลังเผชิญกับผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่า ภาคอุตสาหกรรมมีความเสี่ยงทั้งภัยน้ำท่วมและภัยแล้ง มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ที่ผ่านมาน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 กระทบเศรษฐกิจไทยมาถึง 1.4 ล้านล้านบาท โดยกว่า 70% เป็นภาคการผลิต ที่ได้รับความเสียหายต่อทรัพย์สินกว่า 5.1 แสนล้านบาท และความสูญเสียต่อโอกาสทางเศรษฐกิจกว่า 4.93 แสนล้านบาท เนื่องจากรายได้ลดลงและรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

“น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คืออยุธยาและปทุมธานี โดยโรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าได้รับผลกระทบต้องทำสายการผลิตรถยนต์ผลิตใหม่กว่า 1,000 คัน  ขณะที่โรงงานโตโยต้าอยู่นอกนิคมอุตสาหกรรมน้ำท่วม แต่ก็ต้องปิดโรงงานเนื่องจากขาดแคลนชิ้นส่วนต้นน้ำ  นอกจากนี้ยังกระทบต่ออุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ทั่วโลก เนื่องจากขาดแคลนฮาร์ดดิสก์ เพราะไทยเป็นฐานการผลิตใหญ่ของโลก รวมไปถึงผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะมาลงทุนในประเทศไทย”

นอกจากปัญหาน้ำท่วมแล้ว ยังพบว่ามีปัญหาเรื่องน้ำไม่เพียงพอ ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ EEC โดยในปัจจุบันถือว่าเป็นหนึ่งในฐานการผลิตหลักของประเทศ มีนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ทั้งหมด 30 แห่ง สร้างจีดีพีให้กับประเทศสูงถึง 33%  หรือมูลค่า 19 ล้านล้านบาท

ดร.นพรุจ กล่าวว่า ปัญหาขาดแคลนน้ำในพื้นที่ EEC  มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น จากแผนการพัฒนาในอนาคต โดยภายในปี 2560 เพิ่มพื้นที่อุตสาหกรรมสูงถึง 64% ทำให้มีความต้องการน้ำเพิ่มขึ้นประมาณ 28 % และเพิ่มสูงกว่าปริมาณน้ำต้นทุนในปี 2560 อยู่ที่ 2,419 ล้าน ลูกบาศเมตรเพิ่มเป็น 2,539 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งปริมาณน้ำต้นทุนขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนของแต่ละปี นั่นหมายความว่า ถ้าเป็นปีที่มีภัยแล้งจะมีความลำบากและความท้าทายในด้านของการบริหารจัดการน้ำมาก

“ภาวะโลกรวนอาจจะทำให้เกิดผลกระทบหนักขึ้น ซึ่งจากแบบจำลอง IPCC  RCP 4.5 พบว่าภายใน 20 ถึง 30 ปีข้างหน้า ภาคกลางมีความเสี่ยงที่จะน้ำท่วมสูงขึ้นจากปริมาณน้ำฝนสูงสุดในรอบ 5 วัน โดยอยุธยาจะมีปริมาณฝนเพิ่ม +38% ส่วนปทุมธานี เพิ่ม +26% และส่วนในพื้นที่ EEC จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภัยแล้งมากขึ้น”

ความน่ากังวลของผลกระทบจากภาวะโลกรวน คือ การกระจุกตัวของอุตสาหกรรมอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล อยุธยาและEEC มากถึง 55% และสัดส่วนจีดีพีอุตสาหกรรมมากถึง 71% นั่นหมายถึง เรากำลังปล่อยให้ภาคอุตสาหกรรมเผชิญกับความเสี่ยงในอนาคตที่อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อชื่อเสียงของประเทศอย่างหนักเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในปี2554

“แม้ว่าผลกระทบเหล่านี้จะมีมาตรการรับมือในปัจจุบัน แต่ไม่เพียงพอต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น มาตรการการสร้างกำแพงป้องกันน้ำในพื้นที่ภาคกลาง ซึ่งในปัจจุบันได้สร้างกำแพงรอบนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ เพื่อช่วยบรรเทาความเสียหาย แต่ต้องยอมรับว่า การป้องกันผลกระทบดังกล่าว ส่งผลต่อการขนส่งสินค้าหรือการเดินทางของพนักงาน กลายเป็นว่าการปรับตัวได้ สร้างปัญหาใหม่ หรือ Maladaptation คือ การก่อสร้างกำแพงเพื่อป้องกันพื้นที่ของตัวเอง แต่ทำให้เกิดภาระกับพื้นที่อื่น”

ดร.นพรุจ กล่าวว่า ในส่วนของพื้นที่ EEC มีมาตรการเพื่อมารองรับความต้องการน้ำที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต โดยมีมาตรการก่อสร้างแหล่งน้ำใหม่ และจัดระบบท่อส่งน้ำเพื่อเชื่อมโยงน้ำจากจังหวัดข้างเคียงมาใช้ประโยชน์ แม้ว่าจะเป็นมาตรการที่ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในเวลาปกติ  แต่มาตรการดังกล่าวไม่เพียงพอ ถ้าหากเกิดภัยแล้งขึ้นในอนาคต นอกจากนี้มาตรการดังกล่าวจะสร้างปัญหาที่เรียกว่า climate justice หรือการแย่งชิงน้ำจากพื้นที่อื่น และจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันได้ในอนาคต

ดร.นพรุจ จินดาสมบัติเจริญ นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ

บริหารจัดการน้ำ Zero Discharge

ดร.นพรุจ เห็นว่าการบริหารจัดการน้ำมีความจำเป็น โดยเฉพาะการลดความต้องการการใช้น้ำในพื้นที่ EEC ตัวอย่างเช่น นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ที่สามารถบริหารจัดการน้ำได้ดี โดยมีมาตรการทำ zero discharge concept หรือ การปล่อยน้ำทิ้งให้เหลือศูนย์ โดยนำน้ำเสียจากโรงงานมาบำบัดเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ สามารถนำน้ำกลับไปใช้ในการผลิตได้ 52 % โดยใช้ในระบบหล่อเย็น 29 %  สนามกอล์ฟ 19% ส่วนที่เหลือใช้ในระบบอื่นๆ ทำให้สามารถประหยัดค่าน้ำของนิคมอมตะได้มากถึง 79 ล้านบาทต่อปี และลดการใช้น้ำเหลือ 60% ของความต้องการน้ำทั้งหมด

ส่วนอีกตัวอย่าง คือการจัดการน้ำในระดับโรงงาน เช่น โรงงานไทยยูเนี่ยน จัดทำระบบ zero discharge concept โดยเริ่มจากการปรับกระบวนการผลิตลดการใช้น้ำตั้งแต่ต้นทาง และนำน้ำเสียจากโรงงานเข้าสู่บ่อบำบัดน้ำเสียให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายกำหนดจากนั้นนำน้ำที่ได้มาตรฐานเข้าสู่การทำ ultra filtration เพื่อใช้ในการซักน้ำ และน้ำอีกส่วนหนึ่งเข้าสู่ระบบ reverse osmosis เพื่อบำบัดน้ำให้ได้คุณภาพเทียบเท่าน้ำประปาและนำกลับมาใช้ในกระบวนการผลิตใหม่ ทำให้ไม่เหลือน้ำทิ้ง และสามารถรีไซเคิลน้ำเหลือต้นทุนเพียง 11 บาทต่อลูกบาศก์เมตร ถูกกว่าน้ำประปาที่มีราคาอยู่ที่ 23 บาทต่อลูกบาศก์เมตร และสามารถลดการใช้น้ำประปาได้ 43% ลดต้นทุนโรงงานได้ 27.8 ล้านบาทต่อปี

ดร.นพรุจ จินดาสมบัติเจริญ นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ

  • แนวปะการังเทียมไม่เพียงช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมแต่กลาโหมสหรัฐฯ ยังมุ่งพัฒนาเพื่อลดความรุนแรงของพายุ
  • ทีดีอาร์ไอ จัดเวที Adaptation to Climate Change… “ปรับประเทศไทยให้อยู่รอดในยุคโลกเดือด”
  • “สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์” เตือน!! ต้อง Adaptation… “ปรับประเทศไทย ให้ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ”
  • “นิพนธ์ พัวพงศกร” แนะการปรับตัว “ไม่มีสูตรสำเร็จ-ไม่มีเสื้อโหล” สร้าง “เกษตรเท่าทันภูมิอากาศ” รับมือโลกรวน
  • ‘สุเมธ องกิตติกุล’ ทีดีอาร์ไอ ชี้ไทยขาดแผน Adaptation รับโลกรวน ต้อง ‘สร้างเมืองใหม่…ให้ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ
  • กระจายความเสี่ยงของภาคอุตสาหกรรม

    ดร.นพรุจกล่าวว่าในภาวะโลกรวน โลกร้อน ต้องเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการและกระจายความเสี่ยงด้านพื้นที่อุตสาหกรรม เริ่มจากปัญหาน้ำท่วมในภาคกลาง จะเห็นว่าในแผนที่น้ำท่วมซ้ำซาก จังหวัดที่น้ำท่วมมากที่สุดคืออยุธยา ปทุมธานี หรือพื้นที่ภาคกลางตอนบนอื่นๆ เพราะมันอยู่ในทิศทางของน้ำ ดังนั้นต้องพิจารณาความเสี่ยงของพื้นที่ดังกล่าวและหามาตรการในการปรับตัวเพื่อรับมือ

    “ทีดีอาร์ไอเสนอว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลดขนาดอุตสาหกรรมที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก  โดยการกำหนดโซนนิ่งอุตสาหกรรม ห้ามตั้งโรงงานใหม่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และที่สำคัญคือการสนับสนุนการย้ายฐานอุตสาหกรรม ลดความกระชับตัวในพื้นที่ภาคกลาง และ EEC ดึงดูดคลัสเตอร์อุตสาหกรรมในพื้นที่ใหม่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานส่งเสริมการผลิตคาร์บอนต่ำ จากปัญหาน้ำท่วมในปี 2554 ไม่ใช่แค่โรงงานที่ย้ายฐานออกจากพื้นที่น้ำท่วม แต่มีหลายโรงงานย้ายออกจากประเทศ  ดังนั้นเราสามารถกระจายการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อลดการกระจุกตัวในพื้นที่ภาคกลางและEEC”

    ส่วนเรื่องของการจัดการน้ำ เสนอมาตรการลดความต้องการน้ำดิบ ผ่านการปรับโครงสร้างทางราคา โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ต้องมุ่งเน้นลดความต้องการน้ำให้มากขึ้นเพื่อรองรับกับอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นในอนาคต สามารถนำกลไกราคามาใช้ เนื่องจากปัจจุบันอัตราค่าใช้น้ำยังไม่จูงใจให้ภาคเอกชนลดการใช้น้ำดิบ เพราะน้ำดิบจากแหล่งน้ำมีราคาถูกแค่ 50 สตางค์ต่อลูกบาศก์เมตร และนำมาขายให้กับนิคมอุตสาหกรรมอยู่ที่ราคา 11 ถึง 12 บาทต่อลูกบาศก์เมตร

    “ราคาน้ำดิบเพียง 50 สตางค์ต่อลูกบาศก์เมตร ต่ำกว่าต้นทุนน้ำชลประทาน ซึ่งอยู่ที่ 1.26 บาทต่อลูกบาศก์เมตร เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องเพิ่มอัตราค่าใช้น้ำเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนลดการใช้น้ำ และเพิ่มการใช้น้ำรีไซเคิลมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องคำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน เพราะฉะนั้นควรกำหนดระยะเวลาเปลี่ยนผ่านการขึ้นราคาค่าน้ำ อย่างค่อยเป็นค่อยไป สนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยี รีไซเคิล และส่งเสริมความรู้ในการปรับกระบวนการผลิตเพื่อประหยัดน้ำ”

    ดร.นพรุจกล่าวเพิ่มเติมว่า สุดท้ายภาครัฐควรจะมีมาตรการแก้ไขโครงสร้างการผูกขาดเพื่อผลกำไรส่วนเกินที่ตกอยู่กับผู้ให้บริการส่งน้ำ ซึ่งอยู่ในภาค EEC มีเพียงรายเดียวในปัจจุบัน

    ดร.นพรุจ จินดาสมบัติเจริญ นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ

    อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องปรับตัว

    ปัญหาโลกรวนกำลังส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของทั่วโลก จากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้รูปแบบการเดินทางของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไป  ประเทศที่มีอากาศหนาวอยู่แล้ว จะได้รับผลกระทบในเชิงบวก เพราะนักท่องเที่ยวเลือกที่จะเดินทางไปยังประเทศเหล่านี้มากขึ้น  ส่วนประเทศที่อยู่ในเขตร้อน โดยเฉพาะประเทศไทยจะได้รับผลกระทบในเชิงลบ และอาจได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งคาดว่าในปี 2593 อาจจะสูญเสียรายได้มากถึง 6.2 หมื่นล้านบาทต่อปี

    ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีหลากหลาย ทั้งจากภัยพิบัติที่มีความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ภัยแล้ง และความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวของน้ำทะเล หรือ ภัยความร้อน

    การเปลี่ยนแปลงของน้ำทะเลหนุนขึ้นสูง ทำให้ทรัพยากรทางทะเลของไทยมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะสูญหายไปในอนาคต มีการคาดการณ์ ว่าภายในปลายศตวรรษนี้พื้นที่ชายหาดไทยมีความเสี่ยงจะลดลง 55%  และอุณหภูมิน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น  พร้อมทั้งความเป็นกรดของน้ำทะเลทำให้แนวปะการังมีโอกาสสูญหายไป ความร้อนของน้ำทะเลทำให้ปะการังฟอกขาวและสูญหายไป โดยพบว่าพื้นที่ปะการัง 149,182 ไร่ ใน 17 จังหวัด จะมี 11 จังหวัดที่ปะการังที่เสียชีวิตไปเกินครึ่ง

    ทั้งนี้จากการคาดการณ์ของ IPCC พบว่าเมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2 องศา พื้นที่แนวปะการังทั่วโลกอาจสูญหายไปกว่า 99%  นั่นหมายถึงรายได้จากนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักดำน้ำจากทั่วโลกที่ต้องการมาดูปะการังจะหายไปด้วยเช่นกัน

    ดร.นพรุจ จินดาสมบัติเจริญ นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ

    ภัยความร้อน กระทบท่องเที่ยวไทย

    ดร.นพรุจ ยกตัวอย่างพื้นที่ภาคเหนือซึ่งจะได้รับผลกระทบจากภัยร้อน เช่น จังหวัดเชียงใหม่มีความเสี่ยงมากที่สุด เพราะเสน่ห์ของเชียงใหม่ คืออากาศเย็น แต่เชียงใหม่กำลังมีความเสี่ยงที่จะมีฤดูหนาวลดลงและหนาวน้อยลง มีช่วงอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศา ลดลง 16% และอุณหภูมิน้อยกว่า 20 องศา ลดลง 17 %

    “ช่วงที่เป็นไฮซีซั่นของเชียงใหม่เป็นช่วงฤดูหนาวที่มีรายได้ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเชียงใหม่มากถึง 2.5 แสนคน และลดลงในช่วงหน้าร้อนเหลือเพียงไม่กี่หมื่นคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของเชียงใหม่ มีความเปราะบาง และมีความเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะฉะนั้นภาคท่องเที่ยวจึงมีความจำเป็นจะต้องปรับตัวเพื่อหาทางออก”

    อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน พบว่าภาคท่องเที่ยวเริ่มมีการปรับตัว เพื่อรับมือกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นในหลายวิธี เช่น การติดสปริงเกอร์น้ำเพื่อคลายความร้อน การอนุรักษ์แนวปะการัง หรือการเติมทรายในชายฝั่ง แต่ต้องยอมรับว่า มาตราการเหล่านี้ไม่ใช่ทางออกในระยะยาว หากเทียบกับมาตรการปรับตัวของแหล่งท่องเที่ยวในต่างประเทศ เช่น โคลอสเซียม กรุงโรม เริ่มเปิดให้เที่ยวยามค่ำคืน หรือการขยายเวลาการให้บริการแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของดูไบ

    ดร.นพรุจ เสนอว่าภาคท่องเที่ยวถือเป็นอีกภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยไทยเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอันดับ 1 จาก 48 ประเทศทั่วโลก เนื่องจากจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นและเกิดคลื่นความร้อน นอกจากนี้ยังจะมีการเสื่อมสภาพของทรัพยากรทางทะเล ซึ่งพื้นที่ชายหาดและแนวปะการังของไทยจะลดลงอย่างมากในอนาคต ดังนั้น ภาคการท่องเที่ยวจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ใน 2 รูปแบบ โดยปรับเวลาท่องเที่ยว ขยายกิจกรรมสู่ช่วงเวลากลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงอากาศที่ร้อนจัด และปรับกิจกรรมท่องเที่ยว พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ให้ขึ้นอยู่กับฤดูกาลลดลง เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการใช้ศักยภาพของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของพื้นที่ และมุ่งสร้างตลาดดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มธุรกิจไมซ์ (MICE) หรือ การท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะขององค์กรต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ตลอดปี