ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเทศไทยภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่ของโลก…Thailand in the New Global Landscape

ประเทศไทยภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่ของโลก…Thailand in the New Global Landscape

21 ตุลาคม 2024


ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ประธานกรรมการแพลตฟอร์ม Youth in Charge อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ประธานกรรมการแพลตฟอร์ม Youth in Charge อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม บรรยายในหลักสูตร วปอ. รุ่น 67 หัวข้อ “ประเทศไทยภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่ของโลก”(Thailand in the New Global Landscape) โดยได้พูดถึงโลกที่กำลังอยู่ในสภาวะ Global Metamorphosis ที่มีการปรับสัณฐานและโครงสร้าง เฉกเช่นเดียวกับ Biological Metamorphosis ของพัฒนาการจากหนอนเป็นดักแด้ และกลายเป็นผีเสื้อในที่สุด

โดยเป็นการปรับสัณฐานและโครงสร้างโลกขนานใหญ่ใน 3 มิติสำคัญ นั่นคือ Bio-physical Sphere, Geopolitical Sphere และ Socio-technical Sphere ไปพร้อมๆกัน

ท่ามกลาง Global Metamorphosis มนุษยชาติมี 2 ทางเลือก ระหว่าง

1. การเผชิญกับการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 6 (The 6th Mass Extinction) ที่มาจาก Global Boiling สงครามนิวเคลียร์ ฯลฯ
2. การสร้างโลกใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม (A Whole New World) ที่มนุษย์จะต้องปรับความสัมพันธ์ครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติเป็นการปรับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง และระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี

ประเด็นอยู่ที่พวกเราตัดสินใจจะเดินไปทางไหน ภายใต้โลกใหม่ที่ไม่ใช่ใบเดิม

มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่หลายประเทศเร่งปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการพัฒนาที่มุ่งสู่ความทันสมัย (Modernism) สู่การพัฒนาที่มุ่งสู่ความยั่งยืน (Sustainism)

โดยเป็นกระบวนทัศน์ที่ Connect the Dots ด้วยการเชื่อมต่อ Sustainability, Humanity และ Technology เข้าด้วยกันอย่างสนิท เพื่อมุ่งเป้าไปสู่ความเป็นปกติสุข ประโยชน์สุข และศานติสุข ร่วมกันของมวลมนุษย์กับโลกพิภพ ภายใต้แนวคิดร่วมชายคา (Cohabitation) ร่วมรังสรรค์ (Cocreation) และร่วมวิวัฒน์ (Coevolution)

การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ดังกล่าว นำไปสู่การปรับเปลี่ยนเชิงระบบ (Systemic Transformation) บนภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์โลกชุดใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยสองปัจจัยสำคัญคือ ทุนมนุษย์ และ เทคโนโลยี

เมื่อพูดถึง Systemic Transformation หันกลับมาดูประเทศไทย เราเคยมีการปรับโครงสร้างขนานใหญ่อย่างเป็นระบบ (The First Great Reform) เพียงครั้งเดียว ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 อันมีสาเหตุหลักมาจากการต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลัทธิล่านิคมจากประเทศตะวันตก

อาจถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องมีการปรับโครงสร้างขนาดใหญ่อย่างเป็นระบบอีกครั้งหนึ่ง หรือที่เรียกว่า The Second Great Reform เพื่อตอบโจทย์แรงกดดันจากภายนอกและแรงประทุจากภายใน

โจทย์ใหญ่ที่ท้าทายคือ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมือง จาก Extractive Political & Economic Structure ในปัจจุบัน สู่ Inclusive Political & Economic Structure อย่างแท้จริง

ในการปรับเปลี่ยนสู่ Inclusive Political Structure ผมได้กล่าวถึง 3 วาระวิกฤติ (Critical Agenda) ที่จะเป็น “คานงัด” ของการปรับเปลี่ยน ประกอบด้วย

  • การมีนิติรัฐ นิติธรรม ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย
  • การขจัดความขัดแย้งทางการเมืองที่เรื้อรัง
  • การจัดการกับการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง
  • ทั้ง 3 วาระต้องอาศัยความกล้าหาญทางการเมืองของผู้นำประเทศเป็นสำคัญ

    ชุดของ 3 วาระวิกฤติ จะเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นและพอเพียงในการสร้างสังคมที่ Clean & Clear, Free & Fair และ Care & Share ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย

    ในการปรับเปลี่ยนสู่ Inclusive Economic Structure นั้น ในความเป็นจริงแล้ว มีจิ๊กซอว์สำคัญหลายตัวที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว แต่ยังขาดการถักทอให้เกิดพลัง ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โมเดลเศรษฐกิจ BCG และโมเดล Thailand 4.0 ที่สามารถต่อเชื่อมกับ SDGs และ ESG เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนได้เป็นอย่างดี

    The Second Great Reform จึงเป็นการปรับโครงสร้างขนานใหญ่อย่างเป็นระบบที่ไม่ใช่เพื่อตอบโจทย์ประเทศไทยเพียงอย่างเดียว แต่สามารถตอบโจทย์ประชาคมโลกไปพร้อมๆกัน

    ขอย้ำอีกครั้ง ไม่มีห้องว่างสำหรับฝันเล็กๆ (No Room for Small Dreams) สำหรับผู้นำที่จะกระทำการขับเคลื่อนประเทศไทยภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่โลก เพราะหากทำได้สำเร็จ นี่คือ Soft Power ที่แท้จริงของประเทศไทยในเวทีโลก