ThaiPublica > Sustainability > Sustainable Business > ธุรกิจ SME ปรับกลยุทธ์เกาะเทรนด์โลกสร้างมาตรฐานความยั่งยืน

ธุรกิจ SME ปรับกลยุทธ์เกาะเทรนด์โลกสร้างมาตรฐานความยั่งยืน

1 สิงหาคม 2024


ชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอี ชู 2 ธุรกิจเอสเอ็มอี(SME) ปรับกลยุทธ์ เกาะเทรนด์โลก สร้างมาตรฐานคุณภาพสินค้าสู่ความยั่งยืน พร้อมสู้สินค้าจีน  เสนอรัฐบาลควบคุมราคา กำหนดมาตรฐานความปลอดภัย

นายกำพล กุลวรานนท์ ประธานชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอี

เศรษฐกิจที่ซบเซากำลังซื้อที่ลดลง  ขณะที่สินค้าจีนราคาถูกไหลทะลักเข้ามา ทำให้ธุรกิจ SME ไทยจำนวนมากต้องปิดกิจการ  ทำอย่างไรเอสเอ็มอีจะรอด หากไม่ปรับตัวสร้างกลยุทธ์เพื่อหนีตลาดสินค้าราคาถูก และยกระดับธุรกิจให้มีมาตรฐานความยั่งยืน

ชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอี  ซึ่งเป็นหนึ่งในการสนับสนุนเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการของธนาคารกรุงเทพ ที่จัดตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2546  ปัจจุบันมีเครือข่ายสมาชิก 2,000 ราย ได้นำลูกค้าผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เป็นสมาชิกชมรม และคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ของ 2 ธุรกิจเอสเอ็มอี ประกอบด้วย  บริษัท ดีไซน์ ออลเทอร์เนทีฟ จำกัด  จังหวัดสมุทรปราการ และ บริษัท ฟาร์มระพีพัฒน์  (1999 )จำกัด  อ.พนนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งประสบความสำเร็จและสร้างกลยุทธ์สู่ความยั่งยืนได้

นายกำพล กุลวรานนท์   ประธานชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอี  กล่าวว่า เอสเอ็มอีไทยต้องปรับตัวและหากลยุทธ์ใหม่เพื่อให้สามารถแข่งขันได้จึงจัดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน โดยนำสมาชิกมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อหาแนวทางความสำเร็จของตัวเองให้สามารถแข่งขันได้  เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบัน เอสเอ็มไทยเจอปัญหาหนักมากจากสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ที่มีราคาถูกจำนวนมาก ทำให้เอสเอ็มอีกจำนวนมากปิดกิจการไป

“ปัญหาตอนนี้ที่หนักๆ คือสินค้าจากต่างประเทศ ที่ราคาถูกมากๆ มาทำให้เอสเอ็มอีล้มหายตายจากมาจากหลายสาเหตุอันดับแรกก็คืออีคอมเมิร์ซ สินค้าออนไลน์จากต่างประเทศเข้ามารวดเร็วมาก 2-3 วันถึงแล้ว เขาไม่ต้องมีโกดังไม่ต้องมีบริษัท ไม่ต้องมีมาตรฐานสินค้า  ไม่ต้องเสียภาษีทำให้เอสเอ็มอีไทยแข่งขันไม่ได้” นายกำพลกล่าว

นายกำพลบอกว่า แม้ที่ผ่านมารัฐบาลจะใช้มาตรการภาษีด้วยการจัดเก็บ มูลค่าเพิ่ม(VAT) สินค้านำเข้าที่มีมูลค่าไม่ถึง 1,500 แต่สินค้าจากต่างประเทศก็ใช้วิธีหลบเลี่ยงด้วยการตั้งราคาไม่เกิน 1,500 บาท รวมทั้งแยกออกเป็นหลายๆชิ้นนำมาประกอบที่หลังไม่ต้องเสียภาษีได้มาตรการภาษีจึงไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ส่งผลให้สินค้ากลุ่มข้าวของเครื่องใช้ประจำวัน เครื่องหนัง เสื้อผ้า ไม่สามารถแข่งขันได้ เนื่องจากราคาถูกกว่า

“ตอนนี้สินค้าพวกเสื้อผ้า เครื่องหนัง  ของใช้ประจำวันเรียกว่าหมดสภาพล้มหายตายไปเยอะ  ลองไปเดินดูที่ตลาดสำเพ็ง เยาวราช ร้านค้าปิดไปจำนวนมากมาก และผมองได้ไปเดินสวนจตุจักรก็เงียบมากเพราะเขาซื้อในออนไลน์ ราคาถูกมากซึ่งถ้าซื้อสินค้าออนไลน์ในประเทศไม่เป็นไรแต่ซื้อจากต่างประเทศ ไม่ได้สร้างแรงงานไม่ได้ สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ เงินรั่วไหลออกนอกประเทศ ที่ร้ายที่สุดคือเราไม่มีงานทำ” นายกำพลกล่าว

 ปรับกลยุทธ์ สร้างนวัตกรรม ทางรอดเอสเอ็มอี

นายกำพล เห็นว่า รัฐบาลควรจะหันมาควบคุมราคาสินค้าจากต่างประเทศ และตั้งกำแพงภาษีที่สูงมากขึ้น เช่นเดียวกับ ในอินโดนีเซียที่มีกำแพงภาษีสูงถึง 200 % และยังกำหนดโควตาการนำเข้า  ขณะที่ควรจะมีมาตรการอื่นๆในการส่งเสริมศักยภาพของเอสเอ็มอีให้มีนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ เพื่อให้เท่ากันการเปลี่ยนแปลงของโลก

ขณะที่เอสเอ็มอีเองก็ต้องพัฒนาศักยภาพ ปรับกลยุทธ์ สร้างจุดแข็ง หานวัตกรรมใหม่เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ได้มากขึ้น ซึ่งชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอี ได้จัดแลกเปลี่ยนประสบการณ์นำสมาชิกชมโรงงานและบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจเพื่อนำไปพัฒนาปรับปรุงธุรกิจของตัวเอง

“ ชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอีพยายามจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ จัดสัมมนาเพิ่มความรู้อย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน หรือบางเดือนจัดถึง 3 ครั้งเพื่อให้สมาชิกมีความรู้ในการประกอบธุรกิจ อาทิ เรื่องของ กฎหมาย   การนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้เพื่อช่วยลดต้นทุน  หรือ ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน การบัญชีดิจิทัล  หรือ การเดินไปสู่กลยุทธ์สีเขียวเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม เรื่องของคาร์บอนเครดิต เพื่อทำให้โรงงานทันสมัย ต้นทุนถูกลง และสินค้ามีคุณภาพ มีมาตรฐาน ซึ่งถือเป็นทางรอดของเอสเอ็มอีไทย”

นายกำพล บอกด้วยว่า ขณะนี้ชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอีกำลังให้ความรู้กับสมาชิก เรื่องการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน หรือ ESG  เพื่อให้สมาชิกในชมรมปรับกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มศักยภาพและมาตรฐานของสินค้ามากขึ้น

นายสมพงษ์ วาทินชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ดีไซน์ ออลเทอร์เนทีฟ จำกัด

“ดีไซน์ ออลเทอร์เนทีฟ” สร้างนวัตกรรมตอบโจทย์ลูกค้า

ความสำเร็จของบริษัท ดีไซน์ ออลเทอร์เนทีฟ จำกัด  จังหวัดสมุทรปราการ ถือเป็นหนึ่งตัวอย่างที่ของการปรับตัวและการหาจุดแข็งของตัวเอง ด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการผลิต เพื่อช่วยลดต้นทุน และสร้างสินค้าที่ทันสมัยให้กับลูกค้า และยังเพิ่มความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นายสมพงษ์ วาทินชัย   รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ดีไซน์ ออลเทอร์เนทีฟ จำกัด  จังหวัดสมุทรปราการ   บอกว่า บริษัทเป็นผู้ชำนาญด้านการออกแบบเฟอร์นิเจอร์มานานกว่า 25 ปี โดยเริ่มต้นจากผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ แบรนด์ PROLAB ในห้องปฏิบัติการในมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล  หรือบริษัทเอกชน และทำฟอร์นิเจอร์ห้องครัวแบรนด์ VATIN มีลูกค้าทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชนและส่งออก  11 ประเทศ

สำหรับกลยุทธ์ของบริษัท จะเน้นกระบวนการผลิตที่ทันสมัย โดยบริษัทได้ลงทุน 200 ล้านบาทเพื่อปรับกระบวนการผลิต นำ AI เข้ามาช่วยในการทำงานทำให้ลดต้นทุนในการใช้คนยก และสามารถควบคุมการผลิตให้เหลือเศษวัสดุที่เป็นขยะน้อยที่สุด

นายสมพงษ์ กล่าวว่า บริษัทลงทุนใช้ AI มาใช้ในการทำงานเมื่อ 8-10 ปีที่ผ่านมา โดยนำเครื่องจักรเทคโนโลยีของเยอรมันมาช่วยในกระบวนการผลิต  โดยเฉพาะ AI ที่เป็นระบบโปรแกรมนำมาคำนวณการตัดแผ่นไม้ เศษไม้ให้เหลือเป็นขยะน้อยที่สุด และนำเอาหุ่นยนต์มาช่วยในการยกไม้ ช่วยลดคนในการทำงานยกไม้จากเดิม 100 คนตอนนี้เหลือประมาณ 20  คน ลดลงประมาณ 60-70 คน แล้วโยกแรงงานที่ใช้ในการยกไม้ ไปทำเรื่องการติดตั้งมากขึ้น สร้างคุณภาพชีวิตและรายได้ที่มากขึ้น มีทักษะมากขึ้น ทำให้บริษัทลดต้นทุนการผลิตลงได้ด้วย

นอกจากกลยุทธ์เรื่องการสร้างโรงงานที่ทันสมัยแล้ว นายสมพงษ์ บอกว่า บริษัทเน้นการสร้างนวัตกรรมใหม่ สร้างความทันสมัยแปลกใหม่เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าและทำธุรกิจแบบ Total Turnkey Solution  เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบ  One-Stop Service หรือมาที่เดียวจบทั้งหมด

“เราเน้นการบริการแบบครบวงจรมาที่เราแล้วจบทั้งหมด ตั้งแต่คำปรึกษา ออกแบบผลิตภัณฑ์  มาตรฐาน ความปลอดภัย  ทั้งหมดครบวงจร ทำให้เกิดประโยชน์กับลูกค้า ให้ได้มากที่สุด” นายสมพงษ์ กล่าว

บริษัท ดีไซน์ ออลเทอร์เนทีฟ จำกัด

ส่วนการปรับกลยุทธ์ ไปสู่ความยั่งยืนหรือธุรกิจสีเขียว นายสมพงษ์ กล่าวว่า กำลังศึกษาเพื่อปรับกระบวนการผลิตเพื่อไปสู่ทิศทางนี้ เนื่องจากต้องการส่งออกไปยังประเทศยุโรปและสหรัฐ   นอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายในปี 2030 จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งอาจจะต้องมีมาตรฐานความยั่งยืน

ขณะนี้บริษัทได้ปรับกระบวนการผลิตโดยใช้ AI ในการออกแบบทำให้เหลือขยะจากแผ่นไม้และแผ่นวัสดุน้อยลงจากเดิมที่มีขยะ 30% ปัจจุบันมีขยะเหลือเพียง 5% ซึ่งเศษวัสดุบางส่วนนำไปผลิตเป็นของที่ระลึก เช่น กล่องกระดาษทิชชู หรือ โต๊ะ เก้าอี้จากวัสดุเหลือใช้ นอกจากนี้ยังใช้พลังงานหมุนเวียน โดยการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปขนาด 500 กิโลวัตร์บนหลังคาโรงงาน สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าประมาณ 8-9 แสนต่อเดือน

นายสมพงษ์ กล่าวว่า  บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ทั้งปีไว้ที่  400-500 ล้านบาท  โดยคาดว่าสิ้นปีน่าจะสามารถทำรายได้ตามเป้า แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะมีปัญหาสินค้าจีนราคาถูกข้ามาทำตลาดทำให้ยอดขายลดลงไปประมาณ 30% ขณะที่งบประมาณรายจ่ายประจำปีของภาครัฐเบิกจ่ายช้า ทำให้มหาวิทยาลัยไม่ลงทุน แต่ในช่วงหลังเริ่มมียอดขายที่เติบโตมากขึ้น จนคาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้า เพราะขณะนี้ทำรายได้ได้แล้วประมาณ 300 ล้านบาท ส่วนรายได้ทั้งปีของปีที่แล้ว 390 ล้านบาท

นายสมพงษ์ กล่าวว่า  ในเรื่องของสินค้าจีนทีมีราคาถูกเข้ามาบุกตลาดไทยก็ต้องการให้รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมคุณภาพสินค้าให้ปลอดภัยไม่มีสารเคมีเจือปนเข้ามาขายในประเทศไทย และออกมาตรการคุมราคาสินค้านำเข้าให้เทียบเท่าราคาและมาตรฐานเดียวกับสินค้าไทย เพราะผู้ประกอบการไทยทำมาตรฐานคำนึงถึงความปลอดภัยและลงทุนเรื่องสิ่งแวดล้อมมาก จึงอยากให้รัฐบาลควบสินค้าจีนในเรื่องเหล่านี้ด้วย

นายสุพัฒน์ ธนะพิงค์พงษ์ บริษัท ฟาร์มระพีพัฒน์ (1999 )จำกัด

“คุมต้นทุน”หัวใจธุรกิจยั่งยืน

ขณะที่ตัวอย่างธุรกิจเอสเอ็มอี ด้านเกษตร ฟาร์มไก่ ระพีพัฒน์  ที่สามารถยืนหยัดมานานกว่า 47 ปีนับจากการก่อตั้งในปี 2521  ผ่านร้อนผ่านหนาวจากความผันผวนของราคาไข่ไก่ และปรับเลี้ยงไก่แบบเดิมเปลี่ยนมาสู่ฟาร์มไก่มาตรฐานแบบครบวงจร

ฟาร์มไก่ระพีพัฒน์ ตั้งบนพื้นที่ 100 ไร่ ในตำบลเกาะขนุน อ.พนนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา โดยจัดแบ่งพื้นที่เป็นโรงเรือนแบบระบบปิด  โดยพื้นที่ฟาร์ม 20% ใช้สำหรับเลี้ยงไก่ และอีก 80% ปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว

 นายสุพัฒน์  ธนะพิงค์พงษ์   เจ้าของ บริษัท ฟาร์มระพีพัฒน์  (1999 )จำกัด เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการทำฟาร์มไก่ไข่ว่าแต่เดิมเริ่มจากการเลี้ยงไก่เนื้อ แต่หลังจากที่บริษัทขนาดใหญ่หันมาผลิตไก่เนื้อมากขึ้นทำให้เห็นว่าถ้าเลี้ยงไก่เนื้อต่อไป ไม่สามารถแข่งขันด้านปริมาณกับบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีโรงเชือดเองทำให้บริษัทกำหนดราคาไก่ได้ จึงหันมาทำไก่ไข่เพราะขณะนั้นยังไม่มีบริษัทใหญ่เลี้ยงไก่ไข่

“เมื่อ 40 ปีก่อน การเลี้ยงไก่ไข่ ยังไม่มีใครทำเพราะกำไรไม่มากบริษัทขนาดใหญ่ยังไม่ทำ ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายเล็กๆ เราเห็นโอกาสก็เลยหันมาทำไก่ไข่ ซึ่งในช่วงแรกยังไม่ได้ทำเต็มตัว ยังสอนหนังสือด้านเศรษฐศาสตร์ ให้ภรรยาดูแลฟาร์มจนตอนหลังผมออกมาทำเต็มตัว” นายสุพัฒน์กล่าว

นายสุพัฒน์ บอกว่า หัวใจของการปรับตัวไปสู่ฟาร์มไก่ครบวงจร มาจากการทำความเข้าใจกลไกราคา ตามทฤษฎีใยแมงมุม (Cobweb Theory) ซึ่งราคาของไข่ปรับตัวขึ้นลงปีละประมาณ 20-30 ครั้ง  เพราะฉะนั้นเกษตรกรส่วนใหญ่ที่เข้ามาลงทุน เพราะเห็นว่า ราคาไข่ดี  แต่ตามทฤษฏีแล้วในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ควรลงทุนต้องรอให้ราคาไข่ตกลงมาก่อน เพราะกว่าไก่จะออกไข่ใช้เวลา 3 เดือน ราคาก็ปรับไปแล้ว

“ปัญหาของเกษตรกรบ้านเราคือทำอะไรก็แล้วแต่จะดูราคาก่อน ไม่ว่าจะลี้ยงอะไร พอราคาดี ก็แห่เลี้ยงตามกันไป แบบนั้นจะลำบากเพราะว่าราคามีวัฏจักรมีขึ้นลง ตอนราคาดีคนเลี้ยงเยอะราคาไข่ก็ตกลงมา เพราะฉะนั้นกฎข้อแรกคืออย่าเลี้ยงตามเขา ถ้าราคาขึ้นไปเยอะอย่าเลี้ยง อยู่เฉยๆแต่ราคาคาตกให้เลี้ยง เพราะเรารู้วัฏจักราคาจะทำให้เราวางแผนได้ว่าจะเลี้ยงไก่ช่วงไหน หรือจะขยายการลงทุนอย่างไรเพื่อให้ได้จังหวะที่เหมาะสมได้” นายสุพัฒน์กล่าว

ส่วนอีกหัวใจที่ถือเป็นเรื่องสำคัญคือ เรื่องของ “ต้นทุน”  นายสุพัฒน์ บอกว่า  ลักษณะ ส่วนใหญ่ระยะแรกในการเลี้ยงต้องพึ่งพาอาศัยบริษัทอุตสาหกรรมไก่ทั้งเรื่อง  ยา , อาหารสัตว์ แม่ไก่สาว  ซึ่งบริษัทอุตสาหกรรมไก่ก็ต้องการขายอาหารและยา เมื่อเกษตรกรผู้เลี้ยงซื้อทุกอย่างก็คุมต้นทุนไม่ได้ กำไรก็ไปอยู่ที่บริษัทขายอาหารสัตว์

“ต้องไปคุมต้นทุน ซึ่งถ้าทำต้นทุนได้ต่ำเท่าไหร จะอยู่รอดได้ แล้วพอมีรายได้มากขึ้นส่วนใหญ่จะขยายลงทุนเพิ่ม แต่เคล็ดลับคือตอนราคาดีอย่าขยายเราต้องคิดต่างจากคนอื่นๆ” นายสุพัฒน์กล่าว

บริษัท ฟาร์มระพีพัฒน์ (1999 )จำกัด

นายสุพัฒน์ บอกว่า การควบคุมต้นทุนของฟาร์มคือ การทำทุกอย่างเองให้ครบวงจร เริ่มตั้งแต่การเลี้ยงลูกไก่ให้เป็นไก่สาว ก่อนเป็นแม่ไก่เพื่อผลิตไข่เอง ทำอาหารเลี้ยงเอง โดยมีสูตรอาหารที่ผสมเองหลากหลาย

“ต้องลดต้นทุน เพราะบริษัทที่เขาทำธุรกิจไก่ เขาอยากขายอาหารและแม่ไก่สาว ขายยา ถ้าเราซื้อลูกไก่เขามาเลี้ยงมาเป็นแม่ไก่สาวเองจะลดต้นทุนตัวละ 20 บาท ถ้าเลี้ยง 100 ตัวก็สามารถประหยัดได้มากกว่า ส่วนค่าอาหาร ทำเองประหยัดได้ประมาณ 20 สตางค์ เราจะคุมต้นทุนได้ดีกว่า เพราะฉะนั้น ไข่ราคาขึ้นลง เราก็ยังมีกำไร” นายสุพัฒน์กล่าว

“ฟาร์มไก่ระพีพัฒน์” เลี้ยงไก่ด้วยโรงเรือน ระบบปิด มีเทคโนโลยีในการควบคุมอุณหภูมิทำให้ไก่สบายไม่เป็นโรค ขณะที่มีโรงผลิตอาหารไก่เอง โดยสามารถผลิตไข่ไก่ได้ประมาณ 3แสนฟองต่อวัน

นอกจากนี้ “ฟาร์มไก่ระพีพัฒน์” ยังเน้นการทำธุรกิจตามแนวทาง Zero Waste  หรือขยะเป็นศูนย์ โดยมูลขี้ไก่ที่ได้นำไปผลิตโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส ขนาด 300 กิโลวัตต์ และ 500 กิโลวัตต์ โดยสามารถลดค่าไฟฟ้าจากเดือน 5-6แสนบาทเหลือเพียง 5 หมื่น ถึงหนึ่งแสนบาท

ส่วนซากไก่ที่ตาย “ฟาร์มไก่ระพีพัฒน์” นำไปเลี้ยงจระเข้ที่เลี้ยงเอาไว้ประมาณ 200-300ตัว ทำให้ไม่เหลือขยะในกระบวนการผลิตเลย ขณะเดียวกันได้ยกระดับฟาร์มให้สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้ และปรับแนวทางการทำธุรกิจตอบโจทย์ Sustainability  ทำให้ไข่มีคุณภาพดี สดใหม่ อย่างยั่งยืนได้