ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup อินโดนีเซียเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุด 200%

ASEAN Roundup อินโดนีเซียเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุด 200%

30 มิถุนายน 2024


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 23-28 มิถุนายน 2567

  • อินโดนีเซียเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุด 200%
  • เวียดนามวางแผนเชื่อมโยง 3 ทางรถไฟกับจีนภายใต้ BRI
  • นายกฯเวียดนามยืนยันไม่มีปัญหาพลังงานไฟฟ้าขาดแคลน
  • เวียดนามแซงจีนส่งออกสิ่งทอ-เครื่องนุ่งห่มไปสหรัฐฯ
  • จีนยังคงเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่สุดของกัมพูชามูลค่า 4.11 พันล้านดอลลาร์
  • สิงคโปร์ยึดทรัพย์จากการฟอกเงิน-คดีอาญากว่า 6 พันล้านดอลลาร์
  • กรณีการฟอกเงินในสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 79%

    อินโดนีเซียเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุด 200%

    ที่มาภาพ: https://agunglogistics.co.id/daftar-barang-impor-dari-china-yang-laku-keras-di-indonesia/?lang=en
    อินโดนีเซียจะกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงถึง 200% ในเร็วๆ นี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาจากการรายงานของสำนักข่าว ANTARA อินโดนีเซีย

    นายซุลกิฟลี ฮาซัน รัฐมนตรีกระทรวงการค้าของอินโดนีเซีย กล่าวเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนว่า นโยบายดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับเมื่อมีการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง

    นายฮาซัน อธิบายว่า สงครามการค้าทำให้อุปทานล้นตลาดในจีน เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของจีนเผชิญกับการปฏิเสธจากประเทศตะวันตก ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย

    นายฮาซันชี้ว่า ภาษีศุลกากรสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในจีนจะอยู่ระหว่าง 100-200%

    การเรียกเก็บภาษีอาจส่งผลกระทบต่อการนำเข้ารองเท้า เสื้อผ้า สิ่งทอ เครื่องสำอาง และเซรามิก นายฮาซันกล่าว

    “สหรัฐฯ สามารถกำหนดอัตราภาษี 200% สำหรับเซรามิกหรือเสื้อผ้านำเข้า เราก็สามารถทำได้เช่นกันเพื่อให้แน่ใจว่า ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและขนาดย่อย หรือ MSME (Micro, Small and Medium Enterprise) และอุตสาหกรรมของเราจะอยู่รอดและเจริญรุ่งเรือง” นายฮาซันกล่าว

    อินโดนีเซียได้ออกกฎระเบียบเมื่อปลายปีที่แล้ว เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้ามากกว่า 3,000 รายการ ตั้งแต่ส่วนผสมอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ และสารเคมี

    อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบดังกล่าวถูกยกเลิกหลังจากอุตสาหกรรมในประเทศระบุว่าเป็นอุปสรรคต่อการไหลเวียนของวัสดุนำเข้าที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมภายในประเทศ

    คณะกรรมการคุ้มครองการค้าอินโดนีเซียกำลังสอบสวนเพื่อกำหนดอัตราภาษี นายบูดี ซานโตโซ เจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการค้า กล่าวเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน

    ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแสดงให้เห็นว่า อินโดนีเซียนำเข้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับจากจีน เวียดนาม และบังคลาเทศเป็นหลัก

    เวียดนามวางแผนเชื่อมโยง 3 ทางรถไฟกับจีนภายใต้ BRI

    ที่มาภาพ: https://tuoitre.vn/duong-sat-lao-cai-ha-noi-hai-phong-can-than-trong-va-tu-luc-canh-sinh-20191128193843842.htm

    เวียดนามกำลังพิจารณาเส้นทางรถไฟ 3 เส้นทางที่จะเชื่อมโยงกับจีนภายใต้โครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative:BRI) และโครงการริเริ่ม “สองระเบียง หนึ่งแถบ” หรือ Two Corridors, One Belt นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์จิ่ง กล่าวเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567

    นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์จิ่ง กล่าวในการประชุมความร่วมมือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งเชิงยุทธศาสตร์เวียดนาม-จีนที่จัดขึ้นในกรุงปักกิ่ง ว่า เส้นทางรถไฟ 3 เส้นทางที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ได้แก่ เส้นทางรถไฟหล่าวกาย-ฮานอย-ไฮฟอง เส้นทางหล่างเซิน-ฮานอย และเส้นทาง หม่องก๋าย-ฮาลอง-ไฮฟอง

    ในช่วงแรกจะมุ่งไปที่เเส้นทางรถไฟหล่าวกาย-ฮานอย-ไฮฟอง

    รัฐบาลเวียดนามจะขอให้หน่วยงานวิจัยร่างสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลสำหรับการใช้เส้นทางรถไฟ 3 เส้นทางโดยมุ่งเน้นไปที่ “เงินกู้ยืมสิทธิพิเศษจากประเทศจีนด้วยกลไกแบบอิสระรวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการฝึกอบรมแรงงาน” เพื่อให้เวียดนามสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมรถไฟของตนเอง

    เวียดนามสนับสนุนให้ธุรกิจของจีนเข้าร่วมโครงการรถไฟใต้ดินในกรุงฮานอยและโฮจิมินห์ซิตี้ ภายใต้รูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership:PPP)

    นายดัง ไซ มานห์ ประธานบริษัท Vietnam Railways Corporation รัฐวิสาหกิจของเวียดนาม กล่าวในการประชุมว่า ภายใต้แผนแม่บทการรถไฟปี 2573 ประเทศมีเป้าหมายที่จะยกระดับระยะทาง 2,440 กิโลเมตร และสร้างเส้นทางรถไฟใหม่ 2,362 กิโลเมตร

    ภายใต้แผนแม่บทอีกฉบับหนึ่งสำหรับปี 2593 มีเป้าหมายที่จะเชื่อมต่อเครือข่ายทางรถไฟของเวียดนามกับทางรถไฟสายทรานส์เอเชียผ่านทางจีน และเครือข่ายรถไฟอาเซียนผ่านลาวและกัมพูชา

    ภายใต้แถลงการณ์ร่วมที่เผยแพร่โดยทั้งสองประเทศนายดัง ไซ มานห์ เรียกร้องให้หน่วยงานของจีนจัดทำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางรถไฟโดยเร็ว การรถไฟเวียดนามกำลังแสวงหาความร่วมมือกับธุรกิจรถไฟของจีนในด้านอุปกรณ์ หัวรถจักร และรถไฟ

    นายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์จิ่ง ขอให้จีนช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการจราจรของเวียดนามด้วยสินเชื่อพิเศษ เทคโนโลยีขั้นสูง การฝึกอบรมแรงงาน และการจัดการ โดยเสนอให้รัฐวิสาหกิจและเอกชนในจีนเข้าร่วมโครงการก่อสร้าง การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล การขนส่ง การเปลี่ยนแปลงสีเขียว และพลังงานทดแทนในเวียดนาม

    นายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์จิ่งซึ่งได้เดินทางเยือนจีนเป็นเวลา 4 วัน ได้เข้าพบกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน เสนอให้ทั้งสองประเทศร่วมมือกันเพิ่มเติมในการสร้างโครงการสำคัญ และเร่งการเชื่อมโยงทางรถไฟภายใต้ BRI รวมทั้งยังเรียกร้องให้มีการลงทุนคุณภาพสูงจากประเทศจีนมากขึ้น

    นายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์จิ่’ยังเสนอให้ ทั้งสองประเทศยกระดับความร่วมมือผ่านความสัมพันธ์ระหว่างท้องถิ่น การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจข้ามพรมแดน กิจกรรมทางเศรษฐกิจบริเวณชายแดน และด่านชายแดนอัจฉริยะ

    พร้อมเน้นย้ำว่าเวียดนามถือว่าการพัฒนาความสัมพันธ์ที่มั่นคง ยั่งยืน และระยะยาวกับจีน เป็นจุดประสงค์ที่ต้องการ เป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์ และมีลำดับความสำคัญสูงสุดในนโยบายการทูต

    ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า จีนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง และถือว่าความสัมพันธ์กับเวียดนาม มีความสำคัญในลำดับต้นๆในการทูตโดยรวมกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งสองฝ่ายควรส่งเสริมความร่วมมือที่สำคัญ การแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน ควบคุมและจัดการกับความแตกต่างได้ดีขึ้น และยกระดับการประสานงานในเวทีพหุภาคี ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาภูมิภาคและโลก

    และได้เน้นย้ำการสนับสนุนของจีนต่อเวียดนามในการเร่งกระบวนการปรับปรุงให้ทันสมัยและอุตสาหกรรม และขอให้เวียดนามทำงานร่วมกับจีนและประเทศอื่น ๆ ในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานและการผลิตที่มั่นคงและยั่งยืน

    นายกฯเวียดนามยืนยันไม่มีปัญหาพลังงานไฟฟ้าขาดแคลน

    นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์จิ่ง เวียดนามในงาน World Economic Forum ที่จัดขึ้นในเมืองต้าเหลียนของจีน ที่มาภาพ: https://e.vnexpress.net/news/business/economy/vietnam-will-not-experience-power-shortage-pm-tells-global-investors-4762957.html

    นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์จิ่ง กล่าวกับนักลงทุนต่างชาติในการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองต้าเหลียนของจีนเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ระหว่างการหารือกับผู้นำองค์กรประมาณ 20 ราย ว่า เวียดนามจะไม่ประสบปัญหาขาดแคลนพลังงานในปีนี้ แม้ปริมาณการใช้งานจะเพิ่มขึ้น 15% ก็ตาม

    เวียดนามประสบปัญหาการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าในบางพื้นที่เมื่อปีที่แล้ว แต่ปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วในปีนี้ นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์จิ่ง กล่าว

    ในการตอบข้อซักถามของนักลงทุนส่วนหนึ่งเกี่ยวกับแหล่งจ่ายไฟของเวียดนาม นายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์จิ่ง กล่าวว่า การใช้ไฟฟ้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 15% ในปีนี้ และการใช้ไฟฟ้าในวันที่ 14 มิถุนายนเพียงวันเดียวก็เกินหนึ่งพันล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการสร้างสถิติใหม่ในประวัติศาสตร์ แต่ปริมาณไฟฟ้าก็เพียงพอ

    “เวียดนามจะไม่เผชิญกับปัญหาการขาดแคลนพลังงาน เนื่องจากเรามีโซลูชั่นที่ครอบคลุมทั้งในด้านการจัดหา ระบบสายส่ง การจัดจำหน่าย และการใช้ไฟฟ้า ขณะเดียวกันก็เสนอราคาขายรายย่อยที่สมเหตุสมผล”

    การติดตั้งสายส่งขนาด 500 กิโลโวลต์มีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนนี้ และจะเพิ่มความสามารถในการส่งไฟฟ้าจากภาคใต้ไปยังภาคเหนือได้เกือบ 2,500 เมกะวัตต์ นอกจากนี้เวียดนามกำลังพยายามใช้แหล่งพลังงานสะอาดมากขึ้น

    รัฐบาลกำลังปรับปรุงกฎระเบียบเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้ครัวเรือนและธุรกิจต่างๆ ติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนชั้นดาดฟ้าเพื่อใช้เอง นอกจากนี้ยังจะออกนโยบายใหม่เกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติและก๊าซธรรมชาติเหลวเพื่อดึงดูดนักลงทุน

    รัฐบาลยังดำเนินการเกี่ยวกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับภาษีขั้นต่ำทั่วโลก(global minimum tax) โดยมุ่งเน้นเปลี่ยนสิทธิประโยชน์ทางภาษีไปเป็นแรงจูงใจทางการเงิน ค่าใช้จ่าย และที่ดินสำหรับโครงการพิเศษ

    เวียดนามให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงการเทคโนโลยีขั้นสูงและมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งจะขับเคลื่อนการเติบโตและกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล และกำลังเชิญชวนนักลงทุนในภาคเซมิคอนดักเตอร์และ AI

    นักลงทุนต่างชาติที่เข้าร่วมได้ยกย่องเวียดนามว่าเป็นประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็วพร้อมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ดีขึ้น

    แบรนด์ เฉิง ประธานและซีอีโอของ Foxconn ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กล่าวว่า บริษัทได้จัดตั้งโรงงานแห่งใหม่ในเวียดนามเมื่อเดือนเมษายน หลังจากที่เปิดเผยแผนดังกล่าวกับนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกได้ 3 เดือน

    “นี่คือตัวอย่างความมุ่งมั่นของเวียดนามในการพัฒนาเศรษฐกิจ เวียดนามเติบโตอย่างรวดเร็ว” ปัจจุบัน Foxconn มีโรงงานใน 5 จังหวัดและมีพนักงาน 80,000 คน จนถึงปัจจุบันมีการทุ่มเงินถึง 4 พันล้านดอลลาร์

    บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่อย่าง Pepsico ในรอบ 30 ปี ได้ลงทุน 850 ล้านดอลลาร์ในเวียดนาม และวางแผนที่จะทุ่มเงินมากขึ้นในภาคเกษตรกรรมและการแปรรูปอาหาร นอกจากนี้ยังต้องการเพิ่มการสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและการรีไซเคิลพลาสติก

    นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เวียดนามจะยังคงให้ความสำคัญกับการเติบโตต่อไป ในขณะเดียวกันก็ควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ได้

    GDP ขยายตัว 5.5% ในปีที่แล้วและ 5.66% ในไตรมาสแรกของปีนี้ การเติบโตคาดว่าจะสูงขึ้นในไตรมาสนี้ และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี

    หนี้สาธารณะ หนี้รัฐบาล และหนี้ต่างประเทศอยู่ต่ำกว่าเพดานอย่างมาก ในขณะที่เงินด่องเวียดนามเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่อ่อนค่าน้อยที่สุดในภูมิภาค

    ในเร็วๆ นี้ รัฐบาลจะจัดตั้งคณะทำงานที่นำโดยนายกฯ เพื่อแก้ไขปัญหาคอรัปชัน โดยรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆจะมีส่วนร่วมในการปรับปรุงกฎระเบียบให้ดีขึ้น

    “เวียดนามยังคงให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอนโยบายที่ยืดหยุ่นเพื่อฟื้นฟูตัวขับเคลื่อนการเติบโตแบบดั้งเดิม และเพื่อส่งเสริมพื้นที่ใหม่ๆ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และเศรษฐกิจการแบ่งปัน” นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์จิ่ง กล่าว

    นอกจากนี้ยังเสนอให้ WEF และประเทศต่างๆ กระชับความร่วมมือกับเวียดนามในการสร้างและวางแผนนโยบาย และในการช่วยให้ประเทศมีส่วนร่วมในความคิดริเริ่มและระบบนิเวศของ WEF

    เคลาส์ ชวับ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของ WEF กล่าวว่า เวียดนามเป็นแบบอย่างของเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งใช้ประโยชน์จากโอกาสของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 อย่างมีประสิทธิภาพ

    WEF และเวียดนามได้ตกลงร่วมกันเพื่อผลักดันศูนย์การปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ในโฮจิมินห์ซิตี้ให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อชั้นนำของภูมิภาค

    เวียดนามแซงจีนส่งออกสิ่งทอ-เครื่องนุ่งห่มไปสหรัฐฯ

    ที่มาภาพ:https://tuoitrenews.vn/news/business/20240625/vietnam-overtakes-china-to-lead-market-share-of-textilegarment-exports-to-us/80607.html
    เวียดนามแซงหน้าจีนขึ้นเป็นผู้นำส่วนแบ่งการตลาดของการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไปสหรัฐอเมริกาในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ และการส่งออกสินค้าเหล่านี้ยังมีการเติบโตสูงสุดในกลุ่มผู้ส่งออก 3 อันดับแรกของโลก จากการเปิดเผยของ Vietnam National Textile and Garment Group (Vinatex)

    การส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของเวียดนามในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคมมีมูลค่าเกือบ 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดย 6,000 ล้านดอลลาร์มาจากตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อนหน้า ตามข้อมูลของ Vinatex

    ด้วยผลการดำเนินงานที่ดี เวียดนามจึงแซงหน้าจีนโดยครองส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไปสหรัฐอเมริกา และการส่งออกยังเติบโตสูงที่สุดในบรรดาผู้ส่งออกสินค้าเหล่านี้สามอันดับแรกของโลก Cao Huu Hieu ผู้อำนวยการทั่วไปของ Vinatex กล่าว

    ประเทศอื่นที่อยู่ในสามอันดับแรก ได้แก่ จีนและบังคลาเทศ โดยจีนมีมูลค่าการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มโดยรวม 66,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม ลดลง 2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ในขณะที่บังคลาเทศมีรายได้ 21.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.9% ตามข้อมูล Vinatex

    Vinatex ชี้ว่า การเติบโตของเวียดนามมีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนคำสั่งซื้อจำนวนมากจากประเทศอื่นๆ ไปยังเวียดนาม และการอ่อนค่าของเงินดองเวียดนาม 5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ไม่ใช่มาจากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ทั่วโลก

    กิจการตัดเย็บเสื้อผ้าส่วนใหญ่ได้รับคำสั่งซื้อในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 และกำลังเจรจาคำสั่งซื้อสำหรับไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันประจำปีในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ อย่างไรก็ตาม ราคาต่อหน่วยในปัจจุบันยังคงต่ำกว่าปี 2562 ถึง 20-50%

    ขณะเดียวกัน ราคาสำหรับการสั่งสิ่งทอจากตลาดหลัก เช่น จีน ตุรกี และเกาหลีใต้ ได้เข้าใกล้ระดับคุ้มทุนแล้ว ดังนั้นการประหยัดต้นทุนการผลิตจึงมีความจำเป็นเพื่อประกันว่าจะมีผลกำไร

    Hieu กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มีการดูแลรักษาพนักงานองค์กรทั่วทั้งกลุ่ม เพื่อให้ปฏิบัติตามคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อได้อย่างทันท่วงที โดยที่พนักงานได้รับรายได้เท่ากับรายได้ในปี 2566

    อย่างไรก็ตาม จากการที่เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด ผู้ประกอบการสิ่งทอจำนวนมาก นอกจากมีผลิตภัณฑ์เส้นใยฝ้ายแบบดั้งเดิม จะต้องเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์เส้นใยผสมและรีไซเคิลที่ยืดหยุ่น ซึ่งไม่ใช่จุดแข็งของพวกเขา เพื่อหาลูกค้าใหม่ในตลาดเฉพาะกลุ่ม

    ในเวลาเดียวกัน ก็กำลังพยายามแสวงหาตลาดใหม่เพื่อลดการพึ่งพาตลาดแบบดั้งเดิม รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต

    Hieu เตือนว่าในช่วงครึ่งหลังของปี ความต้องการสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในตลาดหลักๆ ไม่คาดว่าจะดีขึ้น ขณะเดียวกัน ประเทศคู่แข่งอาจลดค่าเงินลง 15-20% เพื่อให้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน ดังนั้นธุรกิจเวียดนามจึงมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงท่ามกลางต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น ราคาค่าไฟฟ้า อัตราดอกเบี้ยธนาคาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ

    จีนยังคงเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่สุดของกัมพูชามูลค่า 4.11 พันล้านดอลลาร์

    ที่มาภาพ: https://asiatimes.com/2022/09/cambodia-not-quite-yet-in-a-china-debt-trap/
    จีนยังคงเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของกัมพูชาโดยมีมูลหนี้ 4.11 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 ตามมาด้วยธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และธนาคารโลกซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่อันดับสองและสามตามลำดับ

    แต่ด้วยการระดมทุนจากแหล่งอื่น ๆ ที่เข้ามาในกัมพูชา สัดส่วนหนี้คงค้างของจีนเมื่อเทียบกับหนี้ของกัมพูชาทั้งหมดจึงลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปี โดยลดลงจาก 40% ในปี 2565 เหลือ 36.7% ในปี 2566 จากหนี้พหุภาคีที่เพิ่มขึ้น

    เจ้าหนี้รายใหญ่อันดับสองของกัมพูชา คือ Asian Development Bank โดยมีมูลหนี้ 2.3 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 23.6% ของหนี้สาธารณะจากต่างประเทศทั้งหมด ส่วนเจ้าหนี้รายใหญ่อันดับสาม ธนาคารโลก มีมูลหนี้คงค้าง 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 11.8% ของหนี้ทั้งหมด ณ ปี 2566 เจ้าหนี้รายใหญ่อันดับสี่และห้าของกัมพูชา ได้แก่ ญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี คิดเป็น 11.2% และ 5.1% ของหนี้คงค้างทั้งหมดตามลำดับ

    แต่สัดส่วนเงินให้กู้โดยรวมของจีนแก่กัมพูชาก็ลดลงเช่นกัน หลังการจัดหาเงินทุนของธนาคารโลกทำสถิติสูงสุดที่ 501.3 ล้านดอลลาร์หรือ 27.7% ของหนี้ทั้งหมดที่กัมพูชาทำสัญญาไว้ในปี 2566 และอาจเพิ่มขึ้นในปี 2567 ในสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารโลก ได้อนุมัติเงินประมาณ 275 ล้านดอลลาร์สำหรับภูมิภาคนี้ เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากการเบิกจ่ายของธนาคารโลกในปี 2560 ที่ 15.8 ล้านดอลลาร์

    ในรายงานล่าสุด ธนาคารโลกกล่าวว่า การให้ความสำคัญของรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อทศวรรษที่แล้ว การเบิกจ่ายเงินกู้ทั้งหมดเป็นไปเพื่อโครงการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศทั้งหมด ปัจจุบัน การขยายการสนับสนุนทางการเงินช่วยให้มีการเติบโตแบบองค์รวมมากขึ้น รายงานของธนาคารโลกระบุว่า การจัดหาเงินทุนแก่ภาคส่วนที่มีลำดับความสำคัญมากขึ้นเพื่อการศึกษาและการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น

    รายงานธนาคารโลกระบุว่า “การจัดหาเงินทุนในขณะนี้ครอบคลุมพื้นที่ที่หลากหลาย รวมถึงการจัดหาเงินทุนเพื่อการพัฒนานโยบาย การศึกษาทั่วไปและระดับอุดมศึกษา การจัดสรรที่ดินทางสังคมและเศรษฐกิจ การกระจายความหลากหลายทางการเกษตร ความเสมอภาคด้านสุขภาพและการปรับปรุงคุณภาพ การเชื่อมต่อถนน การส่งเสริมการดำรงชีวิต การจัดหาน้ำ และการจัดการภัยพิบัติ”

    จากการเบิกจ่ายทั้งหมด 1.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 นั้น 63% นำไปใช้สนับสนุนภาคโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะของประเทศ ซึ่งรวมถึงการขนส่ง พลังงาน การชลประทาน น้ำประปา และโครงการอื่นๆ และ 36.9% สนับสนุนภาคส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้างพื้นฐาน เช่น เกษตรกรรม สุขภาพ การศึกษา และภาคส่วนอื่นที่มีสำคัญ

    “แม้ว่าหนี้สาธารณะจะเป็นหนี้ต่างประเทศกึ่งพิเศษและเป็นเงินตราต่างประเทศ แต่ความเสี่ยงก็ยังคงสามารถจัดการได้ ระดับหนี้สาธารณะอยู่ในระดับปานกลาง และส่วนใหญ่ประกอบด้วยระยะเวลาครบกำหนดชำระปานกลางถึงระยะยาว นอกเหนือจากการมีข้อผ่อนปรนมากขึ้น โดยประมาณ 45% รวมเงินช่วยเหลือไว้ด้วย” จากรายงานของ CoFace for Trade

    แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ระดับโลก และการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ เกี่ยวกับเงินดอลลาร์ เนื่องจากหนี้สาธารณะต่างประเทศที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นหนี้สาธารณะก้อนใหญ่ที่สุด เพิ่มขึ้นเป็น 46% ของหนี้ทั้งหมดในปี 2566 ตามมาด้วยหนี้ SDR(Special Drawing Right) หรือสิทธิพิเศษถอนเงิน ในสัดส่วน 19.2%

    แม้ว่าจีนจะครองตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของกัมพูชา แต่หนี้สกุลเงินหยวนของจีนกลับมีสัดส่วนเพียง 11.3% ของหนี้คงค้างทั้งหมด หนี้สาธารณะที่เป็นสกุลเงินเยน ยูโร และสกุลเงินอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 11.2%, 6.9% และ 5.4% ตามลำดับ

    สิงคโปร์ยึดทรัพย์จากการฟอกเงิน-คดีอาญากว่า 6 พันล้านดอลลาร์

    ที่มาภาพ เพจ:
    Singapore Tourism Board
    วันที่ 26 มิถุนายน 2567 สิงคโปร์เผยแพร่ยุทธศาสตร์การเรียกคืนทรัพย์สินผิดกฎหมาย(National Asset Recovery Strategy) โดยกำหนดแนวทางที่ครอบคลุมในการเรียกคืนเงินทุนและทรัพย์สินที่ผิดกฎหมายจากอาชญากร และการริบทรัพย์สินเหล่านี้หรือการส่งคืนให้กับเหยื่อ

    National Asset Recovery Strategy ประกาศโดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลังนายลอว์เรนซ์ หว่อง ในการเปิดการประชุมเต็มคณะของFinancial Action Task Force เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องของสิงคโปร์ในการส่งเสริมการต่อต้านการฟอกเงินและการต่อต้านการจัดหาเงินทุนจากการก่อการร้าย(Anti-Money Laundering and Countering the Financing of Terrorism:AML/CFT)

    กิจกรรมฟอกเงินทั่วโลกมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายกองทุนผิดกฎหมายจำนวนมากข้ามเขตปกครองอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบต่อเหยื่อจำนวนมาก โดยเฉพาะในสิงคโปร์ คดีฟอกเงินส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นคดีข้ามชาติ เกี่ยวข้องกับฐานความผิดต่างประเทศและองค์กรอาชญากรรมต่างประเทศซึ่งใช้วิธีการที่ซับซ้อนและยุ่งยาก รวมถึงกลยุทธ์การแบ่งเป็นลำดับชั้นและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อปกปิดการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนที่ผิดกฎหมายของเงินทุน

    การเรียกคืนสินทรัพย์ถือเป็นเสาหลักหนึ่งของการต่อต้านการฟอกเงินของสิงคโปร์ โดยพยายามที่จะยับยั้งกระแสการไหลเวียนของทรัพย์สินที่ผิดกฎหมายผ่านระบบนิเวศทางการเงินของสิงคโปร์ ระหว่างเดือนมกราคม 2019 ถึงมิถุนายน 2024 สิงคโปร์ยึดเงิน 6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางอาญาและการฟอกเงิน โดยในจำนวนนี้ 416 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ได้ส่งคืนให้กับเหยื่อ และ 1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ถูกริบเข้าเป็นของรัฐ ส่วนที่เหลือจำนวนมากยังอยู่ในการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีของศาล

    การเรียกคืนสินทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จต้องใช้แนวทางที่หลากหลาย ด้วยเหตุนี้ ยุทธศาสตร์การเรียกคืนทรัพย์สินแห่งชาติของสิงคโปร์จึงมุ่งเน้นไปที่เสาหลัก 4 ประการ ได้แก่

  • ตรวจจับกิจกรรมและการกระทำที่น่าสงสัย โดยการติดตามกองทุนที่ผิดกฎหมาย
  • ตัดอาชญากรออกจากเงินทุนที่ได้มาโดยมิชอบด้วยการยึดและริบทรัพย์โดยทันที
  • ริบทรัพย์สินให้ได้คืนมากที่สุดและชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายมากที่สุด และ
  • ป้องกันไม่ให้อาชญากรใช้สิงคโปร์ในการซุก เคลื่อนย้าย หรือใช้ทรัพย์สินที่ผิดกฎหมาย

    สิงคโปร์นำเสาหลักทั้งสี่นี้ไปใช้ผ่านการดำเนินการเพื่อป้องกันการสูญเสียจากต้นทางและการดูแลสังคม โดยได้เสริมสร้างความร่วมมือกับคู่ค้าระหว่างประเทศ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชนและภาคเอกชน ตัวอย่างเช่น หน่วยบัญชาการป้องกันการหลอกลวงของกองกำลังตำรวจสิงคโปร์และธนาคารในพื้นที่ได้ส่ง SMS แจ้งเตือนมากกว่า 16,700 ครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเมษายน 2024 เพื่อเตือนลูกค้าธนาคารมากกว่า 12,500 ราย ซึ่งทางการตรวจพบว่ากำลังถูกหลอกลวง ส่งผลให้รอดพ้นจากการถูกหลอกลวงกว่า 3,000 ครั้งและหลีกเลี่ยงการสูญเสียมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์

    กรณีการฟอกเงินในสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 79%

    ที่มาภาพ: https://sg.news.yahoo.com/police-1-billion-properties-cash-cars-anti-money-laundering-raid-011412288.html
    ในปี 2566 กรณีการฟอกเงินในสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 79% เมื่อเทียบกับปี 2565 ตามรายงานของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์ (Moody’s) ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาคการเงินของสิงคโปร์ จากการให้ข้อมูลเชิงลึก ของ นายฉั่ว ชุน ฮง ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการอาชญากรรมทางการเงินประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลางของมูดี้ส์

    ในรายงานของ The Business Times นายฉั่ว อธิบายว่า เศรษฐกิจแบบเปิดของสิงคโปร์และธุรกรรมระหว่างประเทศที่มีปริมาณมากทำให้สิงคโปร์มีความเสี่ยงต่อการฟอกเงินมากขึ้น

    แม้สิงคโปร์จะมีชื่อเสียงด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่แข็งแกร่ง ตามที่ระบุไว้ในการประเมินความเสี่ยงระดับชาติของ Monetary Authority of Singapore นายฉั่วเตือนถึงความชะล่าใจที่อาจเกิดขึ้นในบรรดาสถาบันการเงินและธุรกิจอื่นๆ โดยอธิบายว่า แม้การตรวจสอบด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่สูงขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการส่งเสริมความไว้วางใจในความซื่อตรงของเศรษฐกิจ

    การตรวจสอบข้อเท็จจริงนี้ยังส่งเสริมการค้าและธุรกรรมในภูมิภาค และช่วยบรรเทาผลกระทบของอาชญากรรมทางการเงิน

    ข้อมูลของมูดี้ส์แสดงให้เห็นว่ากรณีการฟอกเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2566 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรณีการฟอกเงินเพิ่มขึ้น 64% ในปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2561

    ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์เป็นประเทศ 5 อันดับแรกที่เผชิญกับความท้าทายเหล่านี้

    แนวโน้มที่ชัดเจนในสิงคโปร์ คือ จำนวนผู้ใช้บริการตัวแทน ที่เป็น corporate service providers เพิ่มขึ้นเพื่อตั้งบริษัทเปล่า(shell companies)

    ข้อมูลของมูดี้ส์ยังเผยให้เห็นว่ามากกว่า 8% ของนิติบุคคล 1.7 ล้านแห่งที่จดทะเบียนในสิงคโปร์มีกรรมการ ที่มีการดำรงตำแหน่งกรรมการพร้อมกันในบริษัทที่ไม่ได้ดำเนินกิจการในจำนวนที่สูงผิดปกติ ซึ่งทำให้เกิดข้อกังวลว่ากรรมการที่มีชื่ออาจถูกใช้เพื่อปกปิดความเป็นเจ้าของที่แท้จริง

    นายฉั่วเชื่อว่า corporate service providers และนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานเหล่านี้ ในนามของลูกค้าควรได้รับการตรวจสอบในระดับเดียวกับสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตรวจสอบสถานะและการลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่าแนวทางปฏิบัติอันเข้มงวดของสถาบันการเงินส่งผลให้เวลาในการใช้งานของลูกค้านานขึ้น

    อย่างไรก็ตามนายฉั่วเน้นย้ำว่า มาตรการนี้มีความจำเป็นเนื่องจากมีความมั่งคั่งไหลเข้าสู่สิงคโปร์เพิ่มมากขึ้น และจำเป็นต้องพิจารณาแหล่งที่มาของเงินทุนเหล่านี้อย่างละเอียด