ThaiPublica > สู่อาเซียน > “ปราโบโว ซูเบียนโต” ประธานาธิบดีคนต่อไปของอินโดนีเซีย

“ปราโบโว ซูเบียนโต” ประธานาธิบดีคนต่อไปของอินโดนีเซีย

16 กุมภาพันธ์ 2024


ปราโบโว ซูเบียนโต ที่มาภาพ:เพจ Prabowo Subianto

แม้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการยังจะไม่ประกาศจนกว่าจะถึงปลายเดือนมีนาคม แต่ก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ปราโบโว ซูเบียนโต คว้าชัย จ่อที่จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนที่ 8

ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย โจโค วิโดโด หรือ “โจโกวี” กล่าวว่า เขาได้พบและแสดงความยินดีกับปราโบโว ซูเบียนโต และ กิบราน รากาบูมิง รากา ที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในขณะที่คู่แข่งอ้างว่ามีการโกงคะแนนเสียงอย่างกว้างขวาง

ผลนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการหลังการปิดหีบลงคะแนนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปราโบโว ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้ง หลังจากสำนักโพลหลายแห่งรายงานผลสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนที่เพิ่งลงคะแนนเสร็จหรือ เอ็กซิทโพลล์ (Exit Poll) ว่า เขาและ กิบราน รากาบูมิง รากา ลูกชายคนโตของโจโกวี ที่มีตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองสุรากาตาร์ และเป็นคู่สมัครชิงการเลือกตั้งของปราโบโว ซูเบียนโต ในตำแหน่งรองประธานาธิบดี เป็นผู้นำด้วยคะแนนเสียงประมาณ 58%

Exit poll ได้จากการสำรวจบริเวณหน่วยเลือกตั้งกว่า 3,000 แห่งด้วยการสุ่มตัวอย่างและมีจำนวน 2,857 ตัวอย่าง

ปราโบโว เคยลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว และครั้งนี้จึงเป็นนัดที่ 3 โดยแพ้โจโควีในการเลือกตั้งปี 2557 และ 2562

ปราโบโว ซูเบียนโต รัฐมนตรีกลาโหม ในวัย 72 ปี ซึ่งปวารณาตัวเป็นผู้สืบทอดต่อจากประธานาธิบดี โจโก วิโดโด ได้ยกผลอย่างไม่เป็นทางการบอกกับผู้สนับสนุนหลายพันคนในเมืองหลวงจาการ์ตาว่า ชัยชนะของเขาคือ “ชัยชนะของชาวอินโดนีเซียทั้งหมด”

“เราไม่ควรหยิ่งผยอง เราไม่ควรภาคภูมิใจ เราไม่ควรร่าเริง เรายังต้องถ่อมตัว ชัยชนะครั้งนี้จะต้องเป็นชัยชนะของชาวอินโดนีเซียทุกคน” ปราโบโวกล่าว ในการปราศรัยที่ออกอากาศทางโทรทัศน์แห่งชาติจากสนามกีฬา

ที่มาภาพ:เพจ Prabowo Subianto

คู่แข่งของปราโบโวในการลงแข่งขันชิงประธานาธิบดีในปีนี้ คือ นายอานีส บัสเวดัน อายุ 53 ปี อดีตผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา และ นายกันจาร์ ปราโนโว ผู้ว่าราชการจังหวัดชวากลาง อายุ 54 ปี ซึ่งได้คะแนนเสียง 25% และ 17% ตามลำดับ ในการนับอย่างไม่เป็นทางการ

รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2488 กำหนดว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบเดียวจะมีผล หากคู่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับคะแนนเสียงมากกว่า 50% ของคะแนนเสียงทั้งหมด โดยมีคะแนนเสียงกระจายอย่างน้อย 20% ในแต่ละจังหวัดและกระจายไปทั่วอย่างน้อย 20 จังหวัด ซึ่งคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนจังหวัด

ผลการนับคะแนนเบื้องต้นที่ได้นำขึ้นไว้ในเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้งนั้น ก็แสดงผลไม่ต่างจากเอ็กซิทโพล

อย่างไรก็ตามจะไม่มีการประกาศผลอย่างเป็นทางการจนกว่าจะถึงปลายเดือนมีนาคม โดยประธานาธิบดีคนใหม่มีกำหนดสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ตุลาคม ส่วนวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปีในรอบที่สองและสุดท้ายของโจโกวีจะสิ้นสุดในเดือนตุลาคม เนื่องด้วยข้อกำหนดทางรัฐธรรมนูญ

หลังปราโบโวและกิบราน สาบานตนเข้ารับตำแหน่งในเดือนตุลาคม กิบราน ในวัย 36 ปี จะกลายเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของอินโดนีเซียที่จะดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี

เมื่อวันพฤหัสบดีปราโบโวได้โพสต์รูปถ่ายของตัวเองที่หูกำลังแนบโทรศัพท์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X (เดิมคือ Twitter) พร้อมระบุว่า เขา “ได้รับโทรศัพท์แสดงความยินดีจากผู้นำต่างประเทศหลายคน” ในเช้าวันพฤหัสบดี

ปราโบโวเอ่ยชื่อผู้นำ ตั้งแต่“นายกรัฐมนตรีแอนโธนี อัลบานีส นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และรานิล วิกรมสิงเห ประธานาธิบดีศรีลังกา”

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นการเลือกตั้งใหญ่ของอินโดนีเซีย โดยผู้ลงคะแนนเสียงไปออกไปลงคะแนนเพื่อเลือกประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนราษฎรระดับภูมิภาค และสภานิติบัญญัติระดับภูมิภาค ในระดับจังหวัด เมือง และเขต

ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงทั่วประเทศมีจำนวน 204,807,222 คน

การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 ที่ชาวอินโดนีเซียเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีโดยตรงนับตั้งแต่ปี 2541 เมื่อประเทศกลายเป็นประชาธิปไตย

ที่มาภาพ:เพจ Prabowo Subianto

จากอดีตนายพลโหดมาเป็น”คุณปู่สุดคิ้วท์”

ปราโบโว ซูเบียนโต ซึ่งจ่อที่จะเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของอินโดนีเซียคือใคร

ปราโบโว เป็นอดีตนายพลคนหนึ่ง ซึ่งครั้งหนึ่งที่มีคนหวาดกลัวไปทั่วอินโดนีเซียและถูกแบนจากสหรัฐอเมริกา ได้เปลี่ยนตัวเองเป็น “คุณปู่สุดคิ้วท์” หรือ “cute grandpa’

ปราโบโวหัวหน้าพรรค Gerindra เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุด

จอห์น มูฮัมหมัด กังวลเกี่ยวกับอนาคตของระบอบประชาธิปไตยของอินโดนีเซีย

นักเคลื่อนไหวรายนี้มีบทบาทสำคัญในการประท้วงที่นำโดยนักศึกษาในปี 1998 ซึ่งทำให้การปกครองอย่างเข้มงวดกว่า 30 ปีของอดีตผู้นำอินโดนีเซีย ซูฮาร์โต ต้องสิ้นสุดลง และเปิดศักราชของการปฏิรูปประชาธิปไตย

แต่ตอนนี้ ปราโบโว ซูเบียนโต หนึ่งในนายพลที่น่าเกรงขามที่สุดและอดีตลูกเขยของซูฮาร์โต ดูเหมือนว่าจะเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“ถ้าปราโบโวเป็นประธานาธิบดี จะทำให้หลายคนกล้าขึ้น ไม่มีใครกลัวการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะเขาหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่อเขาและพยายามปกปิด” มูฮัมหมัดกล่าว โดยย้อนไปถึงวิธีที่กองกำลังพิเศษ Kopassus(Kopassus Special Forces) ภายใต้คำสั่งของปราโบโว ปราบปรามการประท้วงที่ มหาวิทยาลัยไตรศักดิ์(Trisakti University)ในกรุงจาการ์ตา เมื่อเดือนพฤษภาคม 2541

นักศึกษาสี่คนถูกสังหาร และบาดเจ็บอีกหลายสิบคน เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความไม่พอใจในวงกว้าง และหลังจากการล่มสลายของซูฮาร์โต ส่งผลให้ปราโบโวถูกปลดออกจากกองทัพอย่างไร้ศักดิ์ศรี

อดีตนายพลปราโบโวไม่เคยถูกพิจารณาคดีเรื่องมหาวิทยาลัยไตรศักดิ์ หรือการลักพาตัว 22 ครั้งที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่วุ่นวายนั้น แม้ว่าคนของเขาบางคนจะถูกพิจารณาคดีและตัดสินว่ามีความผิดก็ตาม และนักเคลื่อนไหวทั้งสิบสามคนหายสาบสูญ

สำหรับมูฮัมหมัด ชัยชนะของปราโบโววัย 72 ปีในการเลือกตั้งเมื่อวันพุธ จะเป็นช่วงเวลาอันตรายสำหรับอินโดนีเซีย “มันอันตรายมาก และอินโดนีเซียจะกลายเป็นประชาธิปไตยที่มืดมิดโดยมีปราโบโวเป็นผู้นำ” มูฮัมหมัดกับอัลจาซีรา

ปราโบโวเกิดในปี 2494 ในกรุงจาการ์ตา เป็นบุตรชายของสุมิโตร โจโยฮาดิกูซูโม นักเศรษฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงชาวอินโดนีเซีย เขาลงทะเบียนเรียนในสถาบันการทหารอินโดนีเซียในปี 2513 และหลังจากสำเร็จการศึกษา เขาได้เข้าร่วมหน่วยทหารพิเศษ Kopassus

ปราโบโวเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของซูฮาร์โต จากการแต่งงานกับสิติ เฮดิอาติ ฮาริยาดี ลูกสาวของอดีตผู้นำ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ ติเตียก โซฮาร์โต เมื่อปี 2526 ทั้งคู่หย่าร้างกันในอีก 15 ปีต่อมา

ในเดือนพฤษภาคมปี 2541 เมื่อการจลาจลต่อต้านจีนปะทุขึ้นทั่วอินโดนีเซีย ปราโบโว เป็นผู้นำกองกำลัง Kopassus

การจลาจล ซึ่งนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า เกิดขึ้นจากการจัดการของทหารเพื่อหันเหความสนใจไปจากความโกรธของสาธารณชนต่อซูฮาร์โต ท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชียและการล่มสลายทางเศรษฐกิจ ทำให้มีการปล้นสะดม เผาธุรกิจที่มีชาวจีนเป็นเจ้าของ และรณรงค์ก่อการร้ายซึ่งรวมถึงผู้ก่อจลาจลหลายร้อยคน การสังหาร การทุบตี และการข่มขืนหมู่สตรีเชื้อสายจีน

นักเคลื่อนไหวหญิงคนหนึ่ง ซึ่งประสงค์จะไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากกลัวว่าจะถูกแก้แค้น กล่าวว่า ผู้ที่ก่อเหตุข่มขืนหลายคนเคยเป็นทหาร “กรณีที่เลวร้ายที่สุดกรณีหนึ่งที่เคยรับมือคือ เด็กสาวชาวจีนที่ถูกข่มขืนด้วยการใช้ขวดที่แตก ทำให้จิตใจยังหดหู่กับสิ่งนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา”

นักเคลื่อนไหวหญิงกล่าวว่า เชื่อกันว่าปราโบโวมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากในการก่อจลาจล

สหรัฐฯ สั่งห้ามปราโบโวเดินทางเข้าประเทศจากข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่ถูกยกเลิกไปในปี 2563 หลังจากเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมโดยประธานาธิบดี โจโก วิโดโด

ปราโบโวปฏิเสธการมีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิ แต่ในปี 2557 ยอมรับกับอัลจาซีราว่า เขาเคยช่วยลักพาตัวนักเคลื่อนไหวในสมัยซูฮาร์โต และบอกว่าเขาปฏิบัติตามคำสั่งและการลักพาตัวนั้นถูกกฎหมาย

“ผมดำเนินการต่างๆอย่างถูกกฎหมายในขณะนั้น หากรัฐบาลชุดใหม่บอกว่าผมผิด ผมก็ต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่” ปราโบโวกล่าว

ที่มาภาพ:เพจ Prabowo Subianto

นอกเหนือจากข้อกล่าวหาการละเมิดในกรุงจาการ์ตาแล้ว ปราโบโวยังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางทหารในติมอร์ตะวันออก ซึ่งอินโดนีเซียบุกโจมตีและยึดครองในปี 2518 เช่นเดียวกับในจังหวัดปาปัวตะวันตกทางตะวันออก ซึ่งมีความขัดแย้งมานานหลายทศวรรษ

ข้อกล่าวหาต่อปราโบโวในติมอร์ตะวันออกยังรวมถึงการกล่าวอ้างว่า เขาเป็นผู้นำภารกิจในปี 2521 เพื่อจับกุมนิโคเลา โดส เรส โลบาโต นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศที่ดำรงตำแหน่งนี้เพียง 9 วันก่อนการรุกรานของอินโดนีเซีย

ปราโบโวยังถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้บังคับบัญชาทีมกองกำลังพิเศษที่รับผิดชอบเหตุสังหารหมู่ที่เรียกกันว่า กรารัส หรือ Kraras ในติมอร์ตะวันออกเมื่อปี 2526 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 คน

นักเคลื่อนไหวหญิงรายนี้บอกกับอัลจาซีราว่า ทหารอินโดนีเซียในติมอร์ตะวันออกถูกกล่าวหาว่าใช้ “การข่มขืนเป็นอาวุธ” เช่นกัน

ปราโบโวยังปฏิเสธการกระทำผิดใดๆ ในติมอร์ตะวันออกซึ่งในที่สุดก็ได้รับเอกราชหลังจากการล่มสลายของซูฮาร์โต

หลังจากที่เขาถูกขับออกจากกองทัพ ปราโบโวได้ไปทำธุรกิจกับน้องชาย ที่ชื่อว่า ฮาชิม โจโยฮาดิกูซูโม และปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทหลายแห่ง รวมถึงบริษัทเยื่อกระดาษและบริษัทเพาะปลูกในกาลิมันตันตะวันออกในเกาะบอร์เนียวของอินโดนีเซีย ตลอดจนบริษัทน้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน และน้ำมันปาล์ม

ปราโบโวเป็นผู้สมัครชิงประธานาธิบดีที่รวยที่สุดในการเลือกตั้งเมื่อวันพุธ โดยมีรายงานทรัพย์สินมากกว่า 127 ล้านดอลลาร์ นอกจากคฤหาสน์ของเขาในเขตชานเมืองจาการ์ตาแล้ว ก็ยังเป็นเจ้าของสถานที่พักผ่อนบนภูเขาที่มีการคุ้มกันในเมืองฮัมบาลัง จังหวัดชวาตะวันตก ซึ่งเขาขี่ม้าพันธุ์แท้และมีเหยี่ยวเป็นสัตว์เลี้ยง

ในระหว่างการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ปราโบโวพยายามสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดยทีมงานของเขาได้ปลูกฝังบุคลิกออนไลน์ว่าคุณปู่ที่ “น่ารัก” เพื่อดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุน้อยของอินโดนีเซีย ซึ่งหลายคนยังเด็กเกินกว่าจะจดจำยุคซูฮาร์โตและเพื่อให้ได้เสียงกว่า 50% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

การรณรงค์นี้ดูเหมือนจะได้ผล โดยมีผู้ลงคะแนนหลายคนบอกกับอัลจาซีราว่า พวกเขาไม่เชื่อข้อกล่าวหาที่มีต่อปราโบโว

“ความเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กระทำโดยปราโบโวเป็นเพียงความเห็นที่คู่แข่งของเขาหยิบยกขึ้นมาเสมอในการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุกครั้ง เพื่อดึงความเห็นอกเห็นใจของสาธารณชน” จากความเห็นของเบอร์ทรานด์ ซิลเวอริอุส ซิโตฮัง อาจารย์ด้านการศึกษาพลเมืองและกฎหมายที่มหาวิทยาลัยคาทอลิกซานโต โธมัส(Santo Thomas Catholic University) ที่เมดานในสุมาตราเหนือ ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของการจลาจลต่อต้านจีน

“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ ไม่มีกระบวนการทางกฎหมายหรือทางวินัยใดที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นผู้กระทำความผิดในการละเมิดสิทธิมนุษยชนใดๆ” ซิโตฮัง กล่าวและว่า เขาลงคะแนนให้ปราโบโว

ที่มาภาพ:เพจ Prabowo Subianto

แฟนคลับโจโกวีช่วยลงคะแนน

ปราโบโวยังได้รับประโยชน์จากการคบหาสมาคมกับโจโควี ซึ่งยังคงได้รับความนิยมอย่างมากด้วยคะแนนนิยมประมาณ 80%

ปราโบโวแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีให้กับโจโกวีถึงสองครั้ง แต่หลังจากฟ้องร้องให้ตรวจสอบผลการเลือกตั้งในปี 2562 ในศาล ซึ่งก่อให้เกิดการจลาจลทั่วประเทศซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย เขาได้สงบศึกกับโจโกวี และเข้าร่วมคณะรัฐมนตรีในตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม

ซาฮาตา มานาลู ทนายความในเมดานกล่าวว่า ความเชื่อมโยงที่เขามีกับโจโกวี ทำให้เขาลงคะแนนให้กับปราโบโว

“ฉันเป็นคนคลั่งไคล้โจโกวี ดังนั้นฉันจึงต้องสนับสนุนทิศทางทางการเมืองของโจโกวี ฉันต้องการลงคะแนนให้ปราโบโวเพราะเขาเป็นคนดีและรักชาติ แต่เหตุผลหลักก็เพราะโจโกวี” มานาลู กล่าว พร้อมเสริมว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนควรตกอยู่คนในระดับซูฮาร์โต “เพราะเขาคือคนที่ออกคำสั่ง”

เมลี นาเดก ผู้ช่วยแม่บ้านในเมดาน ก็โหวตให้ปราโบโวเช่นกัน สำหรับเธอแล้วเป็นเพราะปราโบโว “สีเกมอย” Si Gemoy ในภาษาอินโดนีเซีย ซึ่งแปลว่า “น่ารัก”

นาเดก อายุ 25 ปี กล่าวว่า เธอได้ดูวิดีโอรณรงค์หาเสียงของปราโบโวบน TikTok ทั้งหมดแล้ว และยังทำวีดีโอเองบางส่วนด้วย เพื่อชักชวนให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปลงคะแนนเสียงและสนับสนุนปราโบโวด้วย

เธอบอกว่า เธอพบว่านโยบายของเขาน่าสนใจเช่นกัน ทั้งคำมั่นที่จะสร้างงาน 19 ล้านตำแหน่งในช่วง 5 ปีข้างหน้า และจัดหาอาหารกลางวันและนมที่โรงเรียนฟรีให้กับเด็กและมารดาทั่วประเทศอินโดนีเซีย “หวังว่าจะไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนใดๆ”

นักวิเคราะห์กล่าวว่า แม้การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของปราโบโวไม่น่าจะทำให้อินโดนีเซียกลับคืนสู่ระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบ แต่ก็อาจกัดกร่อนระบอบประชาธิปไตย ที่คนจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงมูฮัมหมัดและเพื่อนนักเคลื่อนไหวของเขาได้ต่อสู้เพื่อให้ได้มาในปี 2541 อีกด้วย

“ปราโบโวหลงใหลในตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่เขาอยู่ในกองทัพ และได้เปลี่ยนกลยุทธ์หลายครั้ง” เอียน วิลสัน อาจารย์ด้าน politics and security studies ที่มหาวิทยาลัยเมอร์ด็อกในเมืองเพิร์ธ กล่าวกับอัลจาซีรา

“เขาอาจจะไม่ใช่เผด็จการฟาสซิสต์ในแง่ที่เข้มงวด แต่เขาเป็นศัตรูกับกระบวนการประชาธิปไตยและมองว่าประชาธิปไตยเป็นหนทางไปสู่จุดจบ ในฐานะประธานาธิบดี เขาน่าจะทำในสิ่งที่โจโกวีทำ และพยายามหาวิธีที่ประชาธิปไตยจะมีขั้นตอนมากขึ้น และลดพื้นที่สำหรับการพูดคุย”

ปราโบโว “ไม่เคยเป็นประชาธิปไตย และเขาไม่เคยถูกลงโทษ” วิลสันกล่าว