“ข้าพเจ้าขอสาบาน(หรือยืนยัน) อย่างหนักแน่นว่าจะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาด้วยความสุจริต และจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อธำรงพิทักษ์ และปกปักรักษารัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา”
เป็นคำสาบานตนของว่าที่ประธานาธิบดีที่จะกล่าวตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง
และเป็นข้อความปิดท้ายของเล่ม “U.S Election 101 คู่มือการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา” ที่จัดทำโดย สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกระบวนการการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา ก่อนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีจะมีขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563
การเลือกตั้งในรอบนี้เป็นการแข่งขันระหว่างประธานาธิบโดนัลด์ ทรัมป์ที่กำลังจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งสมัยแรกลง และนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต โดยที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เลือกนายไมเคิล เพนซ์ รองประธานาธิบดีปัจจุบันให้ลงเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดีอีกสมัย ขณะนายไบเดนเลือกนางกมลา แฮร์ริส อดีตผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรคลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นรองประธานาธิบดี
รัฐธรรมนูญสหรัฐฯให้อำนาจบางประการแก่รัฐบาลระดับประเทศ(หรือรัฐบาลกลาง) และสงวนสิทธิแห่งอำนาจอื่นๆ สำหรับรัฐแต่ละรัฐและประชาชน
รัฐธรรมนูญกำหนดให้แต่ละรัฐมีรัฐบาลปกครองในรูปแบบสาธารณรัฐ และให้ประชาชนใช้อำนาจของตนผ่านผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง รวมถึงห้ามรัฐละเมิดสิทธิบางประการ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว รัฐบาลต่างๆยังคงมีอำนาจค่อนข้างมาก
การเลือกตั้งจัดเมื่อใดบ้าง
การเลือกตั้งตำแหน่งในรัฐบาลกลางจัดขึ้นในปีที่ลงท้ายด้วยเลขคู่ในวันอังคารหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน โดย
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีจัดขึ้นทุก 4 ปี โดยหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะมีขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 นี้แล้ว การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในปี 2024
- การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรทั้ง 435 คน จัดขึ้นทุก 2 ปี โดยมีการเลือกตั้งใน 2020 ครั้งต่อไปจะมีขึ้นในปี 2022
สมาชิกวุฒิสภามีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 6 ปี โดยมีการจัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งเพื่อให้มีการเลอกตั้งหนึ่งในสาม(หรืออาจเพิ่มอีก 1 ที่นั่ง) ของจำนวนที่นั่งในสภา 100 ที่นั่งทุก 2 ปี
หากวุฒิสมาชิกเสียชีวิตหรือหลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถระหว่างดำรงตำแหน่ง บางรัฐอาจจจัดการเลือกตั้งพิเศษเพื่อหากบุคคลมาดำรงตำแหน่งแทน วุฒิสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งใหม่จะอยู่ในตำแหน่งจนสิ้นวาระเดิมของวุฒิสมากชิกคนก่อน ในขณะที่บางรัฐมีกฎหมายระบุให้ผู้ว่าการรัฐสามารถแต่งตั้งบุคคลมาทำหน้าที่แทนจนสิ้นสุดวาระเดิม หรือจนกว่าจะสามารถจัดการเลือกพิเศษเพื่อหาวุฒิสมาชิกคนใหม่ได้
ผู้ว่าการรัฐส่วนใหญ่ดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี ยกเว้นผู้ว่าการรัฐนิวแฮมป์เชียร์และรัฐเวอร์มอนต์ที่ดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี
การเลือกตั้งกลางเทอม เป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งมาได้ครึ่งวาระเพื่อเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิก และผู้ว่าการรัฐ
เจ้าหน้าที่รัฐตำแหน่งใดบ้างที่มาจากการเลือกตั้ง
รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ระบุข้อกำหนดสำหรับผู้ที่จะดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลาง ทว่าทั้ง 50 รัฐก็มีรัฐธรรมนูญและกฎระเบียบว่าด้วยเจ้าหน้าที่รัฐของตนเอง
ระดับประเทศ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางที่มาจากการเลือกตั้งมีเพียง รองประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และสมาชิสภาคองเกรส ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรที่มีสิทธิออกเสียง และวุฒิสมาชิก
ระดับรัฐและท้องถิ่น ผู้ว่าการรัฐส่วนใหญ่ดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปียกเว้นบางรัฐที่เลือกผู้ว่าการรัฐใหม่ทุก 2 ปี
ผู้ลงคะแนนเสียงในบางรัฐมีสิทธิเลือกผู้พิพากษาในขณะที่รัฐอื่นๆ ผู้พิพากษามาจากการแต่งตั้ง บรรดารัฐและท้องที่ต่างก็เลือกเจ้าหน้าที่รัฐหลายพันคนเข้าดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ผู้ว่าการรัฐ สมาชิกสภานิติบัญญัติของรัฐ คณะกรรมการสถานศึกษา ไปจนถึงพนักงานจับสุนัขจรจัด
ผู้สมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งทางการเมือง ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต้อง เป็นพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี และมีถิ่นที่อยู่ในสหรัฐฯโดยถูกต้องตามกฎหมายไม่ต่ำกว่า 14 ปี
ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีก็ต้องมีคุณสมบัติเดียวกันและจะต้องไม่เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว 2 วาระ
ผู้ลงสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี เป็นพลเมืองสหรัฐฯมาแล้ว 7 ปีและมีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ลงสมัครเป็นผู้แทนในสภาคองเกรส
ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปีเป็นพลเมืองสหรัฐฯมาแล้ว 9 ปี และมีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ลงสมัครเป็นผู้แทน
ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้รับคัดเลือกอย่างไร
ในช่วงฤดูร้อนของปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตต่างจัดการประชุมใหญ่ของพรรคเพื่อกำหนดแนวนโยบายของพรรค และเสนอชื่อผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีในนามพรรค
ปัจจุบัน ผู้ที่จะเสนอชื่อคือผู้ที่ได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่จากตัวแทน(delegate) ภายในพรรค และก่อนที่จะเริ่มการประชุมใหญ่ของพรรคก็เป็นที่ทราบว่า ผู้ใดจะได้รับเสนอชื่อเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแต่ละรัฐ(รวมถึงดิสตริกออฟโคลัมเบียและดินแดนของสหรัฐฯหลายแห่ง) จะได้รับจัดสรรว่าจะมีจำนวนตัวแทนเท่าใด
ตัวแทนส่วนใหญ่จะ”สัญญา” ว่าจะสนับสนุน ผู้สมัครคนใดคนหนึ่งอย่างน้อยที่สุดในการลงคะแนนรอบแรก เป็นเวลาหลายปีที่การประชุมพรรคไม่มีความจำเป็นต้องลงคะแนนเกิน 1 รอบในการเสนอชื่อผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
บุคคลคนหนึ่งสามารถเป็นประธานาธิบดีได้กี่ครั้ง
ในปี 2494 มีการรับรองรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 22 ซึ่งห้ามไม่ให้บุคคลได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเกินกว่า 2 สมัย
สำหรับตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ นั้น ไม่มีการจำกัดจำนวนวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาคองเกรส
ในกรณีที่ข้อกำหนดเกี่ยวกับวาระดำรงตำแหน่งสำหรับเจ้าหน้าที่ระดับรัฐและระดับท้องถิ่น จะมีการระบุไว้ในรัฐธรมนูญของรัฐต่างๆ และข้อบัญญัติขององค์การส่วนท้องถิ่น
ใครเป็นผู้ลงคะแนนเสียง
รัฐธรรมนูญสหรัฐฯรับรองว่า พลเมืองสหรัฐฯ ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในการเลือกตั้ง
ชาวอเมริกันลงคะแนนกันอย่างไร
สำหรับการเลือกตั้งส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจะต้องลงคะแนนเสียงด้วยตนเองที่คูหาเลือกตั้งของทางการ หรือส่งบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์ เนื่องจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารจัดการการเลือกตั้งคือ หน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่ต่างๆ ไม่ใช่หน่วยงานระดับประเทศเพียงแห่งเดียว แต่ละพื้นที่ก็อาจมีบัตรลงคะแนนและเทคโนโลยีการลงคะแนนต่างประเภทกันได้ แม้จะอยู่ในรัฐเดียวกัน
ปัจจุบันผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งชาวอเมริกันน้อยคนจะลงคะแนนด้วยวิธีกาเครื่องหมาย “X” ข้างชื่อผู้สมัครบนบัตรเลือกตั้ง เนื่องจากหลายพื้นที่ใช้ระบบ Optical System ซึ่งผู้มีสิทธิออกเสียงจะลงคะแนนด้วยการระบายทึบวงกลมหรือลากเส้นโยงบนบัตรกระดาษ จากนั้นจึงใส่บัตรในเครื่องนับคะแนนอิเล็กทรอนิคส์ ในขณะที่พื้นที่อื่นๆ ใช้อุปกรณ์ลงคะแนนเลือกตั้งที่แตกต่างหลากหลาย
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลายรัฐได้เริ่มส่งบัตรเลือกตั้งให้ผู้มีสิทธิออกเสียงก่อนการเลือกตั้ง
รัฐออริกอนและรัฐวอชิงตัน ดำเนินการเลือกตั้งทั้งหมดทางไปรษณีย์ โดยทั่วไปผู้ลงคะแนนเสียงที่ไม่สามารถไปที่หน่วยเลือกตั้งจะส่งบัตรเลือกตั้งที่กรอกเรียบร้อยแล้วคืนทางไปรษณีย์
ชาวอเมริกันเลือกประธานาธิบดีกันอย่างไร
การเลือกตั้งขั้นต้น(primary)และการประชุมคอคัส(caucus) เป็นจุดเริ่มต้นของขั้นตอนการเลือกตั้ง โดยเป็น 2 วิธีที่ใช้เลือกผู้ที่อาจจะเป็นตัวแทนสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งมีกระบวนการจัดการและบุคคลที่มีสิทธิร่วมคะแนนแตกต่างกัน นอกจากนี้อัตราการมีส่วนร่วมในการลงคะแนนเสียงทั้งสองแบบนี้ก็มีความต่างกันมาก
การเลือกตั้งขั้นต้นจัดโดยรัฐบาลระดับรัฐและระดับท้องถิ่น การลงคะแนนเสียงเป็นแบบไม่เปิดเผยชื่อ บางรัฐจัดการลงคะแนนเสียง เลือกตั้งขั้นต้นแบบ”ปิด” โดยให้ผู้ที่ประกาศตนว่าเป็นสมาชิกพรรคเท่านั้นที่จะร่วมลงคะแนนเสียงได้ แต่สำหรับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งขั้นต้นแบบเปิด ผู้มีสิทธิออกเสียงทุกคนสามารถร่วมลงคะแนนได้ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกหรือไม่เป็นสมาชิกของพรรคก็ตาม
การประชุมคอคัสเป็นการประชุมภายในพรรคการเมืองที่พรรคต่างๆจัดขึ้นในระดับเคานตี เขต หรือเขตเลือกตั้ง ในการประชุมคอคัสส่วนใหญ่ ผู้ร่วมประชุมจะแบ่งกลุ่มตามผู้สมัครที่ตนสนับสนุน ในตอนท้ายจำนวนเสียงของผู้เข้าร่วมในแต่ละกลุ่มจะกำหนดจำนวนตัวแทนพรรคที่จะออกเสียงสนัสนุนผู้สมัตรแต่ละคน
การประชุมใหญ่ของพรรคการเมือง หลังการเลือกตั้งขั้นต้นและการประชุมคอคัส พรรคการเมืองส่วนใหญ่จะจัดการประชุมใหญ่ขึ้น เพื่อเลือกตัวแทนผู้สมัครชิงตำหน่งประธานาธิบดีเพียงคนเดียวที่พรรคจะสนับสนุน
การประชุมใหญ่เป็นขั้นตอน การเลือกตั้งตัวแทนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีของแต่ละพรรค และเปิดโอกาสให้พรรคได้ประชาสัมพันธ์บุคคลที่พรรคเสนอชื่อ ตลอดจนบอกถึงความแตกต่างของพรรคกับฝ่ายตรงข้าม การประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองได้รับการถ่ายทอดทางโทรทัศน์อย่างแพร่หลาย และนับเป็นจุดเริ่มต้นของการรณรงค์หาเสียงระดับประเทศเพื่องชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
ทำไมสหรัฐอเมริกาจึงมีพรรคการเมืองใหญ่แค่สองพรรค ผู้ร่างรัฐธรรมนูญสหรัฐฯไม่ได้คาดคิดว่าจะมีพรรคการเมืองแต่อย่างใด ทว่าเมื่อผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมีจำนวนเพิ่มขึ้นและประเทศขยายอาณาเขตไปทางทิศตะวันตก พรรคการเมืองจึงถือกำเนิดขึ้น ในปัจจุบันพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตมีบทบาทมากที่สุดในกระบวนการทางการเมือง โดยต่างพัฒนามาจากพรรคการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 โดยทั่วไปสมาชิกพรรคการเมืองทั้งสองจะคุมเก้าอี้ประธานาธิบดี สภาคองเกรส ผู้ว่าการรัฐ และสภานิติบัญญัติของรัฐ โดยตั้งแต่ปี 2395 เป็นต้นมา ประธานาธิบดีทุกคนมาจากพรรครีพับลิกันหรือพรรคเดโมแครตเท่านั้น
หลังการประชุมใหญ่ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคจะเดินสายหาเสียงทั่วประเทศเพื่อปราศรัยถึงจุดยืนและนโยบายของตนให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง นอกจากนี้ยังอาจร่วมโต้วาทีกับผู้สมัครจากพรรคการเมืองอื่นๆด้วย
“Swing State” สมรภูมิเลือกตั้ง
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนพฤศจิกายนนี้ พรรคการเมืองใหญ่ๆของสหรัฐฯ ต่างหวังที่จะเก็บชัยชนะได้ในหลายๆรัฐ แต่มีรัฐจำนวนหนึ่งที่แต่ละพรรคมีคะแนนสูสีกันเกินกว่าที่จะบอกได้ว่าพรรคไหนจะเป็นผู้ชนะ
รัฐที่พรรคการเมืองได้รับคะแนนสนับสนุนสูสีกันเหล่านี้ หรือที่เรียกว่า Swing State เป็นรัฐที่ประชากรมีความคิดทางการเมืองแตกต่างกันในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน
ในช่วงหลายปีมานี้ รัฐเหล่านี้สนับสนุนผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันสลับกันไปมา จึงเป็นสมรภูมิที่ผู้สมัครต่างทุ่มสรรพกำลังการประชาสัมพันธ์ และทีมงานในการหาเสียง
รัฐที่โดยทั่วไปถือว่าเป็น Swing State ได้แก่ แอริโซนา ฟลอริดา มิชิแกน เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนเห็นว่า นอกจากรัฐเหล่านี้แล้ว ยังมีนิวแฮมป์เชียร์ นอร์ทแคโรไลนา และรัฐอื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง เป็น Swing State ด้วยเช่นกัน
การเลือกตั้งทั่วไป
การเลือกตั้งรอบสุดท้ายสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีจำนวนผู้สมัครน้อยจะจัดขึ้นในวันเลือกตั้ง โดยผู้สมัครชิงตำแหน่งในการเลือกตั้งทั่วไป จะได้รับการเสนอชื่อจากพรคของตนเองมาก่อนแล้ว
การเลือกตั้งทั่วไปจัดขึ้นในทั้งระดับท้องถิ่น ระดับรัฐและระดับประเทศ ในการเลือกตั้งอื่นๆของสหรัฐฯ ผู้ชนะการเลือกตั้งคือบุคคลที่ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนโดยตรงมากที่สุด อย่างไรก็ตาม คณะบุคคลที่เรียกว่า “ผู้เลือกตั้ง” จะเป็นผู้เลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีแทนประชาชนในกระบวนการที่เรียกว่า ระบบคณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี
คณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี
รัฐธรรมนูญสหรัฐฯมีบทบัญญัติเกี่ยวกับกระบวนการของคณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งเป็นระบบที่สร้างสมดุลระหว่างคะแนนเสียงที่มาจากประชาชนและการออกเสียงโดยสภาคองเกรส
จำนวนของคณะผู้เลือกตั้งในแต่ละรัฐจะเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาคองเกรส(ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา) ของรัฐนั้นๆ ปัจจุบันมีผู้เลือกตั้งทั้งหมด 538 คน ซึ่งในจำนวนนี้มี 3 คนที่มาจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในแต่ละรัฐ พรรคการเมืองจะกำหนดรายชื่อบุคคลที่อาจจะมาเป็นผู้เลือกตั้งของพรรคตนเอง
หลังผู้มีสิทธิออกเสียงกาบัตรเลือกตั้งประธานาธิบดี คะแนนเสียงของพวกเขาจะรวมกันภายในรัฐ โดยใน 48 รัฐและกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนมากที่สุด จะได้รับคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมดของรัฐนั้น ในขณะที่จำนวนคณะผู้เลือกตั้งของรัฐเมนและเนแบรสกาจะเป็นไปตามสัดส่วนจากคะแนนเสียงของประชาชน
ผู้สมัครจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 270 คนหรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของคะแนนเสียงทั้งหมดจึงจะชนะการเลือกตั้ง
การรณรงค์หาเสียงในทุกรัฐเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้สมัคร แม้ในรัฐที่มีจำนวนประชากรและจำนวนคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งน้อย เพื่อให้ได้คะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งรวมทั้งหมด 270 เสียง
ผลอย่างหนึ่งของระบบ “winner-take-all”(ผู้ชนะได้รับคะแนนเสียงของผู้เลือกตั้งทั้งหมด) คือ แม้ว่าผู้สมัครคนหนึ่งจะได้คะแนนเสียงของประชาชนทั่วประเทศมากที่สุด แต่ก็อาจจะแพ้การเลือกตั้งได้ เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นในการเลือกตั้งปี 2559 การเลือกตั้งปี 2543 และอีก 3 ครั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 19
โดยมากแล้วจะมีการประกาศตัวเต็งประะธานาธิบดีหลังปิดหีบเลือกตั้งในคืนวันเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน แต่คณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีจะมารวมตัวกันในรัฐของตน และลงคะแนนเสียงในกลางเดือนธันวาคม จากนั้นสภาคองเกรสจะนับคะแนนในเดือนมกราคม
หากไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับเสียงส่วนใหญ่จากคณะผู้เลือกตั้ง สภาผู้แทนราษฎรจะออกเสียงประธานาธิบดีจากผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุด 3 คนแรก และวุฒิสภาจะเลือกรองประธานาธิบดีจากผู้สมัคร 1 ใน 2 คนที่เหลือ
การสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง
ในวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ว่าที่ประธานาธิบดีและว่าที่รองประธานาธิบดีจะกล่าวคำสาบานตนและเข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
พิธีสาบานตนนี้จะจัดขึ้นทุก 4 ปีในวันที่ 20 มกราคม(แต่หากตรงกับวันอาทิตย์ก็จะเลื่อนเป็น 21 มกราคมแทน) ที่อาคารรัฐสภาสหรัฐอเมริกา กรุงวอชิงตัน ดี.ซี โดยว่าที่รองประธานาธิบดีจะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งก่อน ต่อมาในช่วงเที่ยงว่าที่ประธานาธิบดีจะกล่าวคำสาบานตนตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ