ThaiPublica > คอลัมน์ > ฮิเดทากะ มิยาซากิ 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลแห่งปี ผู้สร้างโลกแห่ง Elden Ring

ฮิเดทากะ มิยาซากิ 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลแห่งปี ผู้สร้างโลกแห่ง Elden Ring

30 ธันวาคม 2023


1721955

“เดิมทีจักรวาลมีภาวะหนึ่งที่เป็นต้นกำเนิดทุกอย่างเรียกว่า One Great จากนั้น One Great ก็แบ่งตัวเองออกเป็นส่วนต่าง ๆ ของจักรวาล เป็นชีวิต เป็นวิญญาณ แล้วความผิดพลาดครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น…ความทรมาน ความสิ้นหวัง ความทุกข์ยาก บาปทุกประการ คำสาปทุกคำสาป ก็ก่อกำเนิดขึ้น…เราทุกคนล้วนกำเนิดขึ้นจากความผิดพลาด…แต่วันใดที่เราได้ขึ้นเป็น Lord of Chaos (ราชาแห่งความโกลาหล) เราจะทำให้จักรวาลแห่งนี้ไม่มีความแตกแยก ทุกอย่างจะถูกหลอมรวมด้วยเพลิงโกลาหล จนทุกสิ่งกลับไปหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง” ส่วนหนึ่งของคำอธิบายสตอรี่พื้นฐานของเกม Elden Ring ที่ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 2022 แล้วทำให้ในปี 2023 ฮิเดทากะ มิยาซากิ เจ้าของปรัชญาผู้สร้างโลกแห่ง Elden Ring ได้รับการอวยยศจากนิตยสารไทม์ให้เป็น 1 ในร้อยผู้ทรงอิทธิพลแห่งปี 2023

ฮิเดทากะ มิยาซากิ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์นักออกแบบ นักเขียน และประธานบริษัทวิดีโอเกม แห่งค่าย FromSoftware (ก่อตั้งเมื่อปี 1986 เจ้าของเกมฮิต อาทิ Dark Souls, Demon’s Souls, Armored Core, King’s Field) เขาร่วมงานกับบริษัทนี้ในปี 2004 และเป็นผู้ออกแบบ ซีรีส์ Armored Core ก่อนที่จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการสร้างซีรีส์ Dark Souls มิยาซากิได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานบริษัทในปี 2014 และยังดำรงตำแหน่งกรรมการตัวแทนอีกด้วย เกมอื่น ๆ ที่เขากำกับ ได้แก่ Demon’s Souls, Bloodborne , Sekiro และElden Ring ซึ่งล้วนได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างยิ่ง

ผลงานของ มิยาซากิ ได้รับอิทธิผลจากศิลปะหลากหลายแขนง ไม่ว่าจะนิยาย มังงะ และนักออกแบบเกมระดับปรมาจารย์ อาทิ ฟูมิโตะ อุเอดะ (ผู้เขียนเกม Ico และ Shadow of the Colossus) และ ยูจิ โฮริอิ (ผู้สร้างแฟรนไชส์ Dragon Quest) แต่ความต่างของแนวเกมแบบ มิยาซากิ คือเป็นที่รู้กันว่ามีเลเวลความยากที่สูงมาก และการเล่าเรื่องที่นำเสนอผ่านข้อความที่สื่ออารมณ์และสภาพแวดล้อมเป็นหลักแต่ขณะเดียวกันกลับมีบทสนทนากระชับ ผลงานของเขาได้รับการยกย่องว่ามีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง และมักจะถูกอ้างอิงไปสู่เกมอื่น ๆ ในแนวทางที่เรียกว่า Soulslike (ส่วนใหญ่เป็นเกมแนวแฟนตาซีหม่นมืด เน้นการฝ่าด่านที่มีความยากแต่มีการเล่าเรื่องผ่านสภาพแวดล้อมเป็นหลัก ผู้เล่นมักจะตายซ้ำตายซากกว่าจะฝ่าด่านสำเร็จ แต่บางคนก็เชื่อว่าเป็นการฝึกสกิลการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี)

มิยาซากิสำเร็จการศึกษาด้านสังคมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคโอ ก่อนจะไปเป็นผู้จัดการบัญชีของบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับสามของโลกด้านซอล์ฟแวร์ ออราเคิล คอร์ป ที่มีบริษัทแม่อยู่ในสหรัฐ เพราะตอนนั้นเขาต้องส่งน้องสาวเรียนในมหาวิทยาลัย ก่อนจะพบว่าเขาคลั่งใคล้เกม Ico เอามาก ๆ จนกระทั่้งปี 2001 ขณะที่เขามีอายุ 29 ปีแล้วและอยากจะเปลี่ยนงานไปสายเกม เขาก็พบว่ามีไม่กี่แห่งที่จะยอมรับเขาที่ทั้งอายุเยอะและไม่เคยมีประสบการณ์ด้านเกมมาก่อน หนึ่งในนั้นคือ FromSoftware ทำให้ในที่สุดเขาได้เข้าร่วมทีมวางแผนเกม Armored Core: Last Raven ในปี 2004 ก่อนจะกระโดดมากำกับเกม Armored Core 4 และภาคต่อ Armored Core: For Answer

หลังจากนั้นเขาได้รับหน้าที่พัฒนาโปรเจกต์เกมหนึ่งที่ต่อมากลายเป็นเกม Demon’s Souls แต่กลายเป็นว่ามันเป็นเกมที่ถูกประเมินว่าล้มเหลวเนื่องจากขายได้ต่ำกว่าความคาดหมาย และได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบในปี 2009 แต่ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นกลายเป็นว่าเกมนี้เริ่มขายดีขึ้น และถูกจัดจำหน่ายนอกญี่ปุ่น และกลายเป็นกระแสปากต่อปาก ทำให้เขามีโอกาสเปิดตัวเกม Dark Souls ในปี 2011 ก่อนที่ในปี 2014 เขาจะถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานบริษัท ซึ่งมิยาซากิใช้เวลาเพียงสิบปีในการมาสู่จุดนี้อันเป็นเรื่องที่ยากมากในแวดวงนี้

ในปี 2012 ค่ายโซนี ทาบทาม FromSoftware ในการร่วมผลิตเกมใหม่ Bloodborne แม้ว่าจะไม่มีเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับเกมอื่นใดของค่าย FromSoftware แต่มิยาซากิกล่าวว่าเกมดังกล่าวมี DNA ของเกม Demon’s Souls ซึ่งขณะเดียวกันเขาก็พัฒนาคู่ขนานไปกับเกม Dark Souls II ซึ่งพอ Bloodborne วางจำหน่ายในเดือนมีนาคม2015 เขาก็กลับมาเป็นผู้กำกับหลักของ Dark Souls III ก่อนจะที่ในปีต่อมา2016 เขาจะประกาศหยุดพัฒนาซีรีส์เกม Dark Souls กระทั่งในปี 2019 เกม Sekiro: Shadows Die Twice ของเขากวาดรางวัลใหญ่มากมาย ส่งผลให้ต่อมาเขาได้กำกับ Elden Ring โปรเจกต์ใหญ่ที่ร่วมเขียนกับนักเขียนอเมริกันชื่อดัง จอร์จ อาร์ อาร์ มาติน แห่งซีรีส์สุดฮิต Game of Thrones ทำให้ Elden Ring ขายไปได้มากกว่า 20 ล้านชุดภายในปีเดียว และกวาดรางวัลเกมแห่งปีจากหลากหลายเวที ถึงขนาดที่นิตยสารไทม์เลือกเขาเป็นหนึ่งในร้อยผู้ทรงอิทธิพลแห่งปีจากทั่วโลก

มิยาซากิเล่าถึงไอเดียภาพรวมการทำงานของเขาว่า “สมัยเด็ก ๆ ครอบครัวเรายากจน หนังสือภาพเป็นของราคาแพงทำให้ผมต้องไปยืมจากห้องสมุดใกล้บ้าน ในบรรดานั้นมีหลายเล่มที่เป็นภาษาอังกฤษที่ผมอ่านไม่เข้าใจ แต่ข้อดีของมันคือผมได้เติมเต็มจินตนาการส่วนตัวลงไปในภาพวาดเหล่านั้น และสิ่งนี้เองมีอิทธิพลต่อผมอย่างมากในการออกแบบเกมมาจนทุกวันนี้”

“สมัยนั้นพ่อไม่อนุญาตให้ผมเล่นเกมจนกว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ซึ่งต่อมาผมก็กลายเป็นแฟนเกม Ico และ Dragon Quest ที่มีอิทธิพลต่องานของผมในยุคแรก ๆ อย่างมาก รวมถึงมังงะเรื่องดัง ๆ อย่าง Berserk, Saint Seiya, Jojo’s Bizarre Adventure และ Devilman รวมถึงผลงานวรรณกรรมของ เลิฟคราฟต์, บราม สโตรคเกอร์ และจอร์จ อาร์ อาร์ มาร์ติน”

รวมถึงโครงสร้างสถาปัตยกรรมจากแถบยุโรป ที่เขามักจะหยิบมาใส่ในส่วนของภูมิทัศน์ในเกม ซีรีส์ Souls ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาในการขับรถไปตามถนนขณะที่เต็มไปด้วยหิมะ ตอนนั้นรถคันข้างหน้าเริ่มลื่นไถลถอยหลังมา ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นต้องช่วยกันดันรถคันนั้นขึ้นเนิน แต่เพราะต้องขับไปข้างหน้าทำให้มิยาซากิไม่สามารถย้อนกลับมาขอบคุณชาวบ้านเหล่านั้นได้ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่รู้ว่ารถคันสุดท้ายในแถวจะไปถึงที่หมายได้ไหม เนื่องจากพวกเขาต่างเป็นคนแปลกหน้าต่อกันที่เผอิญมาร่วมเหตุการณ์เดียวกันเพียงชั่วขณะ สิ่งนี้เองกลายเป็นไอเดียในเกมที่เกิดระบบคนแปลกหน้าเข้าที่เป็นผู้เล่นหลายคนเข้ามาร่วมมือกันในซีรีส์เกมนี้ แล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายไปปฏิบัติภารกิจของตัวเองต่อไป

มิยาซากิกล่าวว่า “ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะออกแบบเกมให้เล่นยาก แต่ความยากลำบากก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสู่ความสำเร็จไม่ใช่หรือ ถ้าไม่มีอุปสรรค ความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไรเลย ขณะเดียวกันก็เป็นการจูงใจให้ผู้เล่นได้ทดลองสร้างตัวละครใหม่ ๆ หรืออาวุธต่อสู้ใหม่ ๆ ค้นหาวิธีฝ่าด่านในแบบต่าง ๆ ความตายในเกมของผมถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก” ซึ่งไอเดียนี้ก็ทำให้ผู้เล่นทั่วโลกยอมรับโดยสังเกตได้จากความสำเร็จของเกม Demon’s Souls มิยาซากิระบุว่า “ผมไม่ชอบการเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา บางครั้งผมเว้นช่องว่างของเรื่องให้ผู้เล่นได้ตีความ อีกทั้งผู้เล่นเองยังได้ประโยชน์มากขึ้นเมื่อค่อย ๆ ค้นพบเบาะแสสำคัญของโครงเรื่องจากไอเท็มหรือตัวละครแวดล้อม”