ThaiPublica > เกาะกระแส > ศาล รธน.ไม่รับคำร้อง 3 พรรคการเมือง แบ่งแยกดินแดน-ล้มล้างการปกครอง

ศาล รธน.ไม่รับคำร้อง 3 พรรคการเมือง แบ่งแยกดินแดน-ล้มล้างการปกครอง

13 กันยายน 2023


ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับคำร้อง กรณีกล่าวหา “ก้าวไกล-ประชาชาติ-เป็นธรรม” เสนอแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 49 สนับสนุนแบ่งแยกดินแดน – ล้มล้างการปกครอง ชี้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริง – หลักฐาน 3 พรรคการเมืองมีพฤติกรรม – การกระทำใดๆ ตามคำร้อง พร้อมนัดถกคดี “ศักดิ์สยาม” ถือหุ้น หจก.บุรีเจริญฯ 20 ก.ย.นี้ หลังถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ รมว.คมนาคมมานานเกือบ 7 เดือน

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 ศาลรัฐธรรมนูญ  ออกเอกสารแถลงผลการประชุมปรึกษาคดี โดยมีผลการพิจารณาคดีที่สำคัญ ประกอบด้วย ผลการพิจารณา คดีกรณี นายณฐพร โตประยูร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 1) พรรคประชาชาติ (ผู้ถูกร้องที่ 2) และพรรคเป็นธรรม (ผู้ถูกร้องที่ 3) ที่มีความพยายามในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในหมวด 1 และหมวด 2 และมีส่วนร่วมในกิจกรรมของบุคคลและกลุ่มบุคคลที่มีอุดมการณ์ หรือ แนวคิดในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ โดยสนับสนุนให้ดินแดนอันเป็นเขตอธิปไตยของราชอาณาจักรมีสิทธิปกครองตัวเอง หรือ แยกตัวเป็นเอกราชในลักษณะของการแบ่งแยกดินแดน เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่

คดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว เห็นว่า “การดำเนินการของผู้ถูกร้องทั้ง 3 เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามที่ปรากฏในคำร้อง หากเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพที่ไม่ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 อีกทั้งข้อกล่าวอ้างเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารคำร้องไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานอื่นใดที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้ง 3 มีพฤติการณ์หรือกระทำการเกี่ยวข้องเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

ส่วนกรณีนายบัณฑิต พุ่มทิพย์ (ผู้ร้อง) ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 (เรื่องพิจารณาที่ 26/2566) ว่าการกระทำของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา (ผู้ถูกร้อง) ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมร่วมกันของรัฐสภามีคำสั่งให้ลงมติในการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล เพื่อแต่งตั้งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี อีกครั้ง โดยที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภามีมติว่าไม่สามารถเสนอชื่อซ้ำได้ ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2536 ข้อ 41 เป็นการจงใจให้พรรคพวกของตนได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ การกระทำดังกล่าวมีลักษณะเป็นนการใช้สิทธิ หรือ เสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่

ผลการพิจารณาคดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้อง และเอกสารประกอบคำร้องแล้ว เห็นว่า “ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องไม่ปรากฏข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานเพียงพอที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องมีความมุ่งหมายและความประสงค์ หรือ กระทำการใด ๆ ที่น่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิ หรือ เสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย

นอกจากนี้ยังมีคดีของนายศักดิ์สยาม  ชิดชอบ ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดี เรื่องพิจารณาที่ 8/2566 กรณีประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่

โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 54 คน ยื่นคำร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร (ผู้ร้อง) ว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (ผู้ถูกร้อง) ยังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและยังคงเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น อย่างแท้จริง

ซึ่งจะทำให้ผู้ถูกร้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วน เป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ประกอบพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 มาตรา 4 (1) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่ โดยศาลได้กำหนดนัดพิจารณาคดีครั้งต่อไปในวันพุธที่ 20 กันยายน เวลา 9:30 น.