ThaiPublica > คอลัมน์ > โลกได้ร้อนทะลุเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว!

โลกได้ร้อนทะลุเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว!

10 สิงหาคม 2023


ประสาท มีแต้ม

เรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญต่อความอยู่รอดของมนุษยชาติและสิ่งมีชีวิตบนโลกใบเดียวกันนี้ โดยจะนำเสนอข้อมูลสำคัญล่าสุด 3 ชิ้น คือ (1) อุณหภูมิเฉลี่ยรายวันของโลก (2)ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโลกร้อนที่นอกจากจะไม่ได้ลดตามข้อตกลงปารีสแล้ว ยังกลับเพิ่มขึ้นเสียอีกด้วยซ้ำ และ (3)จำนวนครั้งที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์โลกร้อนขึ้นจนเลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้เรียกเมื่อเร็วนี้ว่า “โลกเดือด(Global Boiling)”

แต่ก่อนอื่นต้องขออนุญาตทำความเข้าใจกับสำนวนเด็ดที่ผมเชื่อว่าคนรุ่นอายุเกินกว่า 60 ปีขึ้นไปคงจะเคยใช้และได้ยิน แต่อาจจะไม่เข้าใจหรือลืมกันไปแล้ว นั่นก็คือสำนวนที่ว่า “เรียบร้อยโรงเรียนจีน”

เท่าที่ผมจำได้และเข้าใจ ประกอบกันการสืบค้นจากอินเทอร์เน็ต สำนวน “เรียบร้อยโรงเรียนจีน” เกิดขึ้นในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี (คนที่ 3 พ.ศ.2481-2487) ที่มีนโยบายป้องกันและปราบปรามการเผยแพร่ของลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่รัฐบาลเชื่อว่าแฝงมากับกิจการโรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนจีนที่ดำเนินการโดยคนจีนโพ้นทะเล รัฐบาลจึงได้มีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น แต่ผลการตรวจสอบก็จะออกมาในแบบ ไม่มีอะไรผิดปกติ หรือ “เรียบร้อย” และ “เรียบร้อยโรงเรียนจีน” ทั้งนี้มีทั้งที่เรียบร้อยจริงๆ หรือเรียบร้อยโดยการรับสินบาทคาดสินบนของบรรดาข้าราชการระดับสูงและนักการเมือง

สำนวนนี้ได้ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในผู้ใหญ่และวัยรุ่นในสมัยนั้นโดยเฉพาะเมื่อมีใครถูกหลอกหรือเสียท่ากับใคร ก็มักจะพูดหรืออุทานออกมาว่า “เรียบร้อยโรงเรียนจีน” เท่าที่ผมจำความรู้สึกได้ ผู้ที่โดนหลอกก็ไม่ได้มีอารมณ์โกรธหรือแค้นอะไรมากนัก แต่ออกไปในแนวขำๆ เขินๆ
ทำนองนั้น

ผมตั้งใจจะชื่อบทความนี้ว่า “เรียบร้อยโรงเรียนเชื้อเพลิงฟอสซิล” แต่ก็เกรงว่าจะยาวเกินไปเพื่อที่จะบอกว่าเราได้เสียท่าหรือถูกกลุ่มพ่อค้าพลังงานฟอสซิลหลอก ทั้ง ๆ ที่ได้มีตกลงร่วมกันในเวทีโลกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2015 ที่มีเป้าหมายว่า จะไม่ให้อุณหภูมิของโลกในปี 2100 สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับอุณหภูมิของโลกในยุคก่อนอุตสาหกรรม หรือยุค ค.ศ. 1850-1900 แต่ล่าสุด อุณหภูมิของอากาศเฉลี่ยทั่วโลกของตลอดเดือนกรกฎาคม 2566 ได้ทะลุขีด 1.5 องศาเซลเซียสไปแล้ว ไม่ต้องรอถึงปี 2100 หรืออีก 77 ปี

แม้ว่าหน่วยงานที่เป็นเจ้าของข้อมูลยังไม่ได้สรุปอย่างเป็นทางการก็ตามแต่เราสามารถดูจากกราฟด้วยตาเปล่าได้ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้แสดงรู้สึกและอุทานออกมาว่า “เรียบร้อยโรงเรียนจีน” โดยที่ไม่เกี่ยวกับข้องกับการเสียท่าต่อประเทศจีนแต่อย่างใด

คราวนี้มาดูข้อมูลทั้ง 3 ชิ้นที่ผมได้กล่าวถึงมาตั้งแต่ต้น ดังภาพตามลำดับ

อุณหภูมิเฉลี่ยรายวันของโลกทะลุ 1.5 องศาเซลเซียส

ข้อมูลนี้ผมได้มาจากสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของมหาวิทยาลัย Maine สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นข้อมูลที่ทันสมัยมากจนเกือบจะเป็นเวลาจริง ข้อมูลมาจากการจัดเก็บภาคสนาม ข้อมูลดาวเทียม รวมทั้งจากแบบจำลอง ฯลฯ จากทั่วโลกซึ่งกระจายตัวตามหลักวิชาทางสถิติ ผมเข้าใจว่าน่าจะมีมากกว่า 3 พันสถานี นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอื่นๆที่น่าสนใจมากครับ

แต่ข้อมูลที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้มาจากสื่ออื่น(อ้างแล้วในภาพ) เพราะเขาสามารถนำเสนอให้เข้าใจได้ง่ายกว่านอกจากนี้ ผมก็ได้อธิบายเสริมเพิ่มเติมในบางจุดด้วย

ผมหาค่าเฉลี่ย(จากเว็บไซต์ข้างต้น) ได้ว่าอุณหภูมิอากาศที่ระดับ 2 เมตรเหนือผิวโลกเฉลี่ยทั่วโลกประจำเดือนกรกฎาคม 2566 เท่ากับ 17.1 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่สูงที่สุดตั้งแต่มีการจดบันทึกมา และจากข้อมูลในรูปนี้พบว่า อุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยในยุคก่อนอุตสาหกรรมเกิน 1.5 องศาเซลเซียสด้วย (ดูภาพประกอบ)

อนึ่ง เวลาเราพูดถึงอุณหภูมิเฉลี่ยของปีใด เราหมายถึงค่าเฉลี่ยของทุกวันทั้ง 12 เดือนในปีนั้นๆแต่ที่ผมได้กล่าวถึงมาแล้วนั้นเป็นแค่อุณหภูมิเฉลี่ยเฉพาะของเดือนกรกฎาคม เท่านั้น

แนวโน้มของจำนวนครั้งที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติเพิ่มขึ้นตามเวลา

ก่อนที่ผมจะเขียนบทความนี้เพียง 2-3 วันได้เกิดฝนตกหนักในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ข่าวระบุว่าหนักที่สุดในรอบ 140 ปี จนทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง หลายท่านคงได้ดูคลิปข่าวน้ำท่วมกวาดรถยนต์ไปราวกับเกิดสึนามิในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2011

พร้อมกันนี้กำลังเกิดคลื่นความร้อนทั้งยุโรป สหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศทั่วโลกประเทศไทยเราเองก็โดนมาแล้วเมื่อเดือนเมษายน

ผลการศึกษาบางชิ้นระบุว่ามีผู้ได้รับความเดือดร้อนจากสภาพอากาศสุดขั้วของปีนี้รวมกันถึง 80% ของประชากรโลกจำนวน 8 พันล้านคน เกิดความเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สินและผลิตผลทางการเกษตรจำนวนมาก

ผลงานวิจัยทางนักวิทยาศาสตร์หลายชิ้นวิเคราะห์ตรงกันว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จำนวนครั้งที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติก็จะไม่เพิ่มขึ้นมากขนาดนี้ ผมมีข้อมูลมาให้ดูดังรูปที่สองครับ

เขาจำแนกภัยพิบัติทางธรรมชาติออกเป็น 4 อย่าง (ดูภาพพร้อมแหล่งอ้างอิง)จากข้อมูลพบว่าจำนวนครั้งที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้ง 4 อย่างรวมกันได้เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัวในช่วงเวลาประมาณ 40 ปี

การลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เป็นไปตามข้อตกลงปารีส

เราคงจำกันได้นะครับว่า องค์การสหประชาชาติได้มีมติที่เรียกกันว่า “ข้อตกลงปารีสปี 2015” โดยระบุเป้าหมายชัดเจนว่าต้องทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศผิวโลกในปี 2100 ต้องสูงไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม

โดยการร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งหนึ่งในนั้นและเป็นสาเหตุหลักก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แต่เมื่อเวลาผ่านไป 8 ปี นอกจากจะไม่มีการลดลงแล้ว แต่กลับมีการปล่อยเพิ่มขึ้น(ดูกราฟซ้ายมือของรูปที่สาม)

ผลจากการปล่อยก๊าซฯดังกล่าวก็มีผลทำให้อุณหภูมิของโลกได้เพิ่มสูงขึ้นจำนวนครั้งที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติก็เพิ่มขึ้น ดังแสดงแล้วในสองภาพแรก

ข้อมูลทางขวามือของภาพที่สามนี้บอกเราว่า ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ธรรมชาติสามารถดูดซับไว้ได้(คือพืชบนบกและในมหาสมุทร) มีเพียงประมาณ 53% ของปริมาณที่มนุษย์ได้ปล่อยทั้งหมด ดังนั้น ที่เหลืออีก 47% จึงลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ ไปทำหน้าที่เป็น “ผ้าห่ม” ซึ่งทำให้โลกร้อน ดังนั้นต่อให้มนุษย์สามารถเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ขึ้นเป็น 2 เท่า ก็ไม่สามารถลดก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ไม่ได้
ทางเดียวที่เป็นไปได้ก็คือต้องลดปริมาณการปล่อยลงมา ทั้งต้องลดทันทีและลดลงจำนวนมากด้วยแล้วหันไปใช้พลังงานหมุนเวียนเท่านั้น

ในยุคสมัย “เรียบร้อยโรงเรียนจีน” เกิดจากข้าราชการและนักการเมืองรับสินบนจากเจ้าของโรงเรียนจีน(บางโรง)ในประเทศไทยเราตามลำพังแต่ในยุคสมัย “เรียบร้อยโรงเรียนเชื้อเพลิงฟอสซิล” เป็นเรื่องทั้งในระดับประเทศไทยเราเองและในระดับโลกด้วยแถมเป็นของเรื่องผลประโยชน์จำนวนมหาศาลของทั้งพ่อค้าและนักการเมืองที่สมคบกันตลอดมาด้วยวิธีการที่ไม่แตกต่างกันมากนักแต่ความเสียหายจากภัยพิบัติทั้งทรัพย์สินและคุณภาพชีวิตที่ลดลงตกเป็นภาระของประชาชนทั้งโลกรีบตื่นขึ้นมารู้และเท่าทันกันเถิดครับ อย่าให้สายไปมากกว่านี้