
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย นางสวิสา
พงษ์เพ็ชร สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ และนายสุพริศร์ สุวรรณิก สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
วันที่ 15 มิถุนายน 2566 ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้จัดบรรยายสรุป PIER Research Brief ครั้งที่ 2/2566 เรื่อง “ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเดียวไม่ได้ แล้วต้องปรับตัวอย่างไรจึงจะอยู่รอด? ” โดย ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ นักเศรษฐศาสตร์การเงินระหว่างประเทศและเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และนางสวิสา พงษ์เพ็ชร หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย และมีนายสุพริศร์ สุวรรณิก สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ดำเนินรายการ
ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และนางสวิสา พงษ์เพ็ชร หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ศึกษาประเด็นการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(climate) และการใช้กลไกทางการเงินเพื่อสนับสนุนการปรับตัว เนื่องจากตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปรากฏชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะในรูปแบบของพายุ น้ำท่วม หรือภัยแล้งที่ส่งผลกระทบรุนแรงเป็นวงกว้าง สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ประชากร และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมทั่วโลก โดยให้ตัวอย่างการเลือกใช้เครื่องมือทางการเงินในต่างประเทศ พร้อมเสนอแนะแนวทางดำเนินการต่อไปสำหรับประเทศไทย

งานวิจัยนี้ได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และฉายภาพให้เห็นว่า ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับประเทศที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับที่ 9 จาก 180 ประเทศทั่วโลก โดยเศรษฐกิจไทยได้รับความเสียหายกว่า 7,719 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 0.82% ของ GDP ในช่วงปี ค.ศ. 2000-2019 ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตร และหากประเทศไทยไม่เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง สภาวะอากาศสุดขั้ว เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง พายุรุนแรง อุณหภูมิสุดขั้ว จะยิ่งมีแนวโน้มเกิดบ่อยครั้งและทวีความรุนแรงมากขึ้น สร้างผลกระทบและความเสียหายต่อภาคส่วนต่าง ๆ และเศรษฐกิจของไทยมากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ งานศึกษาของ Swiss Re Institute (2021) ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคตอาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยอาจหดตัวถึง 4.9 – 43.6%
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas mitigation) เป็นพันธกิจสำคัญที่จำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อช่วยชะลอไม่ให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เทียบกับในช่วงก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยจึงจำเป็นต้องดำเนินการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change adaptation) ควบคู่ไปด้วย เพื่อลดความเสี่ยง และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับภาคส่วนต่าง ๆ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะสภาวะอากาศสุดขั้ว เพื่อนำไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptation) ดังกล่าว มีรูปแบบที่ค่อนข้างหลากหลาย อาทิ
การดำเนินการในแต่ละรูปแบบจำเป็นต้องใช้เงินทุนสนับสนุนไม่เท่ากันและต้องอาศัยเงินทุนจากหลายแหล่ง การเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate finance) จึงเป็นกลไกสำคัญในการจัดหาแหล่งเงินทุน เพื่อใช้ในกิจกรรมด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ผลการศึกษาของ Global Landscape of Climate Finance 2021 พบว่า การเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate finance) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่ยังเป็นการระดมทุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (mitigation finance) เช่น พลังงานหมุนเวียน ระบบขนส่งที่สะอาด มากกว่าระดมทุนเพื่อสนับสนุนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptation finance) สะท้อนจากข้อมูลในปี ค.ศ. 2019-2020
การระดมทุนเพื่อสนับสนุนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptation finance) มีมูลค่าประมาณ 46 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเพียงร้อยละ 7 ของการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งหมด ระดับการสนับสนุนดังกล่าวนับว่ายังไม่เพียงพอสำหรับการจัดการกับผลกระทบทั้งปัจจุบันและในอนาคตจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยมองไปข้างหน้า UNEP (2021) คาดการณ์ว่า ประเทศกำลังพัฒนาอาจต้องแบกรับต้นทุนด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูงถึง 155-330 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี ค.ศ. 2030 และประมาณ 310-555 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี ค.ศ. 2050 โดยปัจจุบันเครื่องมือทางการเงินเพื่อสนับสนุนการปรับตัวต่อการเปลี่ยน แปลงสภาพภูมิอากาศที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ สินเชื่อ และตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยตามอัตราตลาด ตามมาด้วยสินเชื่อ/ตราสารหนี้ดอกเบี้ยต่ำ โดยอาจใช้ควบคู่กับเครื่องมือทางการเงินอื่น เช่น ประกัน หรือ การรับประกัน เพื่อถ่ายโอนความเสี่ยงจากผู้ให้การสนับสนุนทางการเงิน
สำหรับไทย หากพิจารณาเฉพาะการดำเนินการเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF คาดการณ์ว่า จำเป็นต้องใช้เงินทุนประมาณ 0.4 – 0.7% ของ GDP ต่อปี หรือประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ข้อมูลการระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้ยั่งยืนของไทยส่วนใหญ่ยังคงเน้นไปที่โครงการด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และส่วนที่สนับสนุนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะเน้นไปที่โครงการบางประเภทเท่านั้น เช่น โครงการด้านการจัดการน้ำ การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ในไทยมีการออกตราสารหนี้ยั่งยืนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยยอดคงค้างของตราสารหนี้ยั่งยืน ณ สิ้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 อยู่ที่ประมาณ 546,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาจากประมาณ 109,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี พ.ศ. 2563 โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน(sustainability bond) ที่เพิ่มขึ้น
มองไปข้างหน้า ไทยอาจต้องเผชิญความท้าทายและความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในหลายมิติ ส่งผลให้การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความจำเป็นและมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ภาคการเงินจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในส่วนนี้โดยให้การสนับสนุนโครงการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptation) มากขึ้นโดยอาจใช้เครื่องมือทางการเงินที่นิยมใช้ในต่างประเทศ เช่น สินเชื่อ ตราสารหนี้ หรือใช้เครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ เพราะหากไม่ดำเนินการอะไรเลย ภาคส่วนต่าง ๆ อาจได้รับผลกระทบและความเสียหายสูงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ดี เนื่องจากการระดมทุนเพื่อสนับสนุนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptation finance) ถือเป็นประเด็นที่ค่อนข้างใหม่สำหรับคนไทย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความตระหนักรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ในภาคการเงินไทยอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินและหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนทั่วไปด้วย
บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของ ธปท.
เอกสารอ้างอิง
Biagini, B., R. Bierbaum, M. Stults, S. Dobardzic, S. McNeeley (2014). A typology of adaptation actions: A global look at climate adaptation actions financed through the Global Environment Facility, Global Environmental Change, vol. 25 (2014), pp. 97-108.
Burmeister, H., A. Cochu, T. Hausotter, and C. Stahr (2019). Financing adaptation to climate change – an introduction, Adaptation Briefings, adelphi.
Climate Policy Initiative (2021). Global Landscape of Climate Finance 2021.
IMF (2022). IMF Staff Country Reports (Technreport No. 301.)
Swiss Re Institute (2021). Economics of climate change: no action not an option.
UNEP (2021). Adaptation Gap Report 2020, United Nations Environment Programme (UNEP). Available at: https://unepdtu.org/wp-content/uploads/2021/01/adaptation-gap-report-2020.pdf