ThaiPublica > ประเด็นร้อน > เลือกตั้งอย่างรับผิดชอบ 2566 > 13 นโยบาย “พรรคไทยสร้างไทย” ช่วยรายเล็กสกัดรายใหญ่กินรวบ

13 นโยบาย “พรรคไทยสร้างไทย” ช่วยรายเล็กสกัดรายใหญ่กินรวบ

11 พฤษภาคม 2023


เปิด 13 นโยบายพรรคไทยสร้างไทย เลิกกฎหมาย 1,400 ฉบับ อุปสรรคส่งเสริมธุรกิจคนเล็กคนน้อยไม่มีเส้นสายปลดล็อกเศรษฐกิจด้วย 3 กองทุนฟื้นฟูหนี้เสีย พักหนี้ทั้งต้นและดอก ตั้งกองทุนเครดิตประชาชนใส่เงินด่วน 5,000 บาทในแอปกระเป๋าตังค์ ชูบำนาญประชาชน 3,000 บาท เรียนฟรีถึงปริญญาตรีไม่มีหนี้

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้า และประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของ พรรคไทยสร้างไทย

อีกไม่กี่วันจะถึงวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 พรรคการเมืองต่างทยอยปล่อยนโยบายที่คาดว่าจะสามารถเพื่อดึงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ โดยพรรคไทยสร้างไทย ที่มีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรค มีนโยบาย เช่น การสร้างบำนาญประชาชน และผู้สูงอายุมีสวัสดิการ 3,000 บาทต่อเดือน

เพื่อตรวจสอบนโยบายพรรคการเมือง อันจะนำไปสู่การเลือกตั้งอย่างรับผิดชอบ “สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า” ได้มีโอกาสพุดคุยกับ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ในฐานะรองหัวหน้า และประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย ได้เล่าที่มาที่ไปและการขับเคลื่อนนโยบาย ว่าจะดำเนินการอย่างไร

พรรคไทยสร้างไทยประกาศ 13 นโยบาย โดยมีนโยบายด้านสวัสดิการและสังคม ทั้งเรื่องของบำนาญประชาชน 3,000 บาท และการเปลี่ยนแปลงด้านระบบการศึกษาเรื่องเรียนฟรี ไร้หนี้ถึงระดับปริญญาตรี

ขณะที่นโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นายสุพันธุ์ ในฐานะนักธุรกิจที่กระโดดเข้าสู่เวทีการเมืองครั้งแรก จะนำเอาประสบการณ์การบริหารบริษัทเอกชนตั้งแต่เป็นเอสเอ็มอีจนเป็นบริษัทขนาดใหญ่ของประเทศ และประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 3 สมัย มาใช้ในงานการเมืองอย่างไร

นายสุพันธุ์บอกว่า ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ เพราะเห็นสภาพสภาพเศรษฐกิจของประเทศที่ผ่านมาย่ำแย่ แม้ในฐานะภาคเอกชนจะเสนอแนวทางแก้ไขไปยังรัฐบาลหลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีพอ จึงเห็นใจ สภาพเศรษฐกิจประเทศเป็นแบบนี้ ภาคเอกชนและภาคการเมืองต้องจับมือทำงานร่วมกันแก้ปัญหานี้

“ที่ผ่านมาไม่มีภาคเอกชนเข้าไปในการเมืองเลย ยกเว้น ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าในฐานะภาคเอกชนเข้ามาทำงานการเมืองน่าจะสามารถผลักดันภาคเศรษฐกิจไปได้ได้ดี เพราะเศรษฐกิจในช่วงนี้น่ากลัวและน่าตกใจมาก เนื่องจากหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะสูงขึ้นทั้งสองตัว และไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลงเลย เราขาดดุลการค้ามาหลายแสนล้านโดยที่แนวทางแก้ไขยังไม่ชัดเจน”

ขณะที่สภาพเศรษฐกิจประเทศยังตกต่ำ ภาคการเมือง โดยรัฐบาลยังประชานิยมด้วยการแจกเงิน แต่ไม่มีวิธีการสร้างรายได้ที่จะทำให้ประเทศเข้มแข็ง ส่วนความเหลื่อมล้ำจะสูงขึ้น มีการครอบงำของธุรกิจรายใหญ่ เรียกว่า “กินรวบและเยอะกว่าปกติ” เพราะว่ารัฐเองเกื้อหนุนรายใหญ่ ไม่ได้เกื้อหนุนรายเล็ก

“ผมมาจากการทำธุรกิจรายเล็ก ตั้งบริษัทจากทุนจดทะเบียนล้านเดียว แต่วันนี้ผมเป็นธุรกิจรายใหญ่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยอดขายหลายหมื่นล้าน ผมเข้าใจรายเล็ก แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจตอนนี้ ผมไม่กระทบกระเทือน แต่ในอนาคตผมไม่ปลอดภัย เพราะหากประเทศเป็นแบบนี้ อาจจะเป็นปัญหาได้ในอนาคต”

นายสุพันธุ์บอกว่า ในฐานะที่มีประสบการณ์ในการทำงานภาคเอกชน อยากเข้ามาช่วยขับเคลื่อนประเทศ เพราะรู้ว่าจะต้องเดินหน้าอย่างไร แก้ไขตรงไหน สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมีปัญหาคอร์รัปชันและยาเสพติดหนักมาก และความเหลื่อมล้ำที่ต้องแก้ไข

สุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้า และประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย

ปลดล็อก กม. 1,400 ฉบับ อุปสรรคธุรกิจขนาดเล็ก

ด้วยสภาพเศรษฐกิจประเทศ และการขับเคลื่อน ที่ใช้นโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่ผ่านมา ทำให้มีหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น เงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้น สิ่งเหล่านี้บอกได้ว่าคนไทยกำลังจนลง มีรายได้น้อยลง และเศรษฐกิจชะลอ นั่นแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ถูกทาง

นายสุพันธุ์บอกว่า ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ประเทศมีหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นตลอดเวลา หนี้สาธารณะก็สูงขึ้นด้วย ซึ่งทั้งสองตัวไม่ควรเป็นแบบนี้ โดยหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นมาจากการที่รัฐบาลกู้เงินมาพัฒนาประเทศ ซึ่งคนไทยควรมีรายได้ดีขึ้น หนี้ครัวเรือนควรจะลดลง แต่ที่เป็นแบบนี้เพราะว่ารัฐบาลถมเงินลงไปไม่ถูกที่ถูกทาง แล้วยังอาจจะมีปัญหาเรื่องคอร์รัปชันและความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก รวมทั้งมาเจอปัญหาค่าไฟฟ้าแพง คนได้ประโยชน์เป็นคนกลุ่มเล็กๆ โดยที่รัฐไม่ได้ดูแลสังคมคนส่วนใหญ่ของประเทศ

นโยบายของพรรคไทยสร้างไทยจึงมุ่งแก้ปัญหาไปให้ถึงคนเล็กคนน้อย โดยมองไปที่ปัญหาและอุปสรรคของคนทำธุรกิจที่ไม่มีเส้นสาย โดยพบว่าอุปสรรคส่วนใหญ่มาจากกฎหมายกว่า 1,400 ฉบับ ที่ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กไม่สามารถเดินหน้าได้

“กฎหมายคืออุปสรรคในการทำธุรกิจ เพราะหลายฉบับมีขั้นตอนที่ทำให้เกิดเป็นคอขวด ถ้าเปิดคอขวดจะทำให้ธุรกิจเดินหน้าไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราจะออก พ.ร.ก. 1 ฉบับเพื่อทำให้กฎหมาย 1,400 ฉบับงดเว้นใช้ชั่วคราว และทยอยแก้ไขกฎหมายบางอย่างที่ไม่จำเป็น”

นายสุพันธุ์ยกตัวอย่างกฎหมายที่เป็นปัญหากับธุรกิจเครื่องดื่มและเครื่องสำอาง คือการขออนุญาต สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ที่ขั้นตอนดังกล่าวทำให้คนทำธุรกิจน้ำดื่มและอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่เป็นผู้ประกอบการเป็นรายเล็กไม่สามารถประกอบธุรกิจได้

โดยเขาเห็นว่า อุตสาหกรรมอาหาร ยา เครื่องมือแพทย์ ควรต้องผ่าน อย. แต่ที่เหลือไม่จำเป็น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมน้ำดื่ม เครื่องสำอาง ที่คนทำธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในประเทศ ซึ่งเครื่องดื่มถ้าไม่ผ่าน อย. ไม่สามารถขายในท้องตลาดได้ แต่ในหลายประเทศอุตสาหกรรมประเภทนี้ไม่ต้องผ่าน อย. ดังนั้น ถ้าพรรคไทยสร้างไทยเป็นรัฐบาลจะใช้เวลา 7 วันในการจดแจ้ง

“ผมคิดว่าในเรื่องเครื่องดื่ม น้ำ หากมีปัญหาเรามีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค หากพบว่าผิดปกติสามารถฟ้องตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค เช่น เดียวกันกับร้านก๋วยเตี๋ยว ที่เราไม่มี อย. ก็สามารถขายได้ แต่หากไม่สะอาดเราแจ้งตามกฎหมายผู้บริโภค เพื่อให้อุตสาหกรรมของคนเล็กๆ ในประเทศเกิดขึ้นได้บ้าง”

ปลดล็อกเศรษฐกิจด้วย 3 กองทุนฟื้นฟูหนี้

ปัญหาเรื่องหนี้ไม่เพียงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี แต่ยังรวมถึงหนี้ส่วนบุคคลหรือหนี้ครัวเรือน ที่หลังจากสถานการณ์โควิดระบาดทำให้ประชาชนมีหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยเฉพาะปัญหาหนี้นอกระบบ

ด้วยสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ยาวถึง 3 ปี จนทำให้ธุรกิจขนาดเล็ก เช่น ผู้ประกอบการ ประชาชนที่พอมีเงินเก็บสามารถนำมาใช้ได้ในปีที่หนึ่งและปีที่สอง แต่พอเริ่มเข้าปีที่สามต้นทุนหมดและยังไม่มีเครดิตกู้ในระบบได้ต้องกู้นอกระบบ

โดยกลุ่มคนที่เป็นหนี้ทั้งหมดประมาณ 3-4 ล้านคน รวมจำนวนมีหนี้และติดเครดิตบูโรประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ควรจะเสียหาย เพราะตลอด 3 ปีที่ผ่านมาเขาไม่สามารถประกอบอาชีพได้

นายสุพันธุ์บอกว่า นโยบายของพรรคจะเข้ามาแก้ปัญหาในเรื่องนี้ โดยจะเริ่มเจรจาธนาคารพักดอกเบี้ย และจะตั้งกองทุนฟื้นฟูหนี้เสียใช้เงินไม่เกิน 2 หมื่นล้าน จ่ายดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างหนี้ หากคนกลุ่มนี้หลุดจากเครดิตบูโรก็สามารถกู้ใหม่ได้ ธุรกิจก็เดินต่อได้ ร้านเปิดได้ ใช้หนี้ได้ หนี้ไม่เสียหาย

ส่วนหนี้นอกระบบ จะตั้งกองทุนเครดิตประชาชน โดยปล่อยกู้ผ่านแอปเป๋าตังค์คนละ 5 พันบาท ดอกเบี้ยแค่ 1% สามารถผ่อนได้วันละ 100-200 บาท ถ้าผ่อนครบจ่ายตรงเวลาสามารถเพิ่มวงเงินได้ ถ้าจ่ายตรงสามารถเพิ่มวงเงินได้ทำให้เกิดการกระตุ้นค่าใช้จ่ายการดำรงชีวิตดีขึ้น

ขณะที่ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม ที่ต้องการเงินทุน เราตั้งกองทุนเอสเอ็ม เพื่อส่งเสริมเอสเอ็มอี, สตาร์ทอัป และวิสาหกิจชุมชน โดยจะนำเงินจากภาครัฐมาตั้งกองทุน แต่บริหารโดยภาคเอกชน เพื่อสร้างชุนให้เข้มแข็ง นอกจากนี้ จะยกเว้นภาษี SMEs 3 ปี และยกเว้นภาษีผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 300,000 บาท

สุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้า และประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของ พรรคไทยสร้างไทย

สร้างแลนด์มาร์กท่องเที่ยวทุกจังหวัด

ส่วนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว นายสุพันธุ์เห็นว่า เป็นแนวทางที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออก 70% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมยานยนต์

ขณะที่ภาคเกษตรและการท่องเที่ยวของไทยควรจะโตมากขึ้น ให้การส่งออกเหลือ 50% โดยเป็นการส่งออกที่เพิ่มมูลค่าแม้ว่าสัดส่วนลดลง แต่มูลค่าจะต้องสูงขึ้น สามารถทำให้จีดีพีของประเทศโตขึ้นได้

“สินค้าในการส่งออกจะต้องเป็นของคนไทย ซึ่งเราต้องเปลี่ยนเคพีไอของบีโอไอ เพราะว่าตอนนี้ การลงทุนของคนไทยและต่างชาติ แม้ว่าสิทธิจะเหมือนกัน แต่สิ่งที่คนไทยกับคนต่างชาติทำได้ต่างกัน เพราะต่างชาติมีทั้งทุนและเทคโนโลยี ดังนั้น เราอาจจะปรับเคพีไอให้กับอุตสาหกรรมไทยให้โตขึ้นได้”

ยกตัวอย่างการปรับเงื่อนไข ซึ่งเดิมผู้บริหารอาจจะมีเคพีไอ การส่งเสริมการลงทุนให้ได้ 6 แสนล้านบาท และโดยส่วนใหญ่ผู้บริหารก็จะมองไปที่บริษัทขนาดใหญ่เม็ดเงินลงทุนสูงระดับ 500 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่บริษัทเหล่านั้นไม่ใช่ของคนไทย

ดังนั้น เราควรจะวางกรอบเคพีไอใหม่ โดยกำหนดให้เคพีไอมีเป้าหมายลงทุน 300 บริษัท วงเงินพันล้านบาท แต่ให้แต้มต่อกับเอสเอ็มอีไทย โดยผู้ได้สิทธิบีโอไอต้องเป็นบริษัทที่คนไทยเป็นเจ้าของ และต้องไม่ใช่ลูกของบริษัทใหญ่ เพื่อต้องการส่งเสริมการเกิดขึ้นของธุรกิจเอสเอ็มอีใหม่ๆ

“ถ้าเราสามารถสร้าง 300 บริษัททำให้มีรายได้ ไม่ต้องเสียภาษี 3 ปี แต่ต้องเข้าระบบภาษีหลังจากเริ่มรวยค่อยเสียภาษีได้ นี่ต่างหากคือวิธีการหาเงิน ไม่ใช่แบบการจ่ายคนละครึ่งเที่ยวด้วยกัน พวกนี้รัฐต้องกู้หนี้สาธารณะไม่พอ แถมไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง”

สร้างพันธมิตรธุรกิจกับเพื่อนบ้าน

นายสุพันธุ์บอกว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องแก้ที่ปัญหาเศรษฐกิจรากหญ้า ฐานราก และต้องดูว่าประเทศไทยเหมาะสมกับอะไร ส่วนในเรื่องของเศรษฐกิจโลกคาดว่า “ส้มหล่น” มาที่ประเทศไทยแน่นอน เนื่องจากทั้งสหรัฐฯ และจีนมีปัญหาขัดแย้งกัน ทำให้นักลงทุนหนีมาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย ทั้งไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย จะได้ประโยชน์

อย่างไรก็ตาม เห็นว่าประเทศในแถบนี้ไม่ควรจะแข่งขันกัน ไทย เวียดนาม ควรจะหันมาคุยกันเป็นพันธมิตรทางธุรกิจจับมือกัน ใครถนัดอะไรก็ลงทุนในเรื่องนั้น เช่น เวียดนามเก่งเรื่องโทรศัพท์ก็ให้เขาทำไป ขณะที่เราเก่งเรื่องยานยนต์ก็ให้เราทำไป ควรร่วมมือกันมากกว่ามาแย่งตลาดกันเอง

ส่วนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก จีดีพีจะต้องเพิ่มขึ้นโดยมีสัดส่วนของอุตสาหกรรมไทย เนื่องจากที่ผ่านมาจีดีพี 70% ขึ้นอยู่กับส่งออก และอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดคือยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ แต่อุตสาหกรรมทั้ง 2 ประเภทไม่มีคนไทยเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้น เราจะได้แค่ค่าแรงงาน

ขณะที่อุตสาหกรรมของคนไทยคือการเกษตร การท่องเที่ยว สุขภาพ ควรจะโตมากขึ้น โดยท่องเที่ยวควรจะโต จาก 10% เป็น 20% ส่วนเกษตรควรจะโตขึ้น 13% ซึ่งทั้งหมดรัฐบาลต้องลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ระบบน้ำระบบชลประทาน และนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย รวมไปถึงการแก้ปัญหาเรื่องของปุ๋ย

“เราต้องโฟกัสเรื่องเศรษฐกิจ แต่เราไปโฟกัสเรื่องผลประโยชน์ ทำให้ไม่รู้ว่าจะพัฒนาอย่างไร จะเห็นว่าประเทศที่เก่งเกษตรกรรมอย่างเนเธอร์แลนด์ เขาเด่นเรื่องอุตสาหกรรมการเกษตร และเกษตรกรเขารวยได้ รัฐบาลเขาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ไม่เหมือนไทย ที่ใช้ประกันราคาจนเกษตรเราขี้เกียจไปหมดแล้ว ผมเป็นห่วง เพราะว่าระบบประกัน แค่มีที่ดินถึงเวลาได้ไร่ละ 5,000 บาท แม้ว่าจะมี10 ไร่ แต่ทำนาแค่ 7 ไร่ ที่เหลืออย่างอื่นก็ได้ประกันราคา”

นายสุพันธุ์มองว่า ปัญหาอุตสาหกรรมการเกษตรที่ผ่านมาไม่ได้รับการพัฒนาตั้งแต่พันธุ์ข้าว กฎหมายไทยก็เป็นปัญหาในการทำวิจัย ไม่สามารถนำพันธุ์ข้าวต่างประเทศมาผสมเพื่อการวิจัยได้ ทำให้เอกชนต้องไปทำวิจัยพันธุ์ข้าวในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้พันธุ์ข้าวของเพื่อนบ้านได้รับการพัฒนามากขึ้น ดังนั้น เห็นว่าอุตสาหกรรมกับเกษตรกรต้องจับมือกัน ชาวไร่กับโรงงานต้องจับมือกันในการพัฒนาวิจัยเพื่อให้ได้พันธุ์ที่ดี สามารถเพิ่มผลผลิตได้

ส่วนในเรื่องปุ๋ย เราเห็นว่าจะต้องมีการประกันราคาปุ๋ย เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยพึ่งพาปุ๋ยนำเข้า พอเกิดปัญหาก็ส่งผลให้ปุ๋ยราคาแพง ต้นทุนของเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น เราจึงมีนโยบายประกันราคาปุ๋ย เพื่อทำให้ไทยเป็นครัวโลก สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับโลก

เรียนฟรีถึงปริญญาตรีไม่มีหนี้

ส่วนนโยบายด้านสวัสดิการการศึกษา พรรคไทยสร้างไทยมีโครงการเรียนฟรีจนถึงปริญญาตรี ไม่มีหนี้ กยศ. แต่ต้องลดเวลาเรียนลงมาชั้นละ 1 ปี คือ การเรียนชั้นประถม ลดมา 1 ปี เรียนมัธยม ลดลงมา 1 ปี และปริญญาตรี ลดการเรียนลงมา 1 ปี

ทั้งนี้ การลดเวลาเรียนลงมาชั้นละ 1 ปีจะทำให้เด็กอายุ 18 ปีจบมหาวิทยาลัยและได้ปริญญาตรี สามารถทำงานได้เร็วขึ้น ขณะที่หลักสูตรจะเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยี ต้องมีโค้ชฝึกทดสอบอย่างจริงจัง หลังจากเรียนเสร็จ ต้องทดสอบทดลองทำเลย ซึ่งวิธีเรียนแบบนี้จะทำให้เด็กไทยเก่งขึ้น

บำนาญประชาชน 3,000 บาท-หวยบำเหน็จ

ส่วนนโยบายด้านสวัสดิการอื่นๆ เช่น การสร้างระบบบำนาญประชาชน ผู้สูงอายุได้รับเงินเดือน 3,000 บาท และ การยกระดับ 30 บาทพลัส โดยใช้ระบบ Tele-Medicine ส่งยาถึงบ้านไม่ต้องเดินทางมารับยา นัดหมอผ่านแอปพลิเคชัน ถึงเวลาตรวจได้เลย รวมไปถึงโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ นอกจากนี้ จะสร้างระบบหวยบำเหน็จ ซื้อหวยเงินไม่หายได้ลุ้นรางวัล

ค่าไฟฟ้าไม่เกิน 3.50 บาท

พรรคไทยสร้างไทยยังมีนโยบายการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า โดยจะพิจารณาเรื่องของปริมาณสำรองไฟฟ้าและค่า Ft โดยจะทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลง 3.50 บาทต่อหน่วย และส่งเสริมให้ครัวเรือนกู้เงินเพื่อติดตั้งโซลาร์รูฟทอปราคาถูก และสามารถขายไฟฟ้าคืนได้

“ปัญหาเรื่องโครงสร้างไฟฟ้าต้องปรับแก้ไข เพราะที่ผ่านมาไปเอื้อรายใหญ่แล้วบอกว่าไม่ทุจริต ซึ่งแบบนี้สามารถเรียกว่าทุจริตเชิงนโยบายได้ เพราะประชาชนจ่ายค่าไฟฟ้าแพง เนื่องจากต้นทุนแพง เราจะทำให้ถูกลง”

ขณะที่นโยบายเนื่องของการพัฒนาอย่างยั่งยืนหรือ BCG จะเปิดให้เกิดการนำเอานวัตรรมมาพัฒนาเพิ่มโอกาสทางชีวภาพ ซึ่งประเทศไทยมีพันธุ์พืชที่หลากหลาย พัฒนาระบบรับรองจากภาครัฐ เพราะเชื่อว่าในอนาคต โมเดลเศรษฐกิจ BCG จะเป็นทิศทางของเศรษฐกิจโลก

นายสุพันธุ์บอกว่า ถ้าพรรคไทยสร้างไทยเป็นรัฐบาลสิ่งที่ต้องแก้ไข คือการกินรวบ เพราะขณะนี้เกิดการกินรวบมากอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากในประเทศไทย ผมอยากบอกคนรวยว่า พอได้แล้ว ผมอยากสอนวินัยคนรวยว่ารู้จักพอบ้าง