ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup เวียดนามเตรียมพัฒนาข้าวคุณภาพสูงปล่อยมลพิษต่ำภายในปี 2573

ASEAN Roundup เวียดนามเตรียมพัฒนาข้าวคุณภาพสูงปล่อยมลพิษต่ำภายในปี 2573

12 มีนาคม 2023


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 5-11 มีนาคม 2566

  • เวียดนามเตรียมพัฒนาข้าวคุณภาพสูงปล่อยมลพิษต่ำภายในปี 2573
  • เวียดนามติดทอป 5 จุดหมายปลายทางการลงทุนยอดนิยมของเศรษฐีสิงคโปร์
  • อินโดนีเซียเผยสิทธิภาษีจูงใจพัฒนาโครงการเมืองหลวงใหม่
  • บริษัทมาเลเซียอย่างน้อย 10 แห่งสนใจลงทุนในเมืองหลวงใหม่ของอินโดนีเซีย
  • กัมพูชา-สิงคโปร์ริเริ่มสำนักงานข้อมูลเครดิตข้ามชาติ
  • เวียดนามเตรียมพัฒนาข้าวคุณภาพสูงปล่อยมลพิษต่ำภายในปี 2573

    ที่มาภาพ: https://www.geopoliticalmonitor.com/backgrounder-agriculture-4-0-in-vietnam/
    กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทกำลังได้จัดทำร่างโครงการเพื่อพัฒนาข้าวคุณภาพสูงที่ปล่อยมลพิษต่ำในพื้นที่ 1 ล้านเฮกตาร์ของเวียดนาม จากการเปิดเผยของนาย เจิ่น ถั่น นาม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง ทั้งนี้ร่างแผนพัฒนาโครงการใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว

    ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเวียดนาม นายนามกล่าวว่า กระทรวงฯ จะส่งร่างแผนพัฒนาของโครงการให้รัฐบาลพิจารณาในเดือนหน้า

    ขณะนี้มีข้าวประมาณ 700,000 เฮกตาร์ทั่วประเทศได้รับการลงทะเบียนให้เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะเริ่มได้เมื่อได้รับความเห็นชอบ

    โครงการพัฒนาข้าวมลพิษต่ำเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพื่อดำเนินการตามยุทธศาสตร์เวียดนามเพื่อการเกษตรยั่งยืนและการพัฒนาชนบทในช่วงปี 2564-2573 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2593 ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายของยุทธศาสตร์คือ การพัฒนาพื้นที่สำหรับวัตถุดิบที่มีคุณภาพ

    ในขณะเดียวกัน โครงการข้าวคุณภาพสูงในพื้นที่ 1 ล้านเฮกตาร์จะเป็นหนึ่งในความพยายามของเวียดนาม ที่จะบรรลุพันธกรณีการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ของประเทศตามที่ให้คำมั่นไว้ในการประชุม COP 26

    โครงการนี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม สถิติปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าการปล่อยก๊าซจากการผลิตข้าวคิดเป็น 40% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดจากการผลิตทางการเกษตร

    นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายที่จะจัดระเบียบการผลิตข้าวใหม่ โดยสหกรณ์เชื่อมโยงและสนับสนุนเกษตรกรเพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และรายได้ของเกษตรกร

    ปัจจุบัน โมเดลการผลิตที่ปล่อยมลพิษต่ำถูกนำไปใช้กับพื้นที่ประมาณ 180,000 เฮกตาร์ทั่วเวียดนาม นายนามกล่าวและว่า โมเดลเหล่านั้นจะถูกรวมเข้าด้วยกันและขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น

    ผลลัพธ์จากโครงการปฏิรูปเกษตรกรรมยั่งยืนของเวียดนาม (VnSAT) ซึ่งเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จ ช่วยส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนในประเทศ จะมีการขยายผลด้วยข้อกำหนดที่สูงขึ้น

    นายนามกล่าวว่า จะเรียกร้องให้บริษัทต่างๆ เข้าร่วมโครงการผลิตข้าวคุณภาพสูงที่ปล่อยมลพิษต่ำ เนื่องจากบริษัทต้องการพื้นที่วัตถุดิบคุณภาพสูง

    เวียดนามติดทอป 5 จุดหมายปลายทางการลงทุนยอดนิยมของเศรษฐีสิงคโปร์

    ภาพต้นแบบจาก: https://www.uncovervietnam.com/ho-chi-minh-city-vietnam/
    เวียดนามติด 1 ใน 5 จุดหมายปลายทางการลงทุนยอดนิยมของชาวสิงคโปร์ที่ร่ำรวยอย่างมาก หรือกลุ่ม ultra-rich ที่มีความมั่งคั่งสุทธิ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป ที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ จากรายงาน Wealth Report ของไนต์แฟรงก์

    รายงานล่าสุดระบุว่า นครโฮจิมินห์ เมืองทางตอนใต้ของเวียดนาม ติดอันดับ 3 ของโลกในด้านคอนโดมิเนียมหรูราคาย่อมเยา รองจากเซาเปาโล ประเทศบราซิล และเมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้

    รายงานชี้ว่า จึงเป็นสาเหตที่ดึงดูดนักลงทุนจากประเทศในภูมิภาคใกล้เคียง

    ไนต์แฟรงก์คำนวณว่า ด้วยเงิน 1 ล้านดอลลาร์ ก็สามารถเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หรูหราขนาด 162 ตารางเมตรในโฮจิมินห์ซิตี้ได้ เทียบกับพื้นที่เล็กๆ 35 ตารางเมตรในสิงคโปร์

    อเล็กซ์ เครน กรรมการผู้จัดการของไนต์แฟรงก์เวียดนามให้ความเห็นเกี่ยวกับผลการวิจัยว่า “ในปี 2565 เราเห็นความสนใจในระดับสูงจากนักลงทุนต่างชาติสำหรับตลาดเพื่อการพาณิชย์ในเวียดนาม โดยสัดส่วนที่เห็นได้ชัดเจนมาจากทุนส่วนตัว รวมถึงธุรกรรมที่ใหญ่ที่สุดที่ไนต์แฟรงก์เป็นนายหน้า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา”

    “เราคาดการณ์ว่าแนวโน้มนี้จะต่อเนื่องในปี 2566 แต่ยังคาดการณ์ว่าการประเมินมูลค่าในประเทศ จะอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการแข่งขันที่มากขึ้นในเอเชีย เนื่องจากนักลงทุนเอกชนเหล่านี้สามารถลงทุนได้ในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่คล้ายกัน หรือประเทศเศรษฐกิจที่เติบโตเต็มที่แล้ว ซึ่งความมั่นคงและผลตอบแทนอาจจะดีกว่าเวียดนาม”

    จากรายงาน ปี 2565 เป็นปีที่แข็งแกร่งเป็นปีที่สอง ในแง่ปริมาณการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในหมู่นักลงทุนเอกชน โดยใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีตั้งราคาใหม่และสถานะสกุลเงินที่ดี โดย 32% ของผู้มีรายได้สุทธิสูงในเอเชียแปซิฟิกรายงานว่าพวกเขาตั้งใจที่จะเพิ่มการลงทุน ในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 28%

    นักลงทุนเอกชนเป็นผู้ซื้อที่คึกคักมากที่สุดในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ทั่วโลกในปี 2565 ซึ่งคิดเป็น 41% ของการลงทุนทั้งหมด อาคารที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับหลายครอบครัว หรือตลาดเพื่อการเช่าของเอก (PRS) เป็นตัวเลือกการลงทุน รองลงมาคือสำนักงานและภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์รวมกัน

    ในรายงานอีกฉบับหนึ่ง ไนต์แฟรงก์ยังคาดการณ์ว่า กลุ่ม ultra-wealth ของสิงคโปร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 268% ในช่วงปี 2559-2569

    อินโดนีเซียเผยสิทธิภาษีจูงใจพัฒนาโครงการเมืองหลวงใหม่

    ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด คณะรัฐมนตรีและแขกรับเชิญ ในนูซันทาราปี 2022 ที่มาภาพ: https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Indonesian_President_Joko_Widodo_Leads
    _Kendi_Nusantara_Ritual_at_New_Capital%E2%80%99s_Ground_Zero_%2814032022152732%29.jpg
    ในการประกาศสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุนในเมืองหลวงแห่งใหม่ เจ้าหน้าที่อาวุโสของอินโดนีเซียให้คำมั่นว่า การดำเนินการเกี่ยวกับเมืองหลวงแห่งใหม่ที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าของเกาะบอร์เนียวจะไม่หยุดชะงัก เมื่อตำแหน่งประธานาธิบดีมีการเปลี่ยนมือในปีหน้า

    นายบัมบัง ซูซานโตโน หัวหน้าสำนักงานนูซันทารา (Nusantara) ประกาศระหว่างการเยี่ยมชมพื้นที่ในกาลีมันตัน ทางตะวันออกของเกาะบอร์เนียว ว่า อินโดนีเซียจะกำหนดให้เมืองที่มีชื่อว่า นูซันทารา เป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งขณะนี้ในเขตเซปากู (Sepaku) ของเมืองหลวง มีคนงานก่อสร้างกว่า 7,000 คนกำลังทำงานเพื่อวางรากฐานสำหรับบ้านพักใหม่ของประธานาธิบดี

    นูซันทารา มหานครสีเขียวอัจฉริยะที่ครอบคลุมพื้นที่เกือบ 260,000 เฮกตาร์ (642,474 เอเคอร์) ถือเป็นโครงการชิ้นเอกของประธานาธิบดีโจโก วิโดโด เพื่อแทนที่จาการ์ตาเมืองหลวงบนเกาะชวาที่คับคั่ง และกำลังจะจมลงอย่างรวดเร็ว

    อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโควิด-19 และด้วยมูลค่าการลงทุนถึง 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าการพัฒนาอาจหยุดชะงักลงหลังจากที่วิโดโดครบวาระการดำรงตำแหน่งรอบที่สองและเป็นวาระ 5 ปีสุดท้ายในปี 2567

    รัฐบาลจะยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับธุรกิจที่ลงทุนอย่างน้อย 10,000 ล้านรูปียะฮ์ (647,660 เหรียญสหรัฐฯ) เป็นเวลา 10 ถึง 30 ปี โดยโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะจะได้รับการลดหย่อนภาษีนานที่สุดจนถึงปี 2578

    ธุรกิจต่างชาติที่ย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังนูซันทารา และสถาบันการเงินที่ตั้งสำนักงานที่นั่นจะได้รับการลดหย่อนภาษีด้วย นอกเหนือจากมาตรการจูงใจอื่นๆ แล้ว จะมีการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าทุน และค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาสามารถหักภาษีได้

    รัฐบาลจะให้สิทธิในที่ดินเป็นเวลา 95 ปี และสามารถขยายเวลาได้ในระยะเวลาเดียวกัน ซึ่งนานกว่าที่อื่นในอินโดนีเซีย ความสำเร็จของเมืองหลวงใหม่ขึ้นอยู่กับภาคเอกชน เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลรับผิดชอบมีพียง 20% เท่านั้น

    “ผมคิดว่านักลงทุนคงชอบที่จะเห็นว่ารัฐบาลลงทุนก่อน ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนใหญ่ในปี 2567 จึงจ่ายด้วยงบประมาณของรัฐ” นายบัมบังกล่าว

    นายอากุง วิจักโซโน รองหัวหน้าฝ่ายการระดมทุนและการลงทุนของนูซันทารา ระบุว่า แม้ธุรกรรมภาคเอกชนจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ได้รับจดหมายแสดงความสนใจมากกว่า 100 ฉบับจากธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งจากมาเลเซีย จีน และสหรัฐอเมริกา

    จากข้อมูลของวาลลิน ซารินา นักวางผังเมืองหลัก อาคารกระทรวง 4 แห่ง บ้านพักประธานาธิบดี ทำเนียบประธานาธิบดี ย่านกลางเมือง จะเสร็จสิ้นภายในปี 2567 พร้อมกับการฉลองวันครบรอบ 79 ปีแห่งการประกาศเอกราชของอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก โดยนายบูดี คูร์นิอาวาน รองผู้จัดการโครงการก่อสร้างพระราชวังกล่าวว่า การพัฒนาคืบหน้าเพียง 8% จนถึงตอนนี้

    บริษัทมาเลเซียอย่างน้อย 10 แห่งสนใจลงทุนในเมืองหลวงใหม่ของอินโดนีเซีย

    ดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเซีย ในสภาผู้แทนราษฎร ที่มาภาพ: https://www.bernama.com/en/region/news.php?id=2170722
    บริษัทยักษ์ใหญ่ของมาเลเซียอย่างน้อย 10 แห่ง กำลังประเมินความเป็นไปได้ในการลงทุนครั้งใหญ่ในโครงการพัฒนาในเมืองนูซันตารา เมืองหลวงแห่งใหม่ของอินโดนีเซีย ดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเซีย เปิดเผยในสภาผู้แทนราษฎร

    นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า บริษัทใหญ่ 9 แห่งจากคาบสมุทรมาเลเซีย และ 1 แห่งจากรัฐซาราวัก กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนอย่างจริงจัง

    “ในการหารือกับรัฐบาลอินโดนีเซียเมื่อเร็วๆ นี้ มีหลายบริษัทๆ เข้าร่วมด้วย เช่น TNB (Tenaga Nasional Bhd) และ Telekom (Malaysia Bhd) มีอย่างน้อย 10 บริษัทร่วมอยู่ด้วย

    “แต่ภายใต้สถานการณ์นี้ ผมได้แจ้งกับมุขมนตรีของซาราวักว่า ซาราวักนั้นอยู่ใกล้กับนูซันตารา จึงน่าจะเป็นผู้นำ และการดำเนินการนี้จะได้มีการประสานงานกับรัฐบาล ซาราวักเพื่อให้เราได้รับประโยชน์มากขึ้น ”

    ดาโต๊ะอันวาร์กล่าวเพื่อตอบคำถามว่า บริษัทของมาเลเซียมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนานูซันทารา และพื้นที่อุตสาหกรรมในกาลีมันตันมากน้อยเพียงใด

    ในขณะเดียวกัน เพื่อตอบคำถามแยกเกี่ยวกับความพร้อมของรัฐบาลในการมีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่นในซาบาห์และซาราวัก ในแผนการพัฒนาในนูซันตารา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลยังมองความเป็นไปได้ของการประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย เยาวชน องค์กรอิสลาม ภาครัฐ และองค์กรพัฒนาเอกชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง

    “ยังไม่มีแผนดำเนินการมากกว่านี้ แต่ผมเชื่อว่าจากความคืบหน้าของโครงการพัฒนานูซันทารา เราต้องพิจารณาถึงความร่วมมือที่เป็นไปได้”

    นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประสานความร่วมมือระหว่างมาเลเซียและอินโดนีเซียเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองหลวงใหม่ของอินโดนีเซีย จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ

    “ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ได้แจ้งผมด้วยว่า ในกลุ่มประเทศอาเซียน มาเลเซียเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมชั้นนำและกระตือรือร้นในความร่วมมือนี้”

    กัมพูชา-สิงคโปร์ริเริ่มสำนักงานข้อมูลเครดิตข้ามชาติ

    ที่มาภาพ: https://www.phnompenhpost.com/business/cambodia-singapore-transnational-credit-bureau-initiative-inked
    กัมพูชา-สิงคโปร์ ได้ริเริ่มโครงการสำนักงานข้อมูลเครดิตข้ามพรมแดนระหว่างกัน อันเป็นความริเริ่มแรกในด้านข้อมูลเครดิต ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับธุรกิจและบุคคลที่หลากหลายจากทั้งสองประเทศ

    เมื่อวันที่ 8 มีนาคม Oeur Sothearoath ซีอีโอ บริษัทข้อมูลเครดิต (กัมพูชา) จำกัด หรือ Credit Bureau (Cambodia) Co Ltd-CBC และนายวิลเลียม ลิม กรรมการบริหารของบริษัทข้อมูลเครดิต (สิงคโปร์) จำกัด หรือ Credit Bureau (Singapore) Pte Ltd-CBS ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Credit Bureau Asia Ltd (CBA) ได้ลงนามในความคิดริเริ่มด้านเครดิตบูโร โดยมีเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศร่วมเป็นสักขีพยาน

    “ทั้ง CBS และ CBC จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลให้มีการปฏิบัติตามกรอบการกำกับดูแลและข้อกำหนด ซึ่งจะทำให้เห็นภาพองค์รวมมากขึ้น เกี่ยวกับประวัติการชำระสินเชื่อของแต่ละบุคคลในประเทศ และปิดช่องโหว่ที่ผู้ให้บริการสินเชื่อและนายจ้างจำนวนมากต้องเผชิญขณะตรวจสอบประวัติสินเชื่อของผู้ที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ในทั้งสองประเทศ

    “สำนักงานทั้งสองแห่งมีมุมมองทางบวกว่า ความคิดริเริ่มนี้จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมในการทำงานร่วมกัน และเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่มากขึ้นในสำนักงานระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยให้ผู้ให้บริการสินเชื่อและ/หรือผู้ที่อาจเป็นนายจ้างมีมุมมองและความเข้าใจที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เกี่ยวกับประวัติการชำระสินเชื่อของแต่ละบุคคล” แถลงการณ์ร่วมระบุ

    นายลิมจาก CBS กล่าวในแถลงการณ์ว่า บริษัทของเขา “มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่ออย่างรอบคอบในสิงคโปร์ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา

    “ความร่วมมือนี้เป็นก้าวแรกและก้าวที่ดีสำหรับการหมุนเวียนของข้อมูลข้ามพรมแดน เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายสำหรับพลเมืองและผู้พำนักของทั้งสองประเทศ

    “เราเชื่อว่าความคิดริเริ่มใหม่นี้จะช่วยสร้างระบบการจัดการสินเชื่อที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นสำหรับสำนักงานทั้งสองแห่ง เราหวังว่านี่จะเป็นการปูทางสำหรับความร่วมมือทวิภาคีอื่นๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประเมินความเสี่ยงของสมาชิกของเรา เมื่อมีเงื่อนไขการกำกับดูแลที่ถูกต้อง”

    Sothearoath จาก CBC กล่าวว่า การเป็นพันธมิตรสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าในเชิงบวกระหว่างสองสถาบัน ในการยกระดับการรายงานข้อมูลเครดิตข้ามพรมแดน ซึ่งเเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งสองประเทศ

    “นี่เป็นก้าวสำคัญสำหรับเราในการเปิดตัวการรายงานข้อมูลเครดิตข้ามพรมแดน โดยร่วมมือกับสำนักงานเครดิตสิงคโปร์ เราเชื่อว่านี่จะช่วยให้ผู้กู้และผู้ให้กู้ในทั้งสองประเทศสร้างตัวอย่างที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในภูมิภาค” แถลงการณ์ระบุ

    เจีย เสรี ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) และประธาน CBC กล่าวว่า “NBC และธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore) คิดนอกกรอบด้วยแนวคิดที่เปิดกว้าง เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถจัดการกับข้อมูลเครดิตของตนเองข้ามพรมแดน

    “สำนักงานสินเชื่อทั้งสองแห่งได้ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะสามารถเปิดตัวความร่วมมือนี้ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากต่อธุรกิจจำนวนมากและบุคคลทั่วไปจากทั้งกัมพูชาและสิงคโปร์เพื่อปลดล็อกโอกาสสำหรับพวกเขา “นี่เป็นจุดเริ่มต้นและเราหวังว่าจะสามารถขยายความร่วมมือกับสำนักงานเครดิตบูโรในประเทศอาเซียนอื่นๆ เพื่อทำให้อาเซียนที่ไร้รอยต่อเป็นจริงมากขึ้น”